กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย (เขากะลา)

วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ธรรมะ ธรรมชาติ มีหนึ่งเดียวไม่เคยแบ่งแยก

อุปาทาน ไม่ใช่สิ่งที่จะมองเห็นกันได้ง่าย ๆ

แต่หากมีความเข้าใจ ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะมองเห็นได้ยากเลย

หากมีความเข้าใจกลไกของธรรมชาติ รู้เท่าทันขันธ์ห้า
ก็จะเห็นโฉมหน้าของ...อุปาทาน

อยู่กับอุปาทาน ทุกวัน แต่ไม่เคยเห็นมันเลยสักครั้ง

เพราะมัน...อุปาทานว่านี่เป็น..ตัวเรา นั่นเป็น..ของเรา

จึงมีตัวเรา และของเราอยู่ตลอดเวลา เชื่อตามที่อุปาทานมันหลอกไว้ หลงยึดในความมี ความเป็นเหล่านั้น

จึง มีคนมากมาย ที่ทุรนทุราย ไปกับความอยากได้นั่น อยากได้นี่ ความอยากมี ความอยากเป็น หรือความไม่อยากมี ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้

เมื่อไม่ได้อย่างที่ต้องการ ก็....อุปาทานทุกข์กันไป

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในโลกเราทุกวันนี้

ซึ่งก็เป็นไปตามกลไกของธรรมชาติ
ยึดมากทุกข์มาก ยึดน้อยทุกข์น้อย ไม่ยึดไม่ทุกข์ นั่นเอง.


ธรรมะ ธรรมชาติ มีหนึ่งเดียวไม่เคยแบ่งแยก

มี แต่อวิชชา คือความไม่รู้เท่านั้นที่เป็นตัวแบ่งแยก ให้มีการเปรียบเทียบ ให้มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูง ให้มีการแข่งขันกันในความรู้ ในศาสตร์ทั้งหลาย ทั้งปวงที่แต่ละคนเชี่ยวชาญ

แต่ โดยความเป็นธรรมชาติแล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ได้เป็นไปตามความคิดเห็นของใครคนใดคนหนึ่ง มันเป็นอย่างนั้นเองตามธรรมชาติ

ถ้าเห็นพระอาทิตย์ขึ้น คนหนึ่งเข้าใจว่า พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก และมันต้องขึ้นอย่างนี้ทุกวัน

แต่อีกคนเข้าใจว่า พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก และมันจะขึ้นทางทิศตะวันตกทุกวัน

อีกคนคิดว่าขึ้นทางทิศเหนือ และมันจะขึ้นทางทิศเหนือทุกวัน

ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร ไม่ว่าจะสมมุติทิศนั้นว่าชื่ออะไร ด้วยความเข้าใจที่แต่ละคนมี
ก็จะ ยึดมั่นว่าสิ่งที่ตนเข้าใจนั้นถูกต้อง ของผู้อื่นนั้นไม่ใช่

ดังนั้น ต่างฝ่ายต่างก็มุ่งที่จะให้คนอื่นมาเชื่อในสิ่งที่ตนเองเข้าใจ

แม้จะทุ่มเถียงกันไปมาอย่างไร ?

พระอาทิตย์ ก็ต้องขึ้นทางทิศนั้นอยู่ดี

ไม่ว่าคนจะเรียกทิศนั้นว่า ตะวันออก ว่าตะวันตก ว่าเหนือ ว่าใต้

พระอาทิตย์ไม่ได้สนใจ ไม่ได้ขึ้นอยู่กันใคร มันยังคงทำไปตามธรรมชาติ

คนสามคนยังทุ่มเถียงกันไม่สิ้นสุด ความทุกข์ ความสุข ความร้อนรนกระวนกระวาย ก็จะยังเกิดกับบุคคลเหล่านั้นต่อไป

เพราะ ต่างต้องการให้เป็นไปตามความเห็นของตน

ความทุกข์จึงเกิดขึ้น เพราะอุปาทาน ยึดในสิ่งที่เราเข้าใจว่าสิ่งนั้น มันถูกต้องแล้ว

ดัง นั้น การตัดสินสิ่งหนึ่งสิ่งใด จากมุมมองของตน โดยไม่รู้จริงตามธรรมชาติ ก็ย่อมมีแต่ว่า จะต้องมีข้างใดข้างหนึ่งผิด ข้างใดข้างหนึ่งถูก อยู่ตลอดเวลา และการทุ่มเถียงกัน ก็ไม่มีวันสิ้นสุด

ดังนั้น สิ่งที่ควรทำก็คือ ดูเข้าไปในสภาวะจิตขณะนั้น ขณะที่มีการทุ่มเถียงกัน มีการตัดสินลงความเห็น ขณะที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ หรือขณะที่มีการกล่าวถึงบุคคลอื่น ๆ อยู่นั้น

สภาวะข้างในกำลังมีความรู้สึกแบบ ใด ร้อนรนไหม ขึ้นลงด้วยแรงโทสะ โมหะไหม ?

หาก มีความร้อนรุ่มในสภาวะจิตใน ขณะนั้น ๆ ควรจัดการกับสภาวะจิตของท่านก่อนสิ่งอื่นใด เพราะเรื่องนี้เร่งด่วนและจำเป็นที่สุดสำหรับท่าน ไม่จำเป็นต้องไปจัดการกับสภาวะการณ์ภายนอกเลย

ดังนั้น การปฏิบัติจึงมีหลากหลายวิธี ตามแต่จริตของแต่ละบุคคลนั้น จึงไม่มีการปฏิบัติแนวทางใดดีกว่ากัน ทุกแนวทางเป็นไปตามเหตุปัจจัยของแต่ละบุคคลนั่นเอง

การแบ่งแยก การเอาความเห็นของตนเองตัดสิน จึงมิได้ไปเปลี่ยนแปลงความเป็นเช่นนั้นเองของธรรมชาติได้

เพราะไม่ว่าใครจะเข้าใจว่าพระ อาทิตย์ขึ้นทางทิศใดก็ตาม

พระอาทิตย์ก็ยังคงขึ้นอยู่อย่างนั้น ..... นั่นเอง.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น