กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย (เขากะลา)

วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เขากะลา - ไปเมืองลับแล


จุดที่ตีกรอบสี่เหลี่ยมห่างจากหน้าองค์พระจากรูปถ่าย
คือจุดเชื่อมต่อเมืองลับแล
อ.mountainเล่าประสบการณ์เมืองลับแล และมิติพิศวงศ์บนเขากะลา:


ตอน ตีสาม ผมกับคุณปิรามิด และคุณศศะ ได้ชวนกันไปนั่งสมาธิที่ลานเมืองลับแล โดยกล่าวขออนุญาต ท่านเจ้าเมืองลับแล ขอเยี่ยมชมเมืองของท่าน หลังจากนั้นทุกคนก็นั่งทำสมาธิจิต นิ่งสงบ

ไม่นาน รู้สึกมีตัวอะไรไม่ทราบยาวมากๆ ลำตัวคล้ายงู หัวไม่เหมือนงู มีหัวแหลมๆ แต่ก็ไม่เหมือนพญานาคที่เราจินตนาการวาดขึ้นมา

เหมือนสัตว์โลกทั่วไป แต่มีลักษณะแปลกไม่เคยเห็นมาก่อนบนโลกนี้
งูลำตัวยาว โยกไปโยกมา คิดว่าคงเป็นเจ้าที่เจ้าทางที่เราจะขอผ่านเข้าชมเมืองมั๊ง เลยกล่าวขอออกไป สักครู่ท่านพญางู ก็หายไป

ภาพ ที่ปรากฏต่อมา คือ ภูเขา สายน้ำลำธารเล็กๆ ริมลำธาร มีสัตว์สองขา ตัวเล็กๆ เหมือนลูกเป็ด แต่ปากไม่แบน ตัวสีเหลือง น่าจะเป็นพันธุ์ผสม
ระหว่างเป็ดกับไก่ (ตัวเหมือนเป็ด ปากเหมือนไก่)


ภาพถัดมา เห็นเป็นอาคารทรงกระบอกสูงมาก ปลายมนโค้ง
บน ปลายมนโค้ง เหมือนมีการก่อสร้างวัตถุสีเงิน เหมือนอุปกรณ์ดาวเทียม ถัดมา มองเห็นหลังคาบ้านที่ปลูกอยู่เป็นกลุ่ม หลังคาทรงสามเหลี่ยม สีน้ำตาลอ่อน แปลกอย่างคือ ไม่ยักเห็นผู้คน หรือเขาจะสร้างไว้ เพื่อรองรับพวกเราอพยพเข้าไปอยู่

เห็นได้พอสมควรแก่เวลา รู้สึกเกรงใจท่านเจ้าเมืองลับแล
ความเกรงใจแบบปู่เย็น เฒ่าทรนง เกิดขึ้นมาดื้อๆ เลยต้องรีบขออำลา
ถอยออกมา อีกอย่างกลัวติดใจไม่ได้กลับ 555+

หลัง จากเข้าเยี่ยมชมเมืองลับแลแล้ว พวกเราก็ย้ายกันมานั่งที่ลานกองบัญชาการมนุษย์ต่างดาว ตามคำแนะนำของพี่สุดใจ ที่ว่า ไหนๆมาแล้วก็นั่งให้ครบ

หลังจากนั่งเข้าที่เข้าทางแล้ว ก็กล่าวคำขออนุญาตตามธรรมเนียมต่อเจ้าของสถานที่

ไม่เกิน 20 นาที ก็ปรากฏให้เห็นกองทัพมนุษย์ต่างดาว
สวมชุดสีเทาเข้มตัวใหญ่ แต่ศีรษะเล็กมาก เดินผ่านมาให้เห็นแบบสวนสนามกันมา


ถัดไป เป็นภาพจานบินทรงค้างคาว สีเทาๆ บินมาโชว์ตัวให้เห็น

ลืมเล่าไปว่า ภาพแรกที่เห็น เป็นอาคารทันสมัย มีเส้นแสงพาดผ่านเป็นวงโค้งตัดกันไปมา

ด้วยความเกรงใจตามแบบฉบับปู่เย็นก็บังเกิดขึ้นมาอีก
ผมจึงต้องรีบอำลาจากออกมา อีกเช่นเคย





ระบบ / เปิดมิติโชว์ 2541


ภาพเขาพนมฉัตรที่เคยเปิดให้เห็นกองบัญชาการมนุษย์ต่างดาว เมื่อปี 2541 แล้วค่อย ๆ เลือนหายไป


ระบบ - เขาพนมฉัตร / aliens's base <ในมิติคู่ขนาน>


ภาพ ถ่ายที่เขาพนมฉัตร หรือ เขาล้อ (ซึ่งเป็นเขาลูกเดียวกันกับที่มีการเปิดมิติให้เห็น กองบัญชาการมนุษย์ต่างดาว) ใน อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ มาให้ดู

ภาพนี้ปรากฏแสงสีทองพุ่งออกมาจากยอดเขาขึ้นไปบนท้องฟ้าสูงมาก ซึ่งมองเห็นได้จากบ้านที่ในตัวเมือง อ.ท่าตะโก จึงได้ถ่ายภาพไว้


ถ่ายภาพไว้เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2551 เวลา 17.00 น.


“ข้อความจากจักรวาล”


เรา มาจากดวงดาวอันไกลโพ้น จากจักรวาลที่ท่านไม่เคยรู้จัก เราคือตัวตนที่สมมุติขึ้นเพื่อสื่อสารกับท่านทั้งหลาย แท้จริงแล้วเราเป็นทั้งภาวะ และอภาวะ เราไม่มีจุดเริ่มต้น ท่ามกลาง และสิ้นสุด เราไม่มีสภาวะที่เป็นชีวิตเหมือนที่ท่านเคยรู้จัก

ตัว ของเราแทรกซึมอยู่ในทุกอนูของในสรรพสิ่ง ในตัวท่านทั้งหลายก็มีเราอยู่ เราเป็นผู้ไม่มีการมา ไม่มีการไป ไม่มีการดำรงอยู่ เราเป็นทั้งสภาวะคล้ายดั่งเวลา ที่ท่านไม่สามารถจับต้องได้ แต่ท่านรับรู้เราได้ เราอยู่ในมิติที่ท่านไม่เคยได้รู้จัก ที่ท่านไม่เคยสัมผัส ได้ยินได้ฟังมาก่อน เรียกว่า ธาตุรู้ ตามภาษาของท่าน แต่คำจำกัดความของเราอยู่นอกเหนือการรับรู้ของท่าน ฉะนั้นเราจึงสมมุติตัวเอง สมมุติจิตวิญญาณเราขึ้น เพื่อสื่อสารกับท่าน

ท่าน ทั้งหลายเป็นนักรบแห่งเรา เป็นผู้มากอบกู้มนุษยชาติ เป็นผู้มีหน้าที่ ที่จะช่วยกันปลดปล่อยโลก ให้พ้นจากความวิบัติที่จะเกิดขึ้น ท่านทั้งหลายถูกหล่อหลอมมาหลายภพหลายชาติเกิดตายไม่มีสิ้นสุด

บัด นี้ ถึงเวลาแล้ว ที่เราจะปลุกจิตวิญญาณของท่าน เปิดจิตของท่าน ให้รับรู้สภาวะที่แท้จริงแห่งชีวิต เพื่องานของเราที่วางโครงข่ายไว้นับพันปีบรรลุผล และเป็นหน้าที่ของเราทั้งหลาย ที่ต้องทำโครงข่ายของเรา ที่วางโครงข่ายไว้นับพันปีบรรลุผล และเป็นหน้าที่ของเราทั้งหลายที่ต้องทำ

ท่าน ทั้งหลาย การที่เราติดต่อมาครั้งนี้ มิใช่ครั้งแรก มิใช่ครั้งเดียว เรามีหน้าที่นี้มานับร้อยนับพันครั้ง ตั้งแต่โลกใบนี้ก่อเกิด เราติดต่อกับคนจำนวนมากหลายที่สัมผัสคลื่นของเราได้ นับอดีตจนถึงปัจจุบันเป็นจำนวนครั้งไม่ถ้วน ในรูปแบบต่าง ๆ กัน

ท่าน ทั้งหลาย ที่มาประชุม ณ ที่นี้ ที่ได้ยินข้อความนี้ ที่ได้รับรู้ข้อความนี้ ท่านจะบรรลุถึงภาวะดั้งเดิมของท่านก่อนที่จะมาจุติบนโลกนี้ รับรู้ถึงภาวะหน้าที่ของท่านที่มีภาระต่อพันธะสัญญาทั้งหลาย ท่านเวียนว่ายตายเกิดมาหลายภพหลายชาติ หลายหมื่นหลายแสนชาติ นับกัป นับกัลป์ไม่ถ้วน บัดนี้ ท่านถึงเวลาแล้ว

ท่านทั้งหลายที่อยู่ในระบบ ของเรา ได้ถูกโปรแกรมในการทำงานไว้เรียบร้อยแล้ว ในสมองของเรา ในสมองของท่าน ล้วนเป็นหนึ่งเดียวกันมิมีแตกต่าง ท่านทั้งหลายต่อไปจะได้ทำงานเป็นกลุ่ม ทำงานประสานกัน ต่อไปภายภาคหน้าท่านทั้งหลายจะเป็นเสมือนขุนพลแห่งเรา แม่ทัพแห่งเรา จะเผยแพร่ข้อมูลเหล่านี้ออกไปยังคนที่เราวางตัวไว้ทั่วโลก

สิ่งที่ ท่านได้รับตอบแทนจากเรา ก็คือภพชาติของท่านจะสั้นลง หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดทั้งหลาย หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมาณทั้งหลาย หลุดพ้นจากอวิชชาทั้งหลาย หลุดพ้นจากการครอบงำจากมารทั้งปวง วิบากกรรมของท่านทั้งหลาย ถึงแม้จะมีมากมายมหาศาล หากท่านสัมผัสเราได้วิบากกรรมนั้นย่อมหลุดล่วงลงไป การเวียนว่ายตายเกิดก็จะลดน้อยถอยลง ซึ่งเราได้วางตัวคนเหล่านี้ไว้เรียบร้อยแล้ว ที่ท่านจะได้รับฟังข้อความจากเราผ่านสภาวะต่าง ๆ หลาย ๆ สภาวะ เรามาได้ในทุกรูปแบบ ทั้งเป็นวัตถุธาตุ วัตถุธรรม สิ่งมีชีวิต และปรากฏการณ์อื่น ๆ ที่ท่านไม่คาดคิดมาก่อน นั่นคือการจัดวางของเราทั้งสิ้น

โดยเฉพาะคนที่ต้องทำหน้าที่เผย แพร่ข้อมูลของเรา ท่านจะต้องรับบทเรียนและการฝึกฝนอันหนักหน่วง เพื่อทดสอบสภาวะจิต และยกระดับจิตให้สูงขึ้น ผ่านข้อความจากเราหรือจากคนอื่น หรือแม้แต่คนที่ท่านไม่เคยรู้จัก ซึ่งเราอยู่ใกล้เคียงท่านตลอด ดูแลท่านอยู่ตลอด คอยชี้นำแนวทางท่านอยู่ตลอดมา แต่ท่านหาเคยรับรู้ไม่ เราผสมผสานเป็นหนึ่งในทุกสรรพสิ่ง เราเป็นผู้ไม่มีการมา ไม่มีการไป เราคือผู้เป็นเช่นนั้นเอง

จากวันนี้ไป ท่านจะได้รับการถ่ายทอด วิถีธรรมแห่งปัญญาสู่ดวงจิตของท่านทั้งหลายแล้ว ซึ่งจะรับรู้และสัมผัสได้ก็ต่อเมื่อท่านได้พิจารณาเห็นถึงความว่าง ละวางจากตัวตน ละวางจากความยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวางในทุกสิ่ง เพราะแท้ที่จริงแล้วท่านถูกหล่อหลอมมาเพื่อทำงาน ไม่มีสิ่งใดคือตัวท่าน ไม่มีสิ่งใดเป็นของท่าน ไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าเป็นจิตของท่าน ไม่มีสิ่งใด ๆ ที่ท่านควรจะยึดถือไว้

ตัวท่านที่ประสบทุกข์มานับไม่ถ้วน ประสบความผิดหวังมานับไม่ถ้วน ประสบความทุกข์ทรมาณ เศร้าโศกเสียใจ ความโทรมนัสทั้งหลาย ล้วนแต่เป็นจิตของท่านสร้างขึ้น ด้วยความไม่รู้ของท่านเอง ทั้งในเมื่ออดีต คือผู้ที่ฟุ้งเฟ้อในกามคุณทั้งหลายในเทวโลก ในมนุษยโลก ในพรหมโลก ในจักรวาลอื่น

แต่ด้วยภาระหน้าที่ที่ผูกพัน เป็นกรรมสัมพันธ์ ทำให้ต้องเกิดมาอยู่บนโลกใบนี้ รับหน้าที่บางอย่าง ซึ่งท่านจะรู้ต่อไปในวันข้างหน้า ชีวิตของท่านไม่มีสิ่งใดควรเรียกว่าชีวิต ไม่มีสิ่งใดควรเรียกว่าจิต ไม่มีสิ่งใดเรียกว่าขันธ์ ไม่มีสิ่งใดเรียกว่าวิญญาณ ไม่มีสิ่งใดเรียกว่าการรับรู้ หากท่านเข้าใจดั่งนี้แล้ว ท่านจะเข้าถึงภาวะถึงหน้าที่ ถึงปัญญาที่แท้จริง หามิเช่นนั้นแล้ว การเกิดชาตินี้ของท่านก็ย่อมสูญเปล่า ต้องกลับไปวนเวียนว่ายตายเกิดนับไม่ถ้วน

ฉะนั้น ขอจงอย่าประมาทในชีวิต ขอจงฟังคำของผู้ที่มาขยายระบบให้ท่าน ผู้ที่มาถ่ายทอดให้ท่าน ผู้ได้รับการรับรองจากเราแล้ว ภาระหน้าที่ของท่าน ยังไม่ได้สำเร็จลุล่วงไป จนกว่าท่านจะได้เห็น จะได้เข้าถึงความว่าง การละวาง การปลดปล่อย

เราโดยสมมุติ โดยหน้าที่ และเราเป็นผู้ถ่ายทอด ให้กับท่านโดยตรง ผ่านทางทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวท่าน ทางด้านภาวะ อารมณ์ ผ่านด้านสภาพแวดล้อม ทางด้านวัตถุ หากท่านมีปัญญา ท่านย่อมรับรู้และเห็นได้เอง และเมื่อถึงวันนั้นท่านพบเรา ท่านเห็นเราแล้ว ภาระหน้าที่ของเราก็หมดสิ้น ภาระหน้าที่ของท่านก็ย่อมหมดสิ้น



E3 2009: Project Natal Xbox 360 Announcement

วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553

www.ufokaokala.com

"มนุษย์ต่างดาวไม่ได้เป็นความลับ แต่บอกไปก็ไม่มีใครเชื่อ จึงยังเป็นความลับต่อไป"

17 tuned/ Haruhi- Ai No Corrida

17 tuned / Don't You Want Me Baby

ระบบ

กรรม วิบากกรรม นำเรามาเกิด นั่นถูกต้อง นั่นเพราะยังมีเราผู้ทำกรรม มีเราผู้สร้างทั้งกุศลกรรม และอกุศลกรรม จึงยังต้องมารับกรรม วิบากกรรม ทั้งวิบากดี และวิบากไม่ดี

หมายถึง เมื่อยังมีการยึดมั่นถือมั่น ว่าขันธ์ห้านี้ เป็นตัวตน เป็นตัวเรา เป็นของเรา เมื่อกระทำใด ๆ การเก็บสะสมผลของกรรม ทั้งกรรมดี ทั้งกรรมชั่ว ก็ย่อมต้องมีการเก็บไว้ให้เป็นธรรมดา ถึงอยากได้ หรือไม่อยากได้ผลของกรรมนั้น ๆ แต่เมื่อมีตัวตนของผู้กระทำ ผู้ทำกรรมนั้น ๆ ก็ย่อมเกิดขึ้น ก็ย่อมมีผล ก็ย่อมสะสมเพื่อส่งผลให้กับเจ้าของตัวตนนั้น ๆ อยู่ดี

นี่คือทางสาย สะสม คือสะสมทั้งบุญทั้งบาป สะสมทั้งกุศล และอกุศล ที่ยังต้องมีผู้เวียนว่ายตายเกิดมาใช้บุญ ใช้กรรมเหล่านี้ เพราะความมีอวิชชาเป็นรากเหง้า คือเห็นว่าขันธ์ห้านี้ มีตัวตน จึงยังต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฎอันยาวนานไม่มีที่สิ้นสุด ดังคำสอนของพระพุทธองค์ที่ตรัสว่า

ปุถุชนก็เช่นกัน ย่อมเห็นขันธ์โดยความเป็นตน เห็นตนมีขันธ์ เห็นขันธ์ในตน หรือเห็นตนในขันธ์ ย่อมวนเวียนไม่พ้นไปจากขันธ์ 5 ไม่พ้นไปจากชาติ ชรา มรณะ โศกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส

อ้างอิง จาก พระไตรปิฎก สำหรับเยาวชน เล่ม 5
หน้าที่ 13 ปุปผวรรคที่ 5

ดัง นั้น หากยังมีความเห็นผิดคิดว่า ขันธ์5 นี้เป็นตัวตน มีตนในขันธ์ 5 แล้ว ก็ยังคงต้องวนเวียนมาเกิดเพื่อใช้บุญ ใช้กรรมเหล่านั้น นี่เป็นเรื่องธรรมดา คือมีผู้ให้ ก็ต้องมีผู้รับผลการให้นั้น มีผู้ทำบุญ ก็ต้องมีผู้รับผลของบุญนั้น มีผู้สร้างกรรม ก็ต้องมีผู้รับผลของกรรมนั้น เป็นเรื่องถูกต้อง ตรงไปตรงมาตามกฏสัจจธรรม กฏแห่งกรรมที่ยุติธรรมที่สุดไม่เคยลำเอียง

เมื่อสิ้นจากภพภูมินี้ ดินน้ำลมไฟที่ต้องสลายคืนสู่ธรรมชาตินั้น ก็คือขันธ์ 5 ที่มีรูปอันน่ายึดมั่นในชาตินี้ ก็นำไปด้วยไม่ได้
นำ ไปได้แต่กรรมวิบากกรรม ที่ยังมีอวิชชาเป็นรากเหง้าอยู่ โดยไปดึงดูดดินน้ำลมไฟ มาหล่อหลอมใหม่เป็นขันธ์ 5 ที่เหมาะสมกับการรับกรรมวิบากกรรมนั้น ๆ เพื่อให้เป็นที่อยู่ของอวิชชา มีอุปาทานเป็นตัวยึดเหนี่ยวอย่างเหนียวแน่น มาเกิดใหม่ แล้วก็ใช้กรรม วิบากกรรม นั้น ๆ ต่อไป

ชาติที่ผ่านมา อาจเกิดเป็นคนรวย มีเงินมากมาย แต่จิตใจคับแคบ ไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ คดโกงเอารัดเอาเปรียบคนอื่น มุ่งทำร้ายด้วยหมายแย่งชิงสิ่งต่าง ๆ จากคนอื่น ฉ้อฉล แม้ร่ำรวยมากมายมหาศาล ก็ย่อมยึดว่านี่เป็นตัวเรา เรารวย เราทำอย่างนี้ อย่างนี้

กรรม ก็ย่อมบันทึกไว้ อย่างนี้ อย่างนี้ ไว้ให้คน ๆ นั้นอย่างตรงไปตรงมา

เมื่อมีตัวเราผู้สร้างไว้ กรรมจึงจัดสรร ส่งไปเกิดตามการยึดมั่นนั้น ๆ ดึงดูดดินน้ำลมไฟมารวมกันตามกรรมนั้น ๆ ที่ส่งผล

คน คนนี้อาจเกิดมาใหม่ เพื่อมาใช้วิบากกรรมของเขา อาจเกิดเป็นลูกคนจน อดอยากลำบากลำบน อาจเกิดมาพิการ อาจเกิดมาถูกเขากดขี่ข่มเหง ถูกเอารัดเอาเปรียบตลอดเวลา คน ๆ นี้ จึงมีแต่ความทุกข์ พร่ำบ่น โทษดินฟ้า โทษโชคชะตา ว่าทำไมเราจึงโชคร้าย อาภัพอย่างนี้ ไม่ยุติธรรมเลย

ซึ่งแท้จริงแล้ว นี่คือความยุติธรรมที่ส่งมาตามกรรมวิบากกรรมนั้น ๆ


กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) Team.

วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

17 tune/The Cure - Just Like Heaven

17 tuned / The Cure - Lovesong

17 tuned / LL Cool J-I Need Love

17 tuned / A Flock Of Seagulls - I Ran (So Far Away)

17 tuned / Superstar - Jamelia

17 tuned/ Herbie Hancock - Rockit

วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ระบบ

สิ่งที่ระบบได้เคยบอกไว้นานแล้วว่า ... ระบบได้วางโครงการช่วยเหลือภัยพิบัติไว้ทั่วโลกแล้ว และคนของระบบที่ได้อาสามาทำงานร่วมกันในภารกิจช่วยเหลือภัยพิบัติบนโลกใบ นี้
ก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก และได้กระจายกันไปยังจุดต่าง ๆ ในทุกภูมิภาคของประเทศไทย และทั่วโลก

เพียง แต่ว่าบุคคลนั้น จะทำงานแบบ...รู้ตัวว่าทำงานร่วมกับระบบ หรือไม่รู้ตัวว่ากำลังทำงานช่วยเหลือเรื่องภัยพิบัติร่วมกับระบบก็ตาม แต่ก็สามารถทำงานช่วยเหลือภัยพิบัติได้เช่นกัน

และเมื่อใกล้ถึงเวลา กลุ่มต่าง ๆ ที่อาสาลงมาในภารกิจเดียวกันนี้ จะมารวมกัน จะมาพบเจอกัน ทำความรู้จักคุ้นเคยกัน และประสานงานกัน เพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพต่อไป...

เพียงแต่ว่า ผู้ที่ไปทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานฯ กับกลุ่มบุคคลต่าง ๆ นั้น..ต้อง รู้ เข้าใจ ปล่อยวาง ทุกการประสานงานฯของระบบให้ได้ จึงจะประสานงานกับคณะฯ บุคคลต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)

17 tuned / Lies, Lies, Lies (extended)

17 tuned / YAZ - Don't Go

ฮือฮา 'ยูเอฟโอ' โผล่อีก! เหนือน่านฟ้าอังกฤษ


ยูเอฟโอเยือนโลกบ่อยครั้ง โผล่ให้เห็นอีกที่เซาธ์ ยอร์กเชียร์ ประเทศอังกฤษ ภาพถ่ายฟ้อง คล้ายวัตถุลี้ลับทรง 3 เหลี่ยมเหนือน่านฟ้าเบลเยียมเมื่อ 20 ปีก่อน...

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อวันที่ 26 ต.ค. ว่า พบวัตถุประหลาด หรือ ยูเอฟโอ รูปร่างคล้าย 3 เหลี่ยม เปล่งแสงได้ เหนือน่านฟ้าหลังคาบ้าน ที่เมืองรอเธอแฮม เขตเซาธ์ ยอร์กเชียร์ สหราชอาณาจักร

โดยวัตถุดังกล่าว มีลักษณะใกล้เคียงกับวัตถุที่เคยพบลอยอยู่บนน่านฟ้าประเทศเบลเยียม และรบกวนการปฏิบัติงานของเครื่องบินรบ F-16 เมื่อปี 1990

นายับ อาห์เหม็ด วัย 19 ปี เพื่อนของ แอนนี คัมมิงส์ วัย 18 ปี ผู้ถ่ายภาพดังกล่าวได้ เผยว่า วัตถุลี้ลับเคลื่อนตัวช้ามาก และเงียบมากด้วยเช่นกัน ขณะที่ผู้เห็นเหตุการณ์รายอื่นบอกว่า ไม่เชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาว แต่ก็ไม่มีอะไรอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้ดีกว่านี้

นิก โปป อดีตผู้บัญชาการกระทรวงกลาโหมอังกฤษ หน่วยตรวจสอบจานบินลึกลับ หรือ ยูเอฟโอ กล่าวว่า วัตถุดังกล่าวที่พบเห็นอาจเป็นเครื่องบินบังคับ หรืออากาศยานต้นแบบที่ถูกสร้างขึ้น แต่เราตรวจสอบไปยังฐานทัพหน่วยงานตรวจสอบยูเอฟโอซึ่งถูกสั่งปิดไปแล้ว ก็พบว่าไม่ได้สร้างขึ้นจากที่นี่แน่นอน.

วัตถุลึกลับบนท้องฟ้าประเทศเบลเยียม เมื่อปี 1990

วัตถุลึกลับบนท้องฟ้าประเทศเบลเยียม เมื่อปี 1990

วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ธรรมะเพื่อการละวางอัตตาตัวตน / 17 17 17 17and 17

โลกนี้...ก็คือละครโรงใหญ่ ในกลไกของธรรมชาติ มีกรรม วิบากกรรม เป็นผู้คัดเลือก ให้แต่ละท่านมาเล่นตามบทนั้น ๆ อย่างเหมาะสม

ถ้าเลือกได้ ก็คงมีแต่คนอยากเกิดมาในกองเงินกองทอง เกิดมาสวย รวยทรัพย์ เกิดมาสุขสบายกันทั้งนั้น

ไม่มีใครอยากเลือกเกิดมาลำบาก เกิดมายากจน เกิดมาพิกลพิการ

แต่.... เพราะไม่มีใครเลือกเกิดได้....ตามอำเภอใจตนเอง ด้วยวิบากกรรมต่าง ๆ ที่ทำไปด้วยความไม่รู้ เป็นผู้จัดสรรให้มาเล่นบทนั้น ๆ

ถ้า ยังออกจากกรรม วิบากกรรมของแต่ละคนไม่ได้ ก็ยังคงต้องมาเล่นบทบาทต่าง ๆ มากมาย ทั้งบทพ่อ แม่ ลูก ผู้ชาย ผู้หญิง พี่ ป้า น้า อา คนรวย คนจน เจ้านาย ลูกน้อง สวมหัวโขนด้วยยศฐาบรรดาศักดิ์ และเล่นกันต่อไป หลายภพ หลายชาติ จนนับไม่ถ้วน
ด้วยการวนเวียนมาเกิด มาแก่ มาเจ็บ มาตาย ในโรงละครนี้

แม้วันนี้ จะเลือกเกิดไม่ได้
แต่เลือกที่จะ...."ไม่เกิด"...ได้ ..... ถ้าเข้าถึงกลไกของธรรมชาติ
คือ เลือกได้.... ที่จะไม่เกิดอีก เลือกที่จะไม่มาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารอีก

พระ พุทธองค์ ท่านพบหนทางของการ หลุดพ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ท่านเข้าถึงกลไกของธรรมชาติเหล่านั้น ค้นพบทางที่ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว จึงชี้ทาง บอกทางให้กับผู้ที่มืดบอดด้วยอวิชชา ได้รับรู้ และดำเนินตามท่านเพื่อหลุดพ้นจากสังสารวัฏอันยาวนาน
พระอรหันตสาวกทั้ง หลาย ดำเนินตามที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน ชี้ทาง และหลุดพ้นจากอวิชชา พ้นจากอุปาทานทั้งหลาย ไม่ต้องมาเวียนเกิดเวียนตายเช่นกัน

แม้ผู้ที่ เป็นสาวกของพระพุทธองค์ ดำเนินตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ มีการไตร่ตรองในธรรมนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นอุบาสก อุบาสิกา หรือบุคคลใด ๆ ก็ตาม ก็สามารถเข้าถึงกฏสัจธรรมนี้ได้ หากมีปัญญาเห็นธรรม หรือเห็นจริงในธรรมชาติเหล่านั้น
และหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้เช่นกัน

ดัง นั้น จึงต้องพุ่งเป้าไปที่ขันธ์ห้าของตนเองเป็นหลัก เพื่อเรียนรู้ให้เชี่ยวชาญในการดับทุกข์ในขันธ์ห้า หมั่นพิจารณาให้เห็นความเป็นเช่นนั้นเองของทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติ ที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา

มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ เพราะมันทนอยู่อย่างเดิมไม่ได้ มันต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และมันก็ไม่ได้เป็นตัวใครของใครทั้งสิ้น มันจึงบังคับบัญชาไม่ได้ เป็นธรรมชาติที่ปรุงแต่งตามเหตุปัจจัยนั่นเอง

หากเชี่ยวชาญในการดับทุกข์ในขันธ์ห้า และออกจากอุปาทานทุกข์เหล่านั้นได้

ถือว่าท่านเชี่ยวชาญทุกสาขา

ทางโลก
ผู้ที่เก่งทางเคมี ท่านก็คือผู้เชี่ยวชาญทางเคมี
ถ้าท่านเก่งทางคอมพิวเตอร์ ท่านก็คือผู้เชี่ยวชาญทางคอมพิวเตอร์
ถ้าท่านเก่งทางการแพทย์ ท่านก็คือผู้เชี่ยวชาญทางแพทย์
ถ้าท่านเก่งทางวิศวกรรมสาขาใด ๆ ท่านก็คือผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆ

แต่ ผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ ก็ยังคงทุกข์อยู่ ยังคงดิ้นรนเพื่อให้ออกจากทุกข์อยู่ นั่นแสดงว่า ท่านเชี่ยวชาญสาขาไหนไม่สำคัญ แต่ท่านก็ยังคงทุกข์อยู่ ยังคงหาทางดับทุกข์อยู่

แต่ถ้าท่านเชี่ยวชาญในการดับทุกข์ ในการละจากอุปาทานขันธ์ห้า ต้นตอของความทุกข์ และท่านสามารถดับทุกข์ได้ในขันธ์ห้าของท่านเอง

นั่นหมายถึงว่า ท่านเชี่ยวชาญทุกสาขา
เพราะผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ ทั้งหลาย สุดท้ายก็ต้องมาออกตรงทางเดียวกัน

ก็คือหาทางดับทุกข์ เพื่อออกจากทุกข์ นั่นเอง
เพราะฉะนั้น อริยสัจ 4 ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ จึงมุ่งหมายในเรื่องของ ทุกข์ กับการดับทุกข์ เท่านั้น
1.ทุกข์
2.สมุทัย คือเหตุให้ทุกข์เกิด
3.นิโรธคือความดับทุกข์
4.มรรค คือข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
พระพุทธองค์ตรัสแต่เรื่องของทุกข์ กับการดับทุกข์
ไม่ได้ตรัสเรื่องความสุขเลย
ดังนั้นความสุขจริง ๆ จึงไม่มี
มีแต่ทุกข์มาก กับทุกข์น้อย เท่านั้น

ทุกข์น้อย มองเห็นได้ยาก จนมองไม่เห็นว่านี่คือความทุกข์ ต้องใช้ระยะเวลานานหน่อยจึงเห็น เลยไปคิดว่า...เป็นความสุข

เหมือนไปเที่ยว ไปร้องเพลงคาราโอเกะ เหมือนไปพักผ่อน ไปสนุกสนาน ไปมีความสุข
แต่ พอเหนื่อย เดินเที่ยวเหนื่อย ร้อน อยากกลับบ้าน จากความสุขเมื่อตอนไปเที่ยว กลับเป็นความทุกข์ ด้วยความเบื่อหน่าย อยากกลับแล้วคนอื่นยังไม่กลับ จึงต้องทนรอด้วยความทุกข์นั่นเอง
หรือร้องคาราโอเกะอย่างสนุกสนาน พอร้องไปสัก 3 ชั่วโมง แล้วเริ่มเหนื่อย อยากหยุด อยากพัก เริ่มไม่สนุกเหมือนเมื่อก่อนมาแล้ว
แต่ถ้าเขาบอกว่า ให้ร้องเพลงอยู่อย่างนั้น ห้ามหยุด ตลอดทั้งคืน ห้ามเลิก
ก็จะเริ่มทุกข์แล้ว เพราะเหนื่อย เพราะง่วง อยากหยุด อยากเลิก แล้วเขาไม่ให้เลิก
การร้องเพลงนั้น จะกลายเป็นร้องเพลงด้วยความทุกข์ทันที

ร้องไปเบื่อไป เมื่อไรจะให้หยุด เมื่อไรจะให้พอ

นั่นคือ มีความทุกข์แฝงอยู่แต่แรกแล้ว แต่มันยังไม่เห็น แต่พอเริ่มนาน ความทุกข์เริ่มปรากฏ เริ่มเห็น เริ่มทนไม่ได้

คราวนี้ ก็ต้องเริ่มหา วิชาดับทุกข์ มาใช้
ทานอาหารอร่อย เหมือนมีความสุข แต่พออิ่มแล้ว เขาบอกต้องทานอีก ต้องให้หมดจาน ต้องให้หมดหม้อ

เริ่มจะมีความทุกข์แล้ว พอแล้ว ไม่ไหวแล้ว ความทุกข์เริ่มปรากฏ

ดังนั้น สิ่งที่เรียกว่าสุข มันไม่มี มีแต่ทุกข์ กับปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์

นี่เป็นเพียงรูปขันธ์ที่เกี่ยวเนื่องส่งไปในขันธ์ห้านะ

แล้วอื่น ๆ อีกมากมายรอบตัว จึงมีแต่ทุกข์ ทุกข์ ทุกข์ ทุกข์ ที่มองไม่เห็น ด้วยไม่มีปัญญามองเห็นนั่นเอง

พระพุทธองค์ตรัสรู้ แล้วเห็นทุกข์ เห็นโทษภัยในวัฏฏสงสารแล้ว
ท่านจึงตรัสสอน
ว่ามีแต่ทุกข์ กับการดับทุกข์เท่านั้น
และมูลเหตุแห่งทุกข์ ก็คือความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า อุปาทานว่าเป็นตัวตน ของตน นั่นแหละเป็นเหตุแห่งทุกข์

ดังนั้น หากจะออกจากทุกข์ ก็ต้องเชี่ยวชาญในการดับทุกข์ ที่เกิดขึ้นในขันธ์ห้าของท่าน

ถ้าท่านเชี่ยวชาญในการดับทุกข์ ถือว่า ท่านเชี่ยวชาญทุกสาขา.
ดังบทความในหนังสือธรรมะ ฝนประปราย ที่กล่าวว่า


เกิดมาทำไม ?


ในโลกนี้มีวิชาความรู้หลายสาขา

ใครรู้แจ่มแจ้งสาขาใด ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น

แต่ผู้ใดรู้แจ่มแจ้งเรื่องความดับทุกข์

ผู้นั้นชื่อว่า เชี่ยวชาญทุกสาขา.


วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2553

17 tuned / Shannon - Let The Music Play (original video)

ธรรมะ ธรรมชาติ มีหนึ่งเดียวไม่เคยแบ่งแยก

อุปาทาน ไม่ใช่สิ่งที่จะมองเห็นกันได้ง่าย ๆ

แต่หากมีความเข้าใจ ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะมองเห็นได้ยากเลย

หากมีความเข้าใจกลไกของธรรมชาติ รู้เท่าทันขันธ์ห้า
ก็จะเห็นโฉมหน้าของ...อุปาทาน

อยู่กับอุปาทาน ทุกวัน แต่ไม่เคยเห็นมันเลยสักครั้ง

เพราะมัน...อุปาทานว่านี่เป็น..ตัวเรา นั่นเป็น..ของเรา

จึงมีตัวเรา และของเราอยู่ตลอดเวลา เชื่อตามที่อุปาทานมันหลอกไว้ หลงยึดในความมี ความเป็นเหล่านั้น

จึง มีคนมากมาย ที่ทุรนทุราย ไปกับความอยากได้นั่น อยากได้นี่ ความอยากมี ความอยากเป็น หรือความไม่อยากมี ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้

เมื่อไม่ได้อย่างที่ต้องการ ก็....อุปาทานทุกข์กันไป

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในโลกเราทุกวันนี้

ซึ่งก็เป็นไปตามกลไกของธรรมชาติ
ยึดมากทุกข์มาก ยึดน้อยทุกข์น้อย ไม่ยึดไม่ทุกข์ นั่นเอง.


ธรรมะ ธรรมชาติ มีหนึ่งเดียวไม่เคยแบ่งแยก

มี แต่อวิชชา คือความไม่รู้เท่านั้นที่เป็นตัวแบ่งแยก ให้มีการเปรียบเทียบ ให้มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูง ให้มีการแข่งขันกันในความรู้ ในศาสตร์ทั้งหลาย ทั้งปวงที่แต่ละคนเชี่ยวชาญ

แต่ โดยความเป็นธรรมชาติแล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ได้เป็นไปตามความคิดเห็นของใครคนใดคนหนึ่ง มันเป็นอย่างนั้นเองตามธรรมชาติ

ถ้าเห็นพระอาทิตย์ขึ้น คนหนึ่งเข้าใจว่า พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก และมันต้องขึ้นอย่างนี้ทุกวัน

แต่อีกคนเข้าใจว่า พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก และมันจะขึ้นทางทิศตะวันตกทุกวัน

อีกคนคิดว่าขึ้นทางทิศเหนือ และมันจะขึ้นทางทิศเหนือทุกวัน

ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร ไม่ว่าจะสมมุติทิศนั้นว่าชื่ออะไร ด้วยความเข้าใจที่แต่ละคนมี
ก็จะ ยึดมั่นว่าสิ่งที่ตนเข้าใจนั้นถูกต้อง ของผู้อื่นนั้นไม่ใช่

ดังนั้น ต่างฝ่ายต่างก็มุ่งที่จะให้คนอื่นมาเชื่อในสิ่งที่ตนเองเข้าใจ

แม้จะทุ่มเถียงกันไปมาอย่างไร ?

พระอาทิตย์ ก็ต้องขึ้นทางทิศนั้นอยู่ดี

ไม่ว่าคนจะเรียกทิศนั้นว่า ตะวันออก ว่าตะวันตก ว่าเหนือ ว่าใต้

พระอาทิตย์ไม่ได้สนใจ ไม่ได้ขึ้นอยู่กันใคร มันยังคงทำไปตามธรรมชาติ

คนสามคนยังทุ่มเถียงกันไม่สิ้นสุด ความทุกข์ ความสุข ความร้อนรนกระวนกระวาย ก็จะยังเกิดกับบุคคลเหล่านั้นต่อไป

เพราะ ต่างต้องการให้เป็นไปตามความเห็นของตน

ความทุกข์จึงเกิดขึ้น เพราะอุปาทาน ยึดในสิ่งที่เราเข้าใจว่าสิ่งนั้น มันถูกต้องแล้ว

ดัง นั้น การตัดสินสิ่งหนึ่งสิ่งใด จากมุมมองของตน โดยไม่รู้จริงตามธรรมชาติ ก็ย่อมมีแต่ว่า จะต้องมีข้างใดข้างหนึ่งผิด ข้างใดข้างหนึ่งถูก อยู่ตลอดเวลา และการทุ่มเถียงกัน ก็ไม่มีวันสิ้นสุด

ดังนั้น สิ่งที่ควรทำก็คือ ดูเข้าไปในสภาวะจิตขณะนั้น ขณะที่มีการทุ่มเถียงกัน มีการตัดสินลงความเห็น ขณะที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ หรือขณะที่มีการกล่าวถึงบุคคลอื่น ๆ อยู่นั้น

สภาวะข้างในกำลังมีความรู้สึกแบบ ใด ร้อนรนไหม ขึ้นลงด้วยแรงโทสะ โมหะไหม ?

หาก มีความร้อนรุ่มในสภาวะจิตใน ขณะนั้น ๆ ควรจัดการกับสภาวะจิตของท่านก่อนสิ่งอื่นใด เพราะเรื่องนี้เร่งด่วนและจำเป็นที่สุดสำหรับท่าน ไม่จำเป็นต้องไปจัดการกับสภาวะการณ์ภายนอกเลย

ดังนั้น การปฏิบัติจึงมีหลากหลายวิธี ตามแต่จริตของแต่ละบุคคลนั้น จึงไม่มีการปฏิบัติแนวทางใดดีกว่ากัน ทุกแนวทางเป็นไปตามเหตุปัจจัยของแต่ละบุคคลนั่นเอง

การแบ่งแยก การเอาความเห็นของตนเองตัดสิน จึงมิได้ไปเปลี่ยนแปลงความเป็นเช่นนั้นเองของธรรมชาติได้

เพราะไม่ว่าใครจะเข้าใจว่าพระ อาทิตย์ขึ้นทางทิศใดก็ตาม

พระอาทิตย์ก็ยังคงขึ้นอยู่อย่างนั้น ..... นั่นเอง.

17 tuned/Go see the doctor Kool Moe Dee

“กฎแห่งกรรม”


ไม่เคยลำเอียง.....ใครทำใครได้

คือ ใครทำอย่างใด ก็จะได้อย่างนั้น

เพราะไม่ว่าใคร...คิดอย่างไร ก็จะได้รับผลนั้นทันทีตามความคิดนั้น ๆ

ทางโลก จึงมีการแก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น อาฆาตพยาบาทซึ่งกันและกัน โลกจึงมีแต่ความรุมร้อนด้วยเพลิงโทสะ
แต่ในทางธรรม....การให้อภัย การให้ความเมตตาซึ่งกันและกัน เป็นสิ่งที่ควรกระทำอย่างยิ่ง

เพราะจะทำให้บุคคลนั้น ... ไม่ต้องจมอยู่กับความทุกข์... ที่เกิดจากความคิด และอารมณ์นั่นเอง

เพราะการคิดอาฆาต พยาบาท คิดมุ่งร้าย คิดจะทำลายกัน บุคคลนั้นก็ได้รับผลไปแล้ว ในขณะนั้น

นั่นคือ มีความทุกข์ มีความร้อนรน มีความขุ่นเคือง มีความหนักหนาสาหัสของความมีตัวตนที่หนักอึ้งเกิดขึ้นในขณะนั้น

ณ ขณะนั้น ณ วินาทีนั้น ณ ปัจจุบันนั้น เขาก็มีความทุกข์ของเขาอยู่แล้ว ตามเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งตามธรรมชาติ

เพราะ เมื่อคิดร้าย สารเคมีประเภทความรุมร้อน ก็หลั่งออกมา อารมณ์ก็ขุ่นมัว ร้อนรน นั่นคือบุคคลนั้นกำลังรับทุกข์อยู่แล้ว แต่มองไม่เห็น

คือ

มองไม่เห็นทุกข์ - คือยังมองไม่เห็นข้อแรกของอริยสัจ 4

แล้วข้อที่ 2 ข้อที่ 3 ข้อที่ 4 จะมีปัญญาเห็นหรือ ?

เพราะ ต้องเห็นข้อ 1 ก่อน ต้องเห็นว่านี่คือ ทุกข์ รู้ว่ากำลังทุกข์อยู่ ความร้อนรนด้วยไฟโทสะ ความร้อนด้วยเพลิงอาฆาตพยาบาท มันเป็นข่ายทุกข์ มันเป็นความทุกข์

เมื่อเห็นข้อ 1 ว่ากำลังทุกข์อยู่ จึงจะขนขวายหา เหตุแห่งทุกข์ หาทางดับทุกข์ แล้ว ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์นั้น

แต่.... ขณะที่กำลังทุกข์ ร้อนรนกันอยู่ จะมีปัญญาพิจารณาหรือไม่ ว่ากำลังปรุงทุกข์ทิ่มแทงตนเองกันอยู่

ในทางธรรมะจึงมีการให้เปลี่ยนความคิด เพื่อจะได้ไม่ต้องไปทุกข์กับอารมณ์เหล่านั้น

หากคิดพยาบาท อย่าเลย ให้คิดเมตตากันดีกว่า
หากคิดริษยา อย่าเลย ให้มีมุทิตาจิต(พลอยยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นได้ีดี)กันดีกว่า

นี่คือ ทางธรรมะก็มีทางออกให้ มีทางแก้ไขผู้ที่กำลังทุกข์อยู่ ให้เห็นทางออกจากทุกข์ คือมีเมตตากันและกัน

มีความเข้าใจ มีการให้อภัย ความร้อนรนด้วยเพลิงโทสะทั้งหลายก็จะกลายเป็นความสงบเย็น

สิ่งที่ได้กล่าวไว้อย่างต่อเนื่องก็คือ

การ ไม่ส่งจิตออกไปนอกตนเอง ไม่ส่งจิตออกไปตัดสินใคร มุ่งเน้นให้เห็นการปรุงแต่งของอุปาทานในขันธ์ห้าของตนเองเท่านั้น มุ่งที่จะพัฒนาความสามารถในการเห็นความว่าง ว่างจากยึดมั่นในอัตตาตัวตน ว่างจากการยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ห้า ที่คิดว่าเป็นตัวตน ของตน

ดังนั้น การไปมองที่ขันธ์ห้าคนอื่น การไปคาดคะเน การไปประเมินปัญญาของคนอื่นนั้น มันเป็นการเห็นผิดตั้งแต่ทีแรก

นั่นคือ....มองออกไปไกลจากขันธ์ห้าของตนนั่นเอง

ดัง นั้น หากทุกท่านที่ได้ศึกษาธรรมะเพื่อการละวางอัตตาอย่างถ่องแท้ เห็นตามธรรมของพระพุทธองค์ที่กล่าวไว้ ให้พิจารณาว่าขันธ์ห้านี้มิใช่ตัวตน ของตนแล้ว ท่านย่อมไม่ไปชี้ผิด ชี้ถูก กับใครทั้งสิ้น เพราะทุกคนมีวิบากกรรม ที่ติดตัวมากันทั้งนั้น มีสติปัญญา มีการพิจารณาไตร่ตรองด้วยสติสัมปชัญญะ ตามแต่กรรม วิบากกรรมของแต่ละท่านเอง

หาก เราลองมองย้อนกลับไป เวลาเราพบคนที่เขายังนับถือต้นไม้ใบหญ้า นับถือก้อนหินก้อนดิน เราจะคิดว่า ทำไมเขาไม่มีปัญญามองเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นมันไร้สาระ มันช่วยไม่ได้จริง มันเป็นสิ่งที่ผิด มันไม่ใช่ทางหลุดพ้น

แต่คนกลุ่มนั้น เขาย่อมมองเห็นว่าเขาทำถูกต้อง มองเห็นว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดของเขาแล้ว เพราะเขามีปัญญาแค่นั้น มีวิบากอย่างนั้น ต้องเกิดมาอยู่ในถิ่นที่มีความเชื่อแบบนั้น ซึ่งเป็นการยากที่จะไปเปลี่ยนความเชื่อเขาเหล่านั้น

หากท่านเป็นห่วง อยากช่วยเหลือ อยากเปลี่ยนแปลงเขาเหล่านั้น ท่านก็เป็นทุกข์เอง เพราะความทุกข์มันเกิดอยู่ในขันธ์ห้าของท่าน แล้วยื่นออกไป ทั้ง ๆ ที่ไปเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เลย

ท่านจึงต้องใช้ปัญญาเพื่อพิจารณาแล้ว ปล่อยวาง ให้เห็นว่ามันเป็นอย่างนั้นเองตามเหตุปัจจัย สติปัญญาของเขามาได้...เท่ากับวิบากของเขาเท่านั้น

หากท่านมองไปยัง จุดอื่น ๆ ในปัจจุบัน มีผู้คนหลั่งไหลเข้าไปยังจุดต่าง ๆ มากมาย มีหลากหลายวิธีการปฏิบัติ หลากหลายสำนักมากมาย แต่ละที่ แต่ละแห่ง ก็มีการมุ่งเน้นปฏิบัติเพื่อการออกจากวัฏฏะสงสารทั้งสิ้น แล้วแต่จะเป็นรูปแบบ หรือวิธีใด ๆ

นั่นก็มิได้หมายความว่า เขาเหล่านั้นคิดผิดหรือคิดถูก แต่มันถูกต้องตามจริต ตามปัญญา ตามกรรม วิบากกรรมที่ส่งมานั่นเอง

ดังนั้น อย่าได้ไปมองว่าคนนั้นโง่ คนนี้ฉลาด เราคิดถูก เขาคิดผิด หรือมีมุมมองใด ๆ ที่จะทำให้เกิดการเปรียบเทียบขึ้นมา

เพราะ ทุกคน ต้องรับผิดชอบดวงจิตของตนเอง ต้องหมั่นพิจารณาไตร่ตรอง ต้องปฏิบัติจนเห็นความเบาบางจางคลายจากการยึดมั่นถือมั่นด้วยตนเอง

และ ที่สำคัญ ห้องเรียนของท่านคือขันธ์ห้าขันธ์นี้ ต้องหมั่นที่จะพิจารณาขันธ์ห้าของท่าน เพื่อการปล่อยวาง ละการยึดมั่นถือมั่น ในขันธ์ของท่านเอง

ไม่ต้องไปช่วยขันธ์ห้าอื่น ๆ เขาปล่อยวางหรอก เพราะช่วยกันไม่ได้ ของใครของมัน ได้แต่เพียงชี้แนะแนวทางให้ได้เท่านั้น

แต่ละท่าน ก็ต้องทำเอาเอง

ระบบ ก็เพียงแต่ชี้แนะแนวทางการปฏิบัติตามทฤษฎีของระบบ เพื่อให้ปล่อยวาง ละการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้าของท่านเอง

ดัง นั้น การเข้ามารับรู้ เข้ามารับทราบ ในกฏธรรมชาติที่ระบบได้ถ่ายทอดไว้นี้ ท่านต้องนำไปพิจารณาไตร่ตรองด้วยตัวท่านเอง แล้วลองนำไปปฏิบัติ

เมื่อผลการปฏิบัติออกมาแล้ว

ท่านก็จะทราบได้ว่า ท่านมาถูกทางหรือไม่?

เพราะทุกอย่างเป็นปัจจัตตัง ที่ท่านเท่านั้นจะรู้เอง เห็นเอง และสัมผัสเอง.

17 tuned / Speed Racer Remix Alpha Team (Dirty version)

Panasonic Lumix GF-1


RZ racing 2010 /rzracingshop.com


UFO ไฟดิสโก้

วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2553

rz racing Drift @ goodyear 2010 Part 1-2

สมมุติ คือความว่าง ว่างโดย....สมมุติ

สมมุติ คือความว่าง
ว่างโดย....สมมุติ

โลก เราทุกวันนี้ ยึดติดอยู่กับสิ่งสมมุติ และยึดในสมมุตินั้น จึงถูกขังอยู่ในกรอบของสมมุติจนดิ้นไม่หลุด

ถ้าอยู่เหนือสมมุติได้ ก็จะเป็นอิสระจากสิ่งที่มาบีบบังคับ กักขังเราไว้

เราลองมารู้จัก สมมุติกันสักนิด อาจจะเปิดมุมมองให้เห็นความเป็นธรรมชาติได้มากขึ้น

สมมุติชื่อ ชื่อโดยสมมุติ...

เรา เกิดมา ก็ไม่ได้มีชื่อมาก่อน แม่ตั้งชื่อให้ว่า .... สมชาย

นับ จากวินาทีนั้น สมชาย มีความหมายที่สุด สำหรับขันธ์นี้

พอ เริ่ม จำความได้ แม่เรียกขานชื่อนี้ เราจะยึดทันที เอาสมมุติคำว่าสมชาย มาทาบที่ตัวเรา นั่นเท่ากับว่า คำว่า...สมชาย...ขังเราไว้เรียบร้อยแล้ว

ตัว หนังสือไม่กี่ตัว มีอิทธิพลกับสุขทุกข์ได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ

ใคร เอ่ยชื่อสมชายเก่ง ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ภาคภูมิใจมีความสุข
ใครเอ่ย ชื่อ สมคิดเก่ง ก็จะไม่สนใจ เพราะไม่ได้บันทึกไว้ว่าเป็น เรา

ทะเลาะกับเพื่อน มายืนชี้หน้าแล้วด่าว่า สารพัดคำพูด เราโมโหตาลาย พอสุดท้ายพูดว่า ระวังไว้เหอะ..สมพร

อาการโมโหหายไป อ๋อ...ด่าผิดคน เข้าใจผิดคิดว่าเราเป็นสมพร

ความจริง ด่าแล้วชี้หน้าด้วย ไม่ผิดคนหรอก แต่เรียกผิดชื่อเท่านั้น

ความทุกข์ไม่เกิด เพราะไม่ได้ด่า...สมชาย สมพรไหนก็ไม่รู้

เพราะมีตัวตนของสมชาย หากเอ่ยชื่อนี้จะมีความหมายมากเลย

หรือเดินไปได้ยินคนเอ่ยชื่อแว่ว ๆ ว่า สมชาย แล้วหันไปซุบซิบนินทากัน

เอาไปคิด เอาไปกังวล ว่าเรานินทาเราเรื่องอะไร ทุกข์ไปหลายวัน

พอไปถามคนนั้น เขาบอกว่า อ๋อ..พูดถึงสมชายขายไก่ย่างหน้าปากซอย เอาไก่ย่างมาให้ไม่ครบตามจำนวนเงินทุกที

เฮ้อ...โล่งไป ทำเอาทุกข์ กังวลเสียหลายวัน ที่แท้นินทาสมชายไก่ย่างนั่นเอง

ทุกข์ เพราะอุปาทานที่ผ่านไปแล้ว ก็เรียกคืนไม่ได้

จึงทุกข์ฟรีไปด้วย ประการฉะนี้


ufo style

UFO FINALLY!! 2010 100% UFO PROOF, Day time footage UFO Craft

ระบบ

มนุษย์ต่างดาว....กล่าวถึง....ภัยพิบัติ

กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)

เป็นชื่อกลุ่ม ที่มนุษย์ต่างดาวสื่อสารข้อมูลมาให้ใช้ชื่อนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2547 เป็นต้นมา

เรียกว่า.....เป็นวันแรกของการเข้าสู่ระบบทำงาน.....ร่วมกับมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา
เพราะก่อนหน้านั้น อยู่ในขั้นตอนการเรียน การคัดเลือกบุคคล การฝึก
ซึ่งมีปฏิบัติธรรม การฝึกจิตเพื่อปล่อยวาง และการฝึกรับข้อมูลจากมนุษย์ต่างดาว ควบคู่กันไป
โดยการฝึกแบบเป็นกลุ่ม....เริ่มต้นที่เขากะลา
และการฝึกเดี่ยว....ของบุคคลมากมายที่ระบบวางไว้ กระจายอยู่ทั่วไปตามจุดต่าง ๆ ทั่วโลก


ชื่อ กลุ่มเขากะลา เริ่มมีการใช้มา ตั้งแต่ปี 2541 ซึ่งเป็นที่ตั้งของ กองบัญชาการมนุษย์ต่างดาว บนเขากะลา

มาเปลี่ยนใช้ชื่อเป็น กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2547

ประเดิมเริ่มแรก ของชื่อกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)

ปีแรกที่เปลี่ยนชื่อ คือเข้าสู่ระบบการเตือนภัย ก็เกิดสึนามิครั้งใหญ่ขึ้นมา

วันที่ 26 ธันวาคม 2547 เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ให้เห็น ในเอเซียนี่เอง
ทั้งในประเทศไทย และอีกหลายประเทศ มีการสูญเสียกันมากมาย

ซึ่ง ระบบ ให้กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ไปออกรายการ V.I.P. เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2547 ตามที่ได้ติดต่อมา พร้อมกับ ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน เรื่องการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา และการมาโลกมนุษย์เพื่อเตือนภัยพิบัติ และให้ความช่วยเหลือเรื่องภัยพิบัติบนโลกใบนี้

ตอนสัมภาษณ์นั้น ใครจะรู้บ้างว่า ภัยพิบัติทางน้ำครั้งใหญ่กำลังใกล้จะมาถึง

สัมภาษณ์และบันทึกรายการ 16 ธันวาคม 2547
สึนามิถล่มชายฝั่งอันดามัน 26 ธันาคม 2547

ห่างกันเพียง 10 วัน

การกล่าวถึงภัยพิบัตในวันนั้น จึงเป็นส่วนหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า
การรู้ล่วงหน้า ...... มิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้


เพียง แต่ การที่จะเข้าไปแทรกแซงในแรงกรรม ตามกาลเวลาที่ต้องเกิดขึ้น ณ ที่นั้น ๆ มันทำไม่ได้ มันช่วยกันไม่ได้ ไปขัดขวางไม่ได้ เพราะทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎแห่งกรรม ที่ยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด

กลไกของธรรมชาติ ของไกของจักรวาล เป็นกลไกที่ยิ่งใหญ่ ต้องเป็นไปตามกรรม วิบากกรรมนั้น ๆ

ซึ่ง ตอนนี้ แรงกรรมทั้งหลาย ได้กระจาย ได้ส่งผลไปทั่วโลกแล้ว ภัยพิบัติได้ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นมากมาย กรรมทั้งหลาย จึงให้ผล จึงมุ่งไปในประเทศที่สร้างแรงกรรมเหล่านั้น


แม้จะช่วยไม่ได้ เพราะมนุษย์โลกส่วนใหญ่ต้องไปตามกรรมเหล่านั้น

แต่ ยังมีผู้ที่มีบารมี ผู้ที่สร้างกรรมดีไว้อีกมากมาย ที่ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องสูญสลายไปกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น ยังมีบารมีมากพอที่จะอยู่ต้องอยู่ เพื่อดำรงรักษาเผ่าพันธ์ของมนุษยชาติไว้ และเริ่มเข้าสู่กลไกของธรรมชาติ ยกระดับจิตเพื่อการคืนสู่ธรรมชาติอีก ครั้ง

กฏของธรรมชาติ ก็ต้องดูแล รวมถึงเทพทั้งหลาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ก็ต้องดลใจให้บุคคลนั้น ๆ ระลึกรู้และ ตระหนักถึงเรื่องของภัยพิบัติ แล้วหันหน้าเข้าหาธรรมเป็นที่พึ่ง มาเรียนรู้กฏธรรมชาติ มาปฏิบัติตามบารมีเก่าที่สะสมมา เพื่อจะนำพากันเข้าสู่ยุคใหม่ เข้าสู่ยุคศิวิไล คือยุคทองอีกครั้งหนึ่ง

และ นับจากนั้นมา ภัยทางธรรมชาติเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เรื่อยมา จนหลายคนเริ่มตระหนักว่า ธรรมชาติที่เคยสงบ เคยร่มเย็น จะไม่กลับมาให้เห็นอีกแล้ว มีแต่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น มากขึ้น

จนถึงปัจจุบัน ภัยทั้งหลายในธาตุทั้ง 4 กลายเป็นภัยพิบัติรายวันไปแล้ว

มนุษย์ ต่างดาว เคยกล่าวถึงเรื่องของภัยพิบัติในภาพรวมของโลกใบนี้ไว้หลายครั้ง เมื่อมีผู้ถาม ว่าต่อไปเหตุการณ์ต่าง ๆ จะเกิดขึ้นมากมาย ตั้งแต่ในตอนที่ยังไม่เคยมีเหตุการแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด น้ำท่วม หรือทอนาโด พายุถล่มมากมายอย่างในวันนี้

จะขอนำการกล่าวถึงภัยพิบัติบนโลกใบนี้ ของมนุษย์ต่างดาว ที่ได้เคยกล่าวไว้ ในปี 2541 บนเขากะลา

และ บอกถึง ที่มาของเหตุภัยพิบัติ ว่าเกิดจากอะไร แรงกรรมมีอานุภาพมากแค่ไหน มนุษย์จึงต้องเผชิญกับมหันตภัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นนี้.

ขอให้ท่านผู้อ่าน ใช้วิจารณญาณในการอ่าน ในการรับรู้ข้อมูล แล้วไตร่ตรองในข้อมูลที่ได้รับมานี้ ควรเชื่อหรือไม่ อย่างใด

อย่าได้ตื่นตระหนกใด ๆ ควรทำความเข้าใจ ว่าเหตุใด ...ภัยพิบัติจึงต้องเกิดขึ้นกับโลกใบนี้

แล้วถามตัวเองว่า ถึงเวลาหรือยัง ทีเราจะหันมาปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังสักที.


กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) Team.

rz racing (พีท ทองเจือ) drift @ goodyear 2010 part 2-2

Galactic Federation of Light scoutships around Sun

UFO in Thailand (1)

UFOโผล่ ที่หังโจว ประเทศจีน

Mass UFO Sighting In Thailand!!!

วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ธรรมชาติมีเพียงหนึ่งเดียว

อวิชชา คือความไม่รู้จริงตามธรรมชาติ ไม่รู้จริงในกฏสัจจะธรรม คือรู้ผิดจากกฏของธรรมชาติ มีความเห็นแตกต่างไปจากความเป็นจริงของธรรมชาติ แต่ไม่ได้หมายความว่ารู้ในสิ่งที่ไม่ดี ในสิ่งที่ชั่วหรือเลว

วิชชา คือความเห็นที่ถูกตรง รู้ตามความเป็นจริงของกฏธรรมชาติ ที่ไม่ได้เป็นตัวใครของใคร มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง แต่ไม่ได้หมายความว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูก หรือสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดี

เพราะธรรมชาติมีเพียงหนึ่ง เดียว ไม่มีผิด ไม่มีถูก ไม่มีดี ไม่มีชั่ว

ธรรมชาติ เป็นของธรรมชาติอยู่อย่างนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง

ไม่ ว่าใครจะไปอุปาทานอย่างไร ว่านั่นดี นั่นไม่ดี นั่นผิด นั่นไม่ผิด ธรรมชาติก็ยังคงเป็นอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลงไปตามความคิด ความต้องการของใคร

ถ้ายังคิดว่ามีสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก สิ่งใดดี สิ่งใดชั่ว นั่นหมายความว่า

บุคคล นั้น ได้หลงยึดในอวิชชาไปก่อนหน้านั้นแล้ว จึงเกิดมีตัวเราขึ้นมา คือมีอุปาทานว่าขันธ์ห้านี้ เป็นตัวตน จึงรู้ว่ามีตัวเรา มีตัวเขา จึงได้แบ่งว่าเขาดี เขาไม่ดี เราดี เราไม่ดี เราถูก เขาผิด เขาชั่ว เราดี หรือว่า สิ่งนั้นไม่ถูก สิ่งนี้ไม่ดี

ซึ่งโดยความจริงแล้ว ธรรมชาติไม่เคยแบ่งแยกอะไร มีแต่อุปาทานของผู้ที่หลงยึดเท่านั้น ที่เป็นผู้แบ่งแยก

คนกลุ่มหนึ่งเห็นคนนี้ว่า....ดี
คนกลุ่มหนึ่งเห็นคน นี้ว่า....เลว

ทุ่มเถียงกันไป ด่าทอกันไป แบ่งกลุ่ม แบ่งพรรค แบ่งพวก ก็ด้วยความเห็นที่แตกต่างกัน

แล้วทำไมทุกคนจึงไม่เห็นเหมือนกันว่า.....คน นี้....ดี
แล้วทำไมทุกคนจึงไม่เห็นเหมือนกันว่า.....คนนี้....เลว

ทำไมต้องมีการเห็นที่แตกต่าง ฉันว่าคนนี้ดี แต่อีกคนว่าเลว

บรรทัดฐานอยู่ตรงไหน ที่ว่าดี ว่าเลว
เหตุผล ข้อหักล้าง หรือความถูกใจ

ธรรมชาติไม่เคยแบ่งแยก .... แต่อวิชชา คือความไม่รู้จริงตามธรรมชาติต่างหาก ... ที่เป็นตัวแบ่งแยก

นั่น คือ มีความเห็นผิดตั้งแต่ต้น คือเห็นไม่ตรงตามความเป็นจริงของธรรมชาติ จึงเห็นว่าขันธ์ห้านี้เป็นตัวตน เป็นของตน จึงได้เกิดมีเรา มีเขาขึ้น ด้วยอุปาทานหลงยึดว่าขันธ์ห้าของธรรมชาตินั้นเป็นตัวเรา

นี่คือ อวิชชา คือความเห็นผิดจากธรรมชาติ เห็นดินน้ำลมไฟของธรรมชาติ ที่มารวมกันตามเหตุปัจจัยที่ส่งมา แล้วอุปาทานว่า นี่เป็นตัวเรา นั่นเป็นของเรา

เมื่อใดที่เห็นว่า ธรรมชาติแบ่งแยกเป็นสองสิ่ง นั่นคือความไม่เข้าใจในความเป็นธรรมชาติ เพราะธรรมชาติเป็นอย่างนั้นเอง เป็นอย่างเดียวที่ไม่มีการแบ่งแยก ว่าดี หรือไม่ดี ธรรมชาติก็เป็นอย่างที่เป็นนั่นแหละ มันเป็นอย่างนั้นเอง

ผู้ที่มีอวิชชา ไปอุปาทานต่างหาก ว่าเป็นนั่น เป็นนี่ ว่าดี ว่าชั่ว ว่าถูก ว่าผิด

การ ที่ยังต้องวนเวียนอยู่ในโลก สมมุติ ก็ย่อมจะแบ่งแยกว่าเป็นนั่น เป็นนี่ ก็แบ่งโดยสมมุติ โดยผู้ที่ยังมีอวิชชา มีความเห็นว่ามีตัวตน จึงยังต้องสมมุติกันอยู่ เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันว่า เล็ก ใหญ่ กว้าง แคบ ยาว สั้น สูง ต่ำ ดำ ขาว ถูก ผิด ดี ชั่ว

หากอยู่เหนือสมมุติ ทุกอย่างก็ไม่มีจริง เป็นธรรมชาติ ไม่มีตัวตน ไม่มีของตน ไม่มีการเปรียบเทียบ แบ่งแยกใด ๆ ทั้งสิ้น

นั่น คือมีความรู้ที่ถูกตรงกับกฏธรรมชาติ คือมี วิชชา คือความรู้จริงตามธรรมชาติ ที่ไม่ได้เป็นตัวตน นั่นเอง

การเรียนรู้ การทำความเข้าใจในธรรมะ หรือกฏธรรมชาติ ไม่ได้เป็นเรื่องยากมากมาย
หาก เห็นได้ รู้จริงได้ ก็ปล่อยวางได้ง่าย ๆ เช่นกัน

ดัง นั้น การเข้าใจในธรรมะ เพื่อการละวางอัตตา ละการยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ห้า ในอวิชชาทั้งหลาย ที่เป็นต้นเหตุให้ต้องเวียนว่ายตายเกิด สร้างภพสร้างชาติไม่จบสิ้นนั้น

จะว่าเป็นเรื่องยาก....ก็ยาก
จะว่าเป็นเรื่อง ง่าย....ก็ง่าย

ความง่าย ก็คือทำความเข้าใจได้ไม่ยาก หากเข้าใจจริง เห็นจริงตามนั้น ปฏิบัติตาม ละวางอุปาทานขันธ์ห้าได้
ก็จะเห็นผลของ การปล่อยวาง คือจางคลายจากทุกข์ได้นั่นเอง

ความยาก ยากตรงไหน

ยากตรงที่ จะเชื่อได้อย่างไร ว่าธรรมะ ว่ากฏของธรรมชาติ จะเข้าใจได้ง่ายถึงเพียงนี้

นี่คือความยาก ..... คือยากที่จะเชื่อกับเรื่องง่าย ๆ

จึงหันหลังให้ แล้วไปเสาะแสวงหาคำตอบ หารูปแบบที่ยาก ๆ รูปแบบที่ต้องการต่อไป

นี่คือความยาก คือยากที่จะเชื่อได้นั่นเอง

ผู้ที่เข้าใจได้ ผู้ที่มารวมกันได้ ก็คือผู้ที่ต้องใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองอย่างยิ่งยวดในอันดับแรก

คือ การให้โอกาสตนเอง ได้ลองศึกษา ได้ลองพิจารณา แล้วใช้ปัญญาไตร่ตรอง

ว่า ผิดแผกแตกต่างไปจากธรรมะที่เคยได้ยินได้ฟังมาหรือไม่
แล้วใช้ขันธ์ห้า นี้ ทดสอบ ทดลอง ว่าจะเห็นผลอย่างที่ได้กล่าวไว้หรือไม่
เมื่อเบาบาง จางคลายได้จริง จึงค่อยเชื่อ จึงค่อยมาปฏิบัติในส่วนอื่น ๆ ต่อไป
ซึ่ง นั่นก็คือให้โอกาสตนเอง

ดังนั้นการใช้ปัญญา การพิจารณาไตร่ตรอง จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง...

เพราะ การปฏิบัติธรรมของกลุ่มประสานงานเพื่อการ เตือนภัย(เขากะลา) เน้นการวิปัสสนาเป็นหลัก คือการเห็นจริงตามธรรมชาติ โดยการใช้ปัญญาตัดอุปาทานในขันธ์ห้านั่นเอง.

จึงไม่มี รูปแบบให้ยึดติด ให้ต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้ ต้องปฏิบัติเช่นนั้น เช่นนี้ ต้องอยู่ในกรอบอย่างนั้น อย่างนี้

ดัง นั้น รูปแบบจึงเปลี่ยนไป ไม่เคยทำสิ่งใดนานจนยึดมั่นว่านี่คือรูปแบบ และผู้ทำงานทุกคน ก็มุ่งเน้นที่จะรักษาประโยชน์ตนเป็นหลัก คือมุ่งพิจารณาขันธ์ห้าเป็นหลัก เพื่อถอนจากการยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ห้า ว่าเป็นตัวตน ของตนนั่นเอง

วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ดวงไฟสีส้มลอยขึ้นมาจากบึงบอระเพ็ด

ระบบ

เตรียมการรองรับภัยพิบัติ...ของมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา

จริง ๆ แล้ว เรื่องจานบิน เรื่องมนุษย์ต่างดาว เรื่องการมาติดต่อสื่อสาร การมาเตรียมการ การมาแจกอุปกรณ์เพื่อสะดวกในการสื่อสารกับมนุษย์มากขึ้น สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ย่อมเป็นเรื่องที่เชื่อได้ยากทั้งสิ้น ดังนั้น แม้แต่มนุษย์ต่างดาวที่ให้เผยแพร่เรื่องราวเหล่านี้ออกสู่สาธารณะให้บุคคล ภายนอกได้รับรู้ ทางกลุ่มฯบอกว่ามิได้มุ่งหมายให้เชื่อ เพราะเป็นเรื่องที่เชื่อได้ยาก แต่เป็นการ " แจ้งเพื่อทราบ " เท่านั้น

เปรียบ เสมือนหน่วยดับเพลิง เมื่อไม่ใช่เวลาปฏิบัติงาน เขาก็ใช้ชีวิตเป็นปกติ เหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่ว ๆ ไปนี่แหละ แต่เขาย่อมมีความรู้ ความเชี่ยวชาญในการดับเพลิงมากกว่าบุคคลธรรมดา มีการฝึกซ้อม มีความพร้อม ทั้งกำลังกาย กำลังใจ ซึ่งดูภายนอกเราอาจมองไม่เห็นความแตกต่างอะไร เมื่อมีการแจ้งให้ทราบว่า หน่วยดับเพลิง ตั้งอยู่ที่นี่ แจ้งเหตุฉุกเฉินได้ตามหมายเลขนี้ เราก็ได้รับทราบ รับรู้ แม้จะไม่ได้สนใจก็ตาม แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ในหมู่บ้าน สิ่งที่เราจะนึกถึงก่อนเป็นอันดับแรกก็คือ หน่วยดับเพลิง เพราะรู้ว่าเขาทำหน้าที่อะไร และแจ้งได้ที่ไหน

ใน ขณะที่ทุกคนต้อง วิ่งหนีออกจากไฟ แต่นักดับเพลิงต้องวิ่งเข้าไปหาไฟ ต้องเข้าช่วยคนที่ติดอยู่ข้างใน เข้าไปฉีดน้ำสกัดเพลิง ในวินาทีนั้น เขาต้องใช้ทั้งกำลังกาย กำลังใจ ความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือโดยไม่ห่วงชีวิตตนเอง และมันก็เป็นอัตโนมัติของผู้ทำหน้าที่เช่นนี้ โดยมีอุปกรณ์คือชุดป้องกันไฟในการเข้าไปช่วยชีวิตผู้ที่ติดอยู่ในกองไฟ ภายในอาคารนั้น ดังนั้น เราไม่จำเป็นต้องไปรับรู้ก็ได้ว่า เขามีขั้นตอนการทำงานกันอย่างไร เขาต้องเตรียมอุปกรณ์อะไรไปบ้าง เขาเตรียมการอย่างไรเมื่อไฟไหม้ วิธีการช่วยเหลือต้องทำอย่างไร หรือเขามีวิธีการฝึกซ้อมกันมาอย่างไรจึงไม่กลัวที่จะเข้าไปในกองเพลิงนั้น สิ่งเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องทราบก็ได้ในบุคคลโดยทั่วไป แค่รับทราบผ่าน ๆ ก็ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ควรรู้ไว้ก็คือ มี หน่วยดับเพลิง ตั้งอยู่ที่ตรงนี้ และทำหน้าที่ดับเพลิงเมื่อเกิดไฟไหม้เท่านั้นก็พอ

ซึ่งสิ่งที่ยก ตัวอย่างมานี้ มนุษย์ต่างดาวได้เคยเปรียบเทียบให้ฟัง ซึ่งใช้ได้ทั้งทางโลกและทางธรรม ทางโลกก็คือได้ " แจ้งเพื่อทราบ " ไว้ว่า กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย (เขากะลา) เป็นกลุ่มที่ทำหน้าที่รับข้อมูลการสื่อสารมาจากมนุษย์ต่างดาว ซึ่งภารกิจนี้ก็เพื่อเป็นศูนย์กลางในการประสานงานระหว่างมนุษย์ต่างดาว กับมนุษย์โลก และเป็นศูนย์กลางในการช่วยเหลือในเวลาที่เกิดวิกฤตกับโลกใบนี้ ดัวยเทคโนโลยีจากมนุษย์ต่างดาว ซึ่งโลกใบนี้ วิกฤตการณ์เรื่องของภัยพิบัติ ไม่ใช่เป็นเรื่องของบุคคลใด บุคคลหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของส่วนรวมของมนุษย์โลก

ดัง นั้น คนที่จะต้องมาทำงานเรื่องของภัยพิบัติ ก็ย่อมต้องมีจำนวนมากด้วย มิใช่แค่คนกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มเดียว แต่ทำอย่างไรจึงจะสามารถให้คนกลุ่มใหญ่สามารถรับทราบข้อมูล รับทราบข่าวสาร รับทราบกระบวนการช่วยเหลือภัยพิบัตินี้ได้โดยทั่วถึงกันได้ เพราะมีมากถึง 5,000 คนทั่วโลก ดังนั้น จึงต้องมีการตั้งทีมงานไว้ก่อนล่วงหน้า มีการวางแผน มีการเตรียมการ มีการแจกงานกันมาตั้งแต่ก่อนที่จะมาเกิดแล้ว มีการขันอาสามาทำงานเฉพาะกิจในครั้งนี้ ซึ่งมนุษย์ต่างดาวได้บอกไว้แล้วว่า เขาเตรียมการเรื่องการช่วยเหลือภัยพิบัติไว้เป็น 3 ช่วง คือตั้งแต่ก่อนเกิด ขณะเกิด และฟื้นฟูหลังการเกิดภัยพิบัติ


กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) Team

วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Earth energy grid

ดังนั้นเอง พวก Raptilians จึงใช้เส้นทางของพลังงานที่หนาแน่นของโลกเหล่าสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ ตัวอย่างเช่นรูปข้างล่างเพื่อดึงพลังงานของโลกไปใช้ตามจุดประสงค์

ร่างกายของมนุษย์เองก้อมีจุดของพลังงานที่เหมือนกับโลก



แต่ยังไงก็ตามมันก็เกี่ยวเนื่องกันครับในสิ่งที่ผมกำลังจะพูดถึงต่อไปนี้

พูดถึงความเป็นมาของมนุษย์และreptilians และรู้จักโลกไปแล้ว ทีนี้มารู้จักผู้สร้างหรือพลังงานต้นแบบบ้างครับ (ฟังดูอาจเหมือนนิยาย แต่มันคือความจริง)

พอพูดพูดถึง พระเจ้า หลายคนรีบปัดความคิดนี้ออกไปทันที ที่ผมเชื่ออย่างนั้นเพราะ EGO ของในความคิดมนุษย์สร้างกำแพงบังความจริงนี้อยู่ แต่นักวิทยาศาสตร์หลายคนก็ไม่อาจปฏิเสธแนวคิดนี้ไปได้

จึงได้มีทฤษฏีต่างๆมาค้นหาความเป็นพระเจ้าหรือ เอกภพ

หลายคนถามว่าพระเจ้าคือใคร มีตัวตนหรือไม่ แล้วสร้างจักรวาล โลก สรรพสิ่ง และมนุษย์เผ่าพันธ์ต่างๆมาทำไมเพื่ออะไร (ถ้าถามผมแล้วในบางคำถามต้องตอบว่าไม่รู้จริงๆ)
เพราะสมอง หรือ consciousness อันน้อยนิดของเราเข้าใจได้ไม่หมด

ยกตัวอย่างเช่นโลกของมด กับ มนุษย์ มดจะเข้าใจมั้ยว่ามนุษย์กำลังทำอะไรคิดอะไรอยู่ ไม่มีทาง

พระเจ้าหรือผู้สร้างก็เช่นกัน พลังงานเริ่มต้นหรือผู้สร้างนั้นเกินความเข้าใจของมนุษย์หรือพลังน้อยนิดอย่างเรา

จากการที่ได้ค้นคว้าข้อมูลมามากมาย เราอยู่ในโลกสมมุติก็จริง แต่เราไม่ได้สร้างสิ่งสมมุติโดยการเปลี่ยนฐานข้อมูลในพลังงานของเราทั้งหมด

อย่างที่บอกไป ว่าถ้าเทียบพลังงานของมนุษย์กับพลังงานต้นแบบแแล้วก็เหมือนมดกับมนุษย์หรือเราอาจจะเล็กกว่านั้นด้วยซ้ำ



ถ้าเราพูดว่าเราอยู่ใน matrixนั้นหลายคนอาจจะงง ว่าทำไมเรามีสิ่งที่จับต้องได้ และถ้าอย่างนั้นเรื่องการสร้างโลกก็เป็นเรื่องเหลวไหล

คือมันอย่างนี้ครับ โลกที่เราเห็นและเป็นอยู่ในขณะนี้ มันเป็นสภาวะจำลองที่ถูกสร้างมาจากอนุภาคที่เล็กที่สุด มาจากอนุภาคเดียวกัน

ตัวอย่าง พลังงาน-ควาร์ค(หรือเล็กกว่านั้น)ที่เป็นอนุภาคเริ่มต้น- อิเล็กตรอน-โปรตรอน-อะตอม-โมเลกุล-และสิ่งที่ใหญ่กว่านั้นฯลฯ- และมาจบที่(พลังงาน)

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเรามองลงไปในทีวีหรือคอมฯ ทีวีหรือคอมฯ โดยตัวมันเองมันไม่มีภาพถ้าถอดปลักและถ้ามองลึกลงไปแยกส่วนประกอบ แยกโมเลกุล-อะตอม ฯลฯ จนเล็กที่สุด จนสลายไปก็คือความว่างเปล่าฉนั้นสิ่งที่ขับเคลื่อนคือพลังงานไฟฟ้า

ฉนั้นทุกสิ่งอย่างล้วนมาจากพลังงาน และสุดท้ายก็เหลือแค่พลังงาน อย่างเช่น พลังงานของโลก สุดท้ายมันก็คือพลังงานที่มีรูปร่างเหมือนโดนัท

และพลังงานทุกพลังงาน ทั้งโลกและจักวาลล้วนมาจากพลังงานต้นแบบ เพราะนั้นเองพลังงานโลกจึงวัดความยาวจุดเริ่มและจุดสิ้นสุดของมันไม่ได้

เพราะมันถูกเชื่อมโยงกับพลังงานต้นแบบ



พระเจ้าหรือพลังงานต้นแบบสร้างโลก มนุษย์มาทำไม สร้างยังไง (เอาตามความเข้าใจอันน้อยนิดของมนุษย์นะครับ)

ที่บอกไปข้างต้นว่า พลังงานนั้นมีหลายระดับ 0-12หรืออาจมากกว่านั้น และการที่จะไต่ระดับไปจนไกล้พลังงานต้นแบบ คือการอยู่หรือใช้พลังงานความรักในการขับเคลื่อน ถ้าถามว่าพระเจ้าหรือพลังงานต้นแบบคือใคร ต้องบอกว่าพระเจ้าคือ ความรัก (และพลังงานความรักนั้นแยกย่อยมาอีกเยอะมาก)



พระเจ้าสร้างโลก มนุษย์และจักวาลและสรรพสิ่งมาเพื่อจำลองรูปแบบของความสมบูรณ์แบบ ของความเป็นผู้สร้าง และการสร้างนั้นไม่เคยผิดพลาด

มนุษย์ถูกสร้างมาอย่างสมบูรณ์แบบ (เป็นรูปแบบจำลองของพระเจ้าหรือพลังงานต้นแบบ)แรกสร้างนั้นมนุษย์จดจำผู้ สร้างของเขาได้และรู้สึกตัวว่าตัวเองเป็นใคร

ด้วยเหตุนี้มนุษย์ในยุคโบราณจึงมีอายุที่ยืนยาว

เพราะมนุษย์ยังไม่ถูกควบคุมโดย พวก Reptilians (พวกนี้ก็ถูกสร้างมาเหมือนกันแต่ไม่ได้ถูกสร้างมาให้อาศัยอยู่ที่นี่)

พอมนุษย์ถูกควบคุมก็เริ่มหลงลืมผู้สร้างของเขา และลืมความเป็นตัวเอง(ว่าแท้จริงตนเองเป็นแค่พลังงานและอาศัยอยู่ในรูปแบบจำลองนี้)



ฉนั้นพระเจ้าสร้างมนุษย์และสรรพสิ่ง ด้วยพลังงานความรัก (เช่นเดียวกับมนุษย์ในการสร้าง ประดิษฐ์คิดค้นสิ่งต่าง จนสำเร็จด้วยความรักและเอาใจใส่ในผลงานชิ้นเอก เราก็ภาคภูมิใจในสิ่งที่เราสร้างมากับมือ)

Haarp Project Bluebeam 2

Project นี้ 1) สามารถควบคุมหรือสร้างพายุ แผ่นดินไหว สึนามิ โดยใช้พลังงานเสียงได้ ถูกทดลองใช้ในหลายที่เช่น ไทย

อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น พม่า ล่าสุดและตอนนี้คือ จีน เป้าหมายคือลดประชากรมนุษย์

Space time-lines



มีหลายประเทศที่พยายามค้นหาพลังงานของโลก ( ley-lines)

รูปร่างของพลังงานโลก ley-lines ไม่สามารถวัดความยาวของมันได้ เพราะเส้นทางหรือสนามพลังงานของโลกนั้นมีขอบเขตที่ไม่สิ้นสุด ไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดจบ
ในภาพเส้นที่อยู่ตรงกลางถ้าพลิกมองด้านตรงดู จะเห็นว่าเป็นแค่จุด และมีวงจรขั้วบวกและลบวิ่งอยู่เป็นวงกลม ลักษณะเหมือนโดนัท
แต่ถ้ามองด้านข้างจะเป็นลักษณะเหมือนคลื่นที่วิ่งสลับขั้วบวก- ลบ และจุดตรงกลางที่มันวิ่งมาชนกันจะเท่ากับ 0 หรือสมดุล(Neutral -Zero line)
จุดที่3เรียกว่าสมดุลนั่นแหละ เป็นจุดที่(Absolute )คงที่



ดังนั้น earth energy grid นั้นสุดท้ายแล้วก็คือสิ่งนี้

การเคลื่อนที่นั้นเป็นการเปลี่ยนฐานข้อมูลให้เป็นสิ่งที่มองเห็นได้ เป็นการเคลื่อนที่ระหว่างขั้ว+และ- สรุปคือทุกสิ่งที่เรามองเห็นคือสิ่งที่ว่างเปล่า

มันเป็นเพียงแค่พลังงานเท่านั้น
เช่นเดียวกับร่างกายมนุษย์ ใช้พลังงาน พลักดันร่างกายให้เคลื่อนไหว
แต่จริงๆแล้วด้วยตัวพลังงาน เองแล้วมันไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน มันยังอยู่ที่นั่น ที่เดิม (เวลาของปัจุบัน )In truth, we or our consciousness rather is always in the ETERNAL PRESENT.

Quote
When we see or feel as if we are moving from one location to another, we are not really moving at all. Although it seems as if we are definitely moving through time and space, our senses deceive us . . . it is really just the information that is altering or changing within our own consciousness?? and seeing as our surrounding reality is made-up of our own energy, then this is what we will sense and experience

เรารู้ว่าร่างกายเราเคลื่อนไหว สามารถไปตามที่ต่างได้ ฯลฯ แต่ที่จริงแล้วเราอยู่ที่เดิมเพียงแต่มีการเปลี่ยนฐานข้อมูล ในพลังงาน เท่านั้นเองดังนั้นเราจึงอาศัยอยู่ใน (unconscious)
ที่เราไม่สามารถรู้สึกได้เพราะจิตไต้สำนึกเรายังไม่ตื่น และ Ego ที่พยายามผลักความเป็นจริงเกี่ยวกับผู้สร้างออกไป

Quote
It is the ego that wants to 'avoid the void'. The ego wants to avoid That,which is the True Creator behind its illusory reality, and which has the power to expose the illusion about itself and its world which the ego is trying to dominate and control.

HAARP

ความเคลื่อนไหวของพวก Reptilians & Grays เชื่อว่าหลายคนคงรู้จัก Project Blue beam ในตอนนี้ถูกพัฒณามาเป็น Project H A A R P แล้วครับ

New World Rebels - 'Through The Eyes Of Your Controllers...'

สงคราม(ที่มองไม่เห็น)ต้องมีรู้เขาและรู้เราจึงจะชนะ

เมื่อเรารู้เขาและอาวุธของเขาแล้วก็มารู้เราบ้างและอาวุธของเราบ้าง
--รู้เรา--
เราเป็น สิ่งที่ถูกสร้างมาสมบูรณ์แบบมาก และพลังงานที่มีอยู่ในเรานั้นมีศักยภาพมหาศาล ใน 100 % เรานำมันมา
ใช้มากสุดแค่ 5% นี่เป็นสิ่งที่พลังงานในมนุษย์เราถูกสร้างจากพลังงานต้นแบบ และพลังงานของมนุษย์ทุกคน
มาจากที่เดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน แยกออกจากกันไม่ได้ เป็นเหมือนอนุภาคต่างที่มากจากที่เดียวกันแยกจากกันไม่ได้

แต่การที่ pineal grand หรือ ดวงตาที่3 เราเปิดออก ก็ยังไม่ได้หมายความว่าเราจะเข้าใจหรือใช้ศักยภาพที่เรามีอยู่ได้เลย มัน
เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเปิดหน้าต่างในโลกแห่งความเป็นจริงออก แค่นั้นเอง นี่แหละจึงเป็นสิ่งที่ Andromeda อยากจะสอนให้
เราเข้าใจและใช้พลังงานนี้ เพื่อที่เราจะเป็นอิสระ จากพวก Reptilians หรือ Grays

และ พลังงานของมนุษย์นั้นถูกขับเคลื่อนด้วยพลังงานที่เรียกว่าความรัก (เช่นเดียวกับ UFO ที่ใช้น้ำเป็นตัวขับเคลื่อนใน
การเดินทางได้หลาย dimension ) แต่ก็ยังเป็นระดับ physical class ไม่สามารถเดินทางได้ไกลกว่านั้น (ระดับพลังงาน มี 12
ระดับหรืออาจมากกว่านั้น) แต่พลังงานที่เรียกว่าความรักนั้น มันมีอยู่ในธรรมชาติของมนุษย์เพียงแต่เราไม่รู้วิธีที่จะใช้มันแต่พวก
Reptilians หรือ Grays ไม่เข้าใจในพลังงานนี้เลย

พลังงานความรัก นี้สามารถนำเราให้เดินทางไปถึงในระดับ12 ได้แต่ก็ไม่มีทางไปได้ไกลกว่าพลังงานต้นแบบเพราะมันสิ้น
สุดที่นั่น

แม้แต่ญาติ พี่น้อง ของเราจากดาว Lyrae เองก็ใชพลังงานนี้ในการเดินทางและอยู่ได้ด้วยพลังงานนี้ (นี่แค่ระดับ 4 เองนะครับ) พวกเขายังเรียนรู้ที่จะไปให้ไกลกว่านั้น

พวก Raptiod ควบคุม มนุษย์ได้อย่างไร

1. ควบคุม Pineal grand ของเราโดยทางอาหารและเครื่องดื่มบางชนิดที่มีส่วนผสมของ Fluoride ,aspartame ,และอาหาร
ที่ผ่านกระบวนการ ฟอกสี ขัดเกลา กลั่น สกัด (refine)ที่ส่งผลให้เกิดแคลเซี่ยมเกาะ Pineal grand จึงทำให้ ดวงตาที่ 3
ของเราบอดสนิท และทำให้มองเห็นโลกในความเป็นจริงไม่ได้
2. ควบคุมโดยทางความเชื่อ (Manipulation)
3. ควบคุมโดยใช้ สนามพลังงาน (Earth energy grid)โดยการสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ ในจุดที่มีสนามพลังงานหนาแน่นเหล่านี้
เพื่อ ควบคุมเรา
4. ใช้ เสียงที่มีพลังงานด้านลบ โดยผ่านเสียงที่มีความถี่ต่างกัน
5. ใช้ ภาพสามมิติ {holographic}

" Projects JOSHUA and EXCALIBUR "

รุ่งศิลาProjects JOSHUA นั้นเป็นเทคโนโลยี่ของ NAZI คือ ใช้เสียงในการทำลาย ประสิทธิภาพสามารถ ทำลายเกราะโลหะ
ที่มีความหนา 4 นิ้ว ได้ในระยะ 3 กิโลเมตร และเชื่อว่าอาวุธชนิดนี้สามารถยิง UFO ได้



ปืนยิงคลื่นเสียงความถี่สูง ของนาซีเยอรมัน สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่จุดระเบิดโดยออกซิเจนและมีเทน สามารถสร้าง
แรงดันเกินกว่า 1,000 milibars กำเนิดคลื่นเสียงความถี่สูง สามารถฆ่าคนและสิ่งมีชีวิต ระยะห่างประมาณ 150 ฟุต ในเวลา
เพียง 30 วินาที ที่ระยะห่างเกินกว่าอาจสร้างความเจ็บปวดและบาดเจ็บถึงตาย

โครงการวิจัยนี้ วัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นอาวุธลับ ด้วยการยิงคลื่นเสียงความถี่สูงกระแทกใส่ เครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดใหญ่
โดยการใช้เครื่องก่อกำเนิดเสียง ท่อที่คล้ายปืนใหญ่ ขนาดใหญ่

EXCALIBUR คือ อาวุธนิวเคลียร์ สามารถทำลายฐานของAlienใต้ผิวโลกในพื้นผิวที่แข็งในระยะทางลึก1กิโลเมตรได้

หลายปีที่มีการติดต่อกับ GRAYS นั้น เทคโนโลยี่ได้พัฒนาขึ้นมาก เช่น Antigravity-type Craft ซึ่งสามารถเดินทางไป
the Moon, the planets Mars and Venus,ได้ รัฐบาลสหรัฐยังปิดบังโกหกต่อสาธาระณะชนอย่างมาก ในเรื่องพวกนี้ เช่น
ความจริงที่ว่า บนดวงจันทร์ มีต้นไม้และพืช เติบโตที่นั่น สามารถเปลี่ยนสีได้ตามฤดูกาล และ มีก้อนเมฆ ด้วย
(ด้านมืดของดวงจันทร์) และ สามารถเดินได้บนดวงจันทร์โดยมีแรงโน้มถ่วงเช่นเดียวกับโลก

Quote :
There are areas on the Moon where plant life grows and even changes color with the seasons. This seasonal effect is because
the Moon does not, as claimed,
always present the exact same side to the Earth or the Sun. The Moon has several man-made
lakes and ponds upon its surface, and clouds have been observed and filmed in its atmosphere.


ในปี 1969 บนดวงจันทร์ ได้มีการสู้รบกัน ระหว่างอเมริกา และ โซเวียต เพื่อแย่งดินแดนที่นั่น และมี ผู้เสียชีวิตไป 66 คน
แต่หลังจากนั้นก็กลับมาจับมือกันอีกครั้ง

Project Redlight

Project REDLIGHT ทดสอบการฝึกบิน UFO ซึ่งอยู่ใน Area 51 และอีกที่นึงที่ Dreamland และในที่นี้ก็เป็นที่
แลกปลี่ยน เทคโนโลยี่ยุทธโธปกรณ์ ต่างๆกับ GRAYS

ต่อมาในปี 1955 ทางรัฐบาลสหรัฐได้พบว่า GRAYS ได้ละเมิดสนธิสัญญา คือเรื่องการนำมนุษย์และสัตว์ไปศึกษา พบ
ว่าเสียชีวิตบ้าง พิการบ้าง ผิดปกติบ้าง เพราะมีการพบเจอซากเหล่านี้ทั่วไป และทุกครั้ง ก็ไม่ได้รับการรายงานแต่อย่าง
ใดจาก GRAYSนอกเหนือไปจากนั้น ก็ทราบมาอีกว่า GRAYS ได้ทำสนธิสัญญากับ ประเทศโซเวียต ด้วยและได้มีการ
ติดต่อสอบถามกับGRAYS ก็ยอมรับว่าละเมิดสัญญาจริง และยังได้มีการทดลองกับ มนุษย์ที่มากไปกว่านั้นอีก คือใช้
เวทมนต์ ศาสนา และการบูชาซาตาน
( They stated that they had manipulated the human race through religion, satanism, witchcraft, magic, and the occult. )

และหลังจากนั้น US.Air Force ได้ทำสงครามกับ GRAYS ปรากฎว่าเป็นที่ประจักษ์ว่าอาวุธเราสู้ GRAYS ไม่ได้เลย จาก
นั้นจึงมีคิดค้นคว้าอาวุธที่ทันสมัยขึ้นโดย 35 คน จาก CFR

และหลังจากนั้นอีก ก็พบว่า GRAYS ได้ทำการทดลองเปลี่ยนยีนส์มนุษย์และสัตว์ต่างๆอีกมากมายเพื่อการรักษาเผ่าพันธุ์
ของตนเองไว้ (เพราะGRAYS ไม่สามารถสืบพันธ์ได้ หลังแพ้สงครามกับ Reptilians ก็ได้ถูกพวกนี้เปลี่ยนยีนส์ไป)

MJ 12 ก็ไม่ได้เชื่อถือในคำพูดของGRAYS มากนักแต่ก็จำยอมให้ความสัมพันธ์ดำเนินต่อไปเพราะยังอาศัยเทคโนโลยี่
จาก GRAYS และอีกด้านก็ได้มีการร่วมมือกับ โซเวียต และประเทศอื่นๆด้วย จึงเป็นกำเนิดของ
" Projects JOSHUA and EXCALIBUR "