กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย (เขากะลา)

วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

17 tuned/Electric Moon - Welcome To My Brain (Psytrance 2011)

17 tuned/Electric Moon - Astralis (Psy Trance 2010)

17 tuned Barracuda - We Love Serbia (PsyTrance)

17 tuned/Pause - Alien Step Sequence.

DJ ACA (ALIEN) - GOA PSY TRANCE TRIP MIX ( Infected Mushroom,Goa music....)

วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ระบบ/ข้อความส่วนหนึ่งของการให้โอวาท จากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต

ข้อความส่วนหนึ่งของการให้โอวาท
จากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
วันที่ 30 มกราคม 2542
ณ เขากะลา นครสวรรค์


ในเรื่องของ "มายาดวงจิต"




...............


(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต) เมื่อ 2 ครั้งก่อนที่ผ่านมา ก็มีความจำเป็นที่ต้องนำพระญาณลงมา เพื่อบอกกล่าวสาวกผู้ที่จะมาเป็นทหารในกองทัพธรรมของข้าพเจ้า ขั้นตอนไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร แต่วันนี้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ พร้อมทั้งบุคคล พร้อมทั้งสาระ พร้อมทั้งสถานที่ เพราะสถานที่ตรงนี้ ที่พวกเจ้านั่งกันอยู่นี้ เป็นสถานที่ตั้งของการทำพิธีเปิดกองบัญชาการมนุษย์ต่างดาว ที่พวกเจ้าเรียกกัน ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ เมื่อปีที่แล้ว เพราะว่าทุกคนคงจะได้รับรู้ถึงประวัติต่าง ๆ และเรื่องราวต่าง ๆ ของกลุ่มบุคคลซึ่งได้ต่อสู้ฝ่าฟัน จนกระทั่งมีการนำธรรมไปเผยแพร่ มีการนำธรรมไปปฏิบัติ ต่อตนเองและครอบครัว และต่อผู้มีพระคุณ

มาบัดนี้ ถึงกาลที่ข้าพเจ้าจะต้องแถลงให้กับสาวกที่มีเจตนาที่จะช่วยเหลือแก่มวลมนุษย์ ในอนาคตกาล กาลข้างหน้าอันใกล้นี้

ข้าพเจ้า หรือที่พวกเจ้าเรียกกันว่า ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต ข้าพเจ้าอยากจะเน้นย้ำในการที่ข้าพเจ้าได้ตรัสว่า อนาคตอันใกล้นี้ คำว่าใกล้ของข้าพเจ้า มันหมายถึงใกล้จริง ๆ ใกล้จนแทบจะเตรียมตัวไม่ทันกันอยู่แล้ว มนุษย์ทั้งหลาย บ้านเมืองของเจ้า บ้านเมืองที่เจ้าอยู่ เมืองหลวงของเจ้าในอนาคตกาลนี้ จะเป็นดั่งปัจจุบันของประเทศที่เกิดแผ่นดินไหว พระธรณีพิโรธเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทราบกันบ้างไหม? กินเนื้อที่เท่าไร นั่นเป็นปัจจุบันของเขา แต่จะเป็นอนาคตอันใกล้ของเมืองหลวงของเจ้าจำไว้

แล้วกระไรหรือ ชีวิตของพวกเจ้า ชีวิตของพี่น้อง ญาติ มิตร สหาย เพื่อร่วมประเทศของพวกเจ้าใกล้จะเป็นแบบปัจจุบันของเขาแล้ว เพราะฉะนั้น อนาคตอันใกล้ของเมืองที่พังลงไปไม่ต้องพูดถึง แต่เจ้ามันไกล มันเห็นไกลเหลือเกิน มันอยู่ต่างประเทศ แต่ทำไมเจ้าถึงรู้สึกว่าไกล มันไกลเพราะอะไรรู้มั๊ย? รู้สึกว่าไกลเพราะความประมาทในใจของพวกเจ้า ใครที่คิดว่ามันไกลตัว ยิ่งไกลมากยิ่งประมาทมากในวาระจิตของพวกเจ้า

ข้าพเจ้า พร้อมทั้งเทพที่รักษาในผู้ที่มีบุญบารมีได้มองดูอยู่ตลอด มันซับซ้อนซ่อนเงื่อน ซ่อนกล โดยที่พวกเจ้าก็แทบจะไม่รู้จักจิตของตัวเอง แทบจะไม่รู้จักตัวเองในส่วนรวม


....(1)

ข้าพเจ้าจะยกตัวอย่างในโลกของเจ้า เจ้าเคยดูมายากลเคยดูมั๊ย? บางคนอาจจะไม่เคยดูต่อหน้าผู้ที่เล่น บางคนอาจดูผ่านสื่อต่าง ๆ ในเทคโนโลยีของพวกเจ้า

เจ้าลองคิดดูว่า วัตถุซึ่งบุคคลที่นำมาแสดงกับพวกเจ้า เขาได้ฝึกฝนมาดีแล้ว มาทำให้พวกเจ้าดู ทั้งที่พวกเจ้าก็รู้ว่ามันเป็นกล แล้วจับมันได้มั๊ย.... จับไม่ได้เพราะอะไร? เพราะเขาเร็ว แต่ที่สำคัญ เพราะเราไม่รู้ เราไม่รู้ทันไอ้คนที่มันเล่นให้เราดูใช่มั๊ย? ไม่รู้ว่ามันเอาไปซ่อนไว้ตรงไหน หรือคิดว่าจะไปซ่อนไว้ตรงนั้น แต่จับตาดูไม่ทัน ไม่รู้ว่ามันจะมาทางไหน และจะไปทางไหน

นั่นคือตัวอย่างง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งข้าพเจ้าเอามาเปรียบเทียบให้เจ้าดูว่า สิ่งซึ่งเป็นวัตถุที่มองเห็น ถ้าเจ้าไม่รู้เท่าทันมัน เมื่อดูกี่รอบ กี่รอบ ก็จนปัญญา ไม่รู้จะไปจับผิดตรงไหน แต่นั่นยังเป็นวัตถุ แต่สิ่งที่เป็นจิตใจ รายละเอียดคือดวงจิตของเจ้า ผ่านการสะสมมาอย่างดีของกิเลสตัณหา ของราคะต่าง ๆ ฝึกปรืออย่างดี เทียบกับนักมายากลแล้วดีมากกว่าไม่รู้จักเทียบยังไง หมื่นเท่า พันเท่า แสนเท่า มันเทียบกันไม่ได้ กิเลสมันหมักหมมในจิตสันดานของพวกเจ้า เปรียบเสมือนนักมายากลฝีมือดี ระดับโลกระดับจักรวาลอะไรก็แล้วแต่ ฝีมือดีมาก

แล้วก็เปรียบการรู้เท่าทันของตัวของเจ้า ของสติปัญญาในการระลึกรู้ของพวกเจ้า ขนาดดูด้วยตามองเห็น...วัตถุ ผู้ฝึกปรือมีความรู้ความชำนาญแต่พอประมาณ มีการรับรู้บ้างว่าจะมาทางไหนจะไปทางไหน มีความรู้ทันนะ แล้วเจ้าคิดดู ดวงจิตของเจ้ามันมองไม่เห็นด้วยตา พร้อมทั้งกิเลสที่ฝึกปรือกันมาเป็นหมื่นชาติ แสนชาติก็ดี ชาติน้ถ้าไม่มีผู้แนะนำจะจับได้มั๊ย? มันไม่สามารถจะจับได้เลยนะ ถึงแม้จะมีผู้แนะนำ ถึงแม้มีเค้าโครงที่จะรู้เงื่อนงำที่มาที่ไปในมายากลหรือวัตถุ ยังน้อยคนที่จะจับตาตามได้ มันจับไม่ได้

แล้วดวงจิตของพวกเจ้าล่ะ.... อย่าคิดว่าจะสามารถจับจิตของตัวเองได้อย่างง่ายดาย มันเป็นมายากลของจิตของเจ้าอีกทีหนึ่ง รู้ไม่ทันมันหรอก ถ้า ไม่มีผู้ที่มีบุญบารมีมาตรัสรู้ ชี้แนะ ชี้นำทางสัตว์ทั้งหลายที่ยังวนเวียน เวียนตายเวียนเกิดจนน้ำตาที่หลั่งไหลด้วยความเศร้าโศกเสียใจ เพราะเหตุใด ๆ ก็ตาม มันท่วมเป็นทะเล เป็นมหาสมุทร ก็ยังหาทางออกไม่ได้ เพราะมันหลงกลมายาจิตของพวกเจ้า จิตของตัวเอง เพราะฉะนั้น เจ้าจงดูไว้ว่า ถ้าเจ้ามีความประมาทแม้แต่นิดนึง เจ้าก็ไม่มีทางที่จะรอดมายากลของจิตพวกเจ้าไปได้

(2)

เพราะ ฉะนั้น วันนี้ ข้าพเจ้าจึงต้องลงมาที่นี่ มาดำเนินการ ณ สถานที่ที่เปิดกองบัญชาการ คือสถานที่ที่พวกเจ้านั่งกันอยู่นี้ (จุดที่กล่าวถึง...เขากะลา นครสวรรค์) ผู้ที่มาจากดวงดาราต่าง ๆ อยู่ต่อหน้าพวกเจ้านี้ พระญาณต่าง ๆ มารวมกันอยู่ที่นี้ ขอให้พวกเจ้าอย่าคิดว่าภัยพิบัติมันจะเกิดขึ้นในอนาคต ให้คิดว่ามันเกิดขึ้นในปัจจุบันนี้แล้ว สังวรระวังกันได้

ในปัจจุบันนี้ มันกำลังเกิดขึ้นแล้วทุกขณะ มันกำลังพล่าผลาญชีวิตเพื่อนมนุษย์ของพวกเจ้าไป ส่วนรวมโลก ส่วนรวมประเทศ และมันกำลังใกล้เข้ามาจนถึงตัวเจ้า ในวาระจิตของหลาย ๆ คนที่มีความประมาท ไม่ทุ่มเทจิตใจให้กับการลด ลดความสุขสบาย ลดความอยากของตนเอง ตอนนี้ ต้องลดตอนนี้ ต้องลดความโกรธ ลดความเกลียด ลดทิฐิมานะของตัวเอง ลดศักดิ์ศรี มีสิ่งที่เป็นเป้าหมายในใจของพวกเจ้า ซึ่งพวกเจ้ารู้อยู่แก่ใจ เรียนรู้กันมาก็มากมาย แต่ปฏิบัติไปแค่ 20 % ของสิ่งที่รู้อยู่แก่ใจ แล้วเมื่อไหร่มันจะถึงซึ่งแก่นแท้ของธรรม นี่คือการลด

ต่อไปเป็นการละ ถ้าลดไม่ถึง 100 % โอกาสที่จะละมันก็ยาก โอกาสที่จะเลิกแทบจะไม่มี เพราะอะไร เพราะมัวหลงกล ในดวงจิตของพวกเจ้ามันเล่นมายากลหลอกเจ้าอยู่ มันน่าเวทนา

ผู้ ที่ศรัทธาในผู้ที่มาจากต่างดวงดารา จากต่างจักรวาล เปิดจิตเปิดใจศรัทธาพวกเขา หรือศรัทธาในตัวข้าพเจ้าก็ขออนุโมทนา แต่เจ้าก็รู้ว่าข้าพเจ้ามาที่นี่เพราะอะไร? มาทำไม? การมาที่นี่ มาเยือนโลกของเจ้านี้เพื่ออะไร ไม่ใช่ชื่นชมส่งเดช มันไม่มีความยินดีหรอกนะ มนุษย์ต่างดาวเขาไม่ยินดี อยากเห็นเขาแต่ไม่สนใจว่าเขาต้องการอะไร? อยากขึ้นยาน อยากรู้ในเทคโนโลยี แต่ไม่สนใจว่าเขาสอนอะไร? ว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร?

อาศัยความอยากของตัว เมามัวอยู่ในความอยากนั้น จากเคยปฏิบัติทำดีก็ลดลง มีนะ ปกติปฏิบัติธรรมธรรมดาไม่วอกแวก พอมนุษย์ต่างดาวมา ความอยากขึ้นยานฯ มืดมัว หน้ามืดตามัว ทำให้ใส่ใจในธรรมะลดลงก็มี แล้วมันดีมั๊ย มีสมควรมั๊ย มันถูกเรื่องมั๊ย....

ในวันนี้ เป็นที่ได้บอกไปแล้วว่ามันจะมีความเครียดกันสักนิดนึงสำหรับผู้ที่ต้องการความบันเทิง วันนี้จะไม่มี

(3)

....อาทิตย์ นี้ น้ำตาลเคลือบยาหมดแล้ว ธรรมะโอสถ...อาทิตย์หน้าจะเจอของจริง ของจริงคืออะไร? ของจริงคือ ลด ละ เลิก อาทิตย์หน้าจะพาไปประชุมกันที่บ้านสาวก ที่มีการเทศนาธรรมมาตั้งแต่พวกเขายังไม่เคยรับรู้เลยว่า อนาคตต่อไปจะเป็นยังไง มันน่าสรรเสริญดวงจิตของผู้ที่ฝ่าฟันกันมาในปีแรก จะนำให้พวกเจ้าผู้ซึ่งมาทีหลัง เสียดทานความอยากของพวกเจ้ากลับไปสู่จุดนั้น แต่ไม่บังคับ ไม่มีการบังคับดวงจิตใด ๆ มีแต่พวกเจ้าจะตามข้าพเจ้ามามั๊ย? จะรู้ทันมายากลของจิตตัวเองมั๊ย?

ข้าพเจ้าจักทำทุกอย่าง เพื่อที่จะเสียดทานพวกเจ้าให้เป็นเพชรแท้ ใครที่เป็นเพชรเทียมหลงเข้ามา เขาก็จะทนไม่ได้ เพราะมันไม่มีหวัง เพราะจะเสียเวลาทำมาหากินของพวกเขา เพราะเขาไม่ต้องการสัจจธรรมเท่าไร แค่นี้เขาก็ได้ขึ้นสวรรค์แล้ว เขาคิดยังงั้น

พวกเจ้าที่มีดวงจิตอยากหาทางออกจากวงเวียน วัฎฎสงสาร อยากทราบสัจจธรรมของชีวิต มีใจแน่วแน่จริงจังและตรงต่อพระรัตนตรัย ซื่อสัตย์ต่อจิตของตัวเอง ไม่เป็นนักมายากลจิตใจ สัปดาห์ต่อไปนั้น เจ้าจะต้องไปพุทธสถานนั้น (สันคู นครสวรรค์) ในกาลเวลาประมาณเดียวกันนี้ที่พวกเจ้ามา แต่ถ้ามามืดมันอาจจะหลง เพราะพวกเจ้ามิเคยไปกันบ่อยนัก บางท่านอาจจะเคยไป

แต่ที่นั่น เป็นที่ที่เคยมีการเทศนาธรรม มีการต่อสู่ฝ่าฟันกับกิเลสในเบื้องต้น แต่ต้องไปนะจุดนั้น ถ้าไม่มีพวกเขาที่ต่อสู้ฝ่าฟันในช่วงต้นมา ถ้าพวกเขายอมแพ้กิเลสของตัวเอง จะไม่มีพวกเจ้าในวันนี้ จงจำไว้ จงกลับไประลึกถึง ณ สถานที่นั้น (สันคู) ในวันครบรอบเปิดกองบัญชาการ

เพราะฉะนั้น บนสถานที่นี้ (บนเขากะลา) ไม่ว่าใครจะมา ใครจะไป ใครจะอยู่อย่างไร เป็นสถานที่ส่วนกลางอยู่แล้ว มิมีการห้าม มิมีการที่จะบังคับใครได้ จงกลับไปสำรวจดวงจิตของตัวเอง เพราะข้าพเจ้า ต้องการผู้ที่อยากฝึกดวงจิตของตัวเองให้แกร่ง เจ้าจักเป็นทหารในกองทัพธรรมของข้าพเจ้า ที่จะนำดวงจิตฝ่าฟันกิเลสของตัวเอง เพื่อที่จะไปนำดวงจิตของผู้อื่นที่ทุกข์ทรมาน ฝ่าฟันในดวงจิต ในวาระจิตของพวกเขา

ถ้าเปรียบกับทางโลก ทหารที่เข้ามาฝึกใหม่ ๆ นั้น จะต้องมีการเรียนรู้ การฝึกร่างกาย ทุกคนที่เข้ามาไม่มีความแกร่งของร่างกาย ก็ต้องฝึกวิ่ง ฝึกปีนกันไป นั่นเป็นเรื่องของทางโลก

แต่ ทางจิตใจไม่เหมือนกัน พวกเจ้าเป็นทหารของกองทัพธรรม ข้าพเจ้าจักนำพาพวกเจ้าฝึกให้แกร่ง จิตต้องแกร่ง จิตต้องเข้าถึง เพราะฉะนั้น จะปล่อยให้พวกเจ้ามาไปวัน ๆ ข้าพเจ้าเล็งแล้วมันไม่มีประโยชน์ การจะเป็นบุคคลสำคัญของโลก มิใช่จะฝ่าฟันด้วยความพยายามแค่เล็กน้อย ด้วยปัญญาแค่เล็กน้อย แล้วมันจะผ่านพ้นไปได้ กลับไปคิดกัน ไม่มีการบังคับในวาระจิตของพวกเจ้า ข้าพเจ้าได้แต่ชี้แนะ ชี้แนะแนวทางให้พวกเจ้าเดินตามข้าพเจ้ามา ทั้งสิ่งต่าง ๆ ที่ได้ปรากฏไปแล้วนั้น ทำให้พวกเจ้าหลายคนมีความเชื่อที่เพียงพอแล้ว แต่มันไม่พอกับความอยากของพวกเจ้าเท่านั้น


ทำไม ไฟที่ขึ้นมา ข้าพเจ้าไม่ทำให้มันเป็นสีม่วงล่ะ พลูโตไม่มีหรือสีม่วงน่ะ ทำเป็นสีม่วงให้ส่องเข้ามาแทนที่จะเป็นสีส้ม ทำไมไม่ทำ ทำไมมันกึ่ง ๆ กลาง ๆ เหมือนไฟรถ ให้ถกเถียงกัน ทุกอย่างทุกขั้นตอนมีความหมาย มีเหตุผล แต่เป็นไปด้วยความกรุณาต่อพวกเจ้า สอนให้เจ้ามีปัญญา มิใช่สอนให้เจ้าอ่อนปัญญา


เพราะฉะนั้น ทหารกล้า ทหารกล้าของข้าพเจ้า จงตามข้าพเจ้ามาในสัปดาห์หน้า ทิ้งความอยากของตัวเองซะ ยิ่งอยาก มันยิ่งให้ไม่ได้ บารมีลด ยิ่งไม่อยาก ยิ่งอยากจะให้ มันเป็นอย่างนั้น...

ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่สำคัญของเมืองของเจ้า หรือใคร ๆ ก็ตาม มันไม่สำคัญ....ถ้าวาระจิตไม่ถึง เจ้าเรียนพุทธศาสนา ศึกษาประวัติของพระพุทธองค์ ท่านเสียดทานแค่ไหน เสียดทานด้วยไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไรด้วยซ้ำไป แต่ดวงจิตมีความกรุณาเหลือเกินจะช่วยสรรพสัตว์ บารมีท่านมากจึงได้มีการเสียดทานขนาดนั้นได้ โดยพวกเจ้าถ้าให้ไปค้นด้วยตัวเอง ก็ไม่อยากจะพูดหรอกว่าจะเป็นยังไง?

(4)

ใครจะถามนะ คุยกันก่อนนะ คำถามที่เป็นประโยชน์กับส่วนรวมนะ เป็นประโยชน์ส่วนรวมทุกคนฟังแล้วได้ประโยชน์

(มี ผู้ตั้งคำถาม) ที่นั่งสมาธิอยู่ มีความรู้สึกว่าตัวเองใหญ่ขึ้น พองขึ้น แล้วก็นั่งไปสักพัก พุทโธ พุทโธ ตลอด มีความรู้สึกว่าตัวเองหมุนตลอดนะคะ ไม่ทราบว่าเป็นยังไง


(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต) คำถามนี้ได้ยินกันทุกคนนะ จะขอพูดตอนนี้ ใครที่นั่งสมาธิแล้วมีอาการวูบวาบ ตัวใหญ่ตัวเล็ก ตัวลอย ตัวพอง ตัวสั่น โคลงเคลง เหงื่อออก หรือจะยังไงก็ตาม คนที่ถามนะ ตัวพอง ให้เจ้ารู้นะ อาการมีหลายอย่างนะ แต่มันก็จัดอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน คืออาการที่ออกมาจากจิต นี่คือหนึ่งในการที่จิตของเจ้าเล่นมายากลกับตัวเจ้านะ นี่คือหนึ่ง มันอาจจะมีหมื่น หรือมีแสนนะ แล้วแต่วาระจิตของพวกเจ้า เพราะว่าบางคนใกล้จะบรรลุแล้วมันจะเหลือน้อย บางคนที่ยังหยาบอยู่อาจจะยังมีมายาจิตที่เหลือมาก

นี่คือมายากลของดวงจิตนะ เพราะจิตจะมีใครบังคับเขานั้นมันเป็นมายา มันจะออกมาเป็นอาการต่าง ๆ มันเป็นกลไกที่สลับซับซ้อน แต่พูดรวมง่าย ๆ มันเป็นหนึ่งในมายากลในดวงจิตของเจ้า แต่ละคนจะเป็นของตัวเอง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ธรรมะรวบรัดขั้นตอนก็คือ บทสรุปของธรรมะ ไม่ให้มีการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดทั้งนั้น

จะขอทำความเข้าใจก่อนว่า...การปฏิบัติธรรม ฟังข้านะ ข้าพเจ้าจะอธิบายต่อ การที่บทสรุปของธรรมที่สูงสุดก็คือ สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ธรรมะทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น คำนี้เป็นคำที่เป็นสัจจะธรรมขั้นสูง แต่การปฏิบัติในการที่จะลุล่วงถึงสัจจธรรมขั้นสูงนั้น ถ้าเจ้าอ้างมายาจิตของพวกเจ้าเอง เราจะไม่ยึดมั่นถือมั่นในธรรมะ จริง ๆ แล้วมันเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ พอถึงจุดหลุดพ้นแม้แต่ธรรมะท่านก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น แต่ผู้ที่วาระจิตไม่ถึงนั้นแล้ว จะข้ามขั้นตอน จะไม่ยึดมั่นถือมั่นในธรรมะนั้น นั่นถือว่าหลงกลในมายาจิตของตนเอง

เพราะ ฉะนั้น การที่เราจะไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่าง ๆ นั้น ต้องเริ่มจากกิเลสขั้นหยาบก่อน ขั้นที่เรียกว่า บาป ในความโกรธ ความเกลียดก็ดี ในสิ่งที่บุรุษทั้งหลาย บุคคลทั้งหลายบอกว่าสิ่งนี้ไม่ดี ก็ดี จงละ ลด ละ เลิก และไม่ยึดถือ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้นก่อนต่อไป ก่อนที่จะละในสิ่งชั่ว เราก็ต้องยึดความดีถูกมั๊ย ในแง่ของปุถุชนธรรมดาทั่วไป ก่อนจะละสิ่งอื่นมันก็ต้องมีที่ยึดเหนี่ยว ปุถุชนธรรมดาจะไปยึดถือความว่างบริสุทธิ์ จิตมันยังทำไม่ได้ ต้องยึดถือความดี ต้องละความชั่วก่อนยึดความดีเอาไว้ ต่อไปเมื่อละความชั่วแล้ว จะเป็นการปฏิบัติให้รู้ถึงขั้นตอนถ่องแท้ของความดี ความดีมันมีกลไกอย่างไรบ้าง มีกลไกยังไง รู้เท่าทัน "ความดี" หรือสิ่งที่เรียกว่า "บุญ" จึงปฏิบัติขั้นสูง ละบุญในขั้นต้น


สำหรับโสดาปฏิผลนั้น ไม่ถึงขนาดละบุญกันหมด แต่ให้รู้ว่า บุญ คืออะไร? บาป คืออะไร? สิ่งที่ควรยึดถือคืออะไร ยังไม่ถึงขั้นหลุดพ้น ถึงขนาดขั้นไม่ยึดมั่นถือมั่นแม้แต่ธรรมะ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องวางก็คือ อกุศลธรรมและอกุศลกรรม อกุศลธรรม ควรจะวาง และอกุศลกรรม คือการกระทำในสิ่งที่เป็นอกุศล ควรจะละ ลด ละ เลิก วางในสิ่งนั้น

ต่อไปตอน นี้ สิ่งที่ควรกระทำคือ กุศลธรรม และ กุศลกรรม ทำเอาไว้จนถึงจุดหนึ่งจะสอนให้ลด ละ เลิก วาง เขาเรียกว่า ...วางบุญ...ลงซะ

แต่มันยังไม่ถึงขั้นนั้น ขั้นนี้ให้...วางบาป...ลงก่อนนะ สาหัสแล้วนะ นะ วางสิ่งที่ในสามัญสำนึกของคนธรรมดาทั่วไปเขาก็จะรู้ว่าผิดชอบชั่วดี ผิดถูกนะจะรู้กันอยู่ แต่พวกเจ้าจะต้องรู้ให้ละเอียดขึ้นอีก และก็จะต้องทำได้จริงนะ เอ้า..คนที่ถามมาน่ะพอจะเข้าใจมั๊ยว่า สิ่งที่เจ้าถามนั้น นั่นคือหนึ่งในมายากลดวงจิต ดวงจิตมันเล่นมายากลหลายอย่าง มันไม่มีความหมายอะไรนะ อืม..เข้าใจมั๊ยล่ะ

(5)

(มีผู้ตั้งคำถาม)..ถ้านั่งนิ่ง ๆ ไปแล้วไม่เห็นอะไรเลย ทำจิตให้ว่าง ก็จะไม่เห็นอะไรเลยใช่มั๊ยครับ...

(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต) เออ...จงไปฟังธรรมะที่ข้าพเจ้าเคยตรัสไว้นะ ตรงที่มีบุคคลถามถึงแก่นแท้ของการปฏิบัตินะ ที่ตรัสไว้ในศาลาข้างล่าง เพราะฉะนั้น ท่านมาทีหลังท่านไปฟังเรื่องแก่น เรื่องกระพี้การปฏิบัติ เอาไปฟังจักรู้เป้าหมายในดำการปฏิบัติ ถ้าเจ้ากระทำแล้ว กระทำจิต เรียกว่ากระทำจิตตามนะ ตามที่ได้แนะนำไว้มันจะเป็นทางลัด

เออ...ใคร มีอะไรที่เป็นวงกลมมั๊ยล่ะ วงกลม ๆ น่ะ เอานี่จะยกตัวอย่าง ของที่กลม ๆ (ฝาตุ่มน้ำมาให้) อ้อ...นี่ฝาชี ฝาตุ่ม เห็นกันมั๊ย ถ้าคว่ำอย่างนี้ก็คือเวียนนะ วนเวียนกันอยู่ไม่รู้จะออกยังไง มันหาทางออกไม่ถูก ทางวนไปวนมาไม่ค้นพบจุด จุดนี้อาจจะเป็นวงเวียนนี้ คือวนเหมือนกัน ยังวนไม่ถูกที่วนไม่ถูกทาง ก็วนกันไปก่อนยังไม่ถูกทางน่ะนะ จนถึงผู้ได้รับการชี้แนะอย่างถูกต้องนะ ที่มีจิต...ปณิธานนะ(ปณิธาน หมายถึง ความตั้งใจจริงที่จะบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ จนไม่เห็นสิ่งอื่นมีค่าควรแก่การสนใจอีก)

จิตอธิฐานนั้น สำหรับการปฏิบัตินะ โค้งตรงนี้ เทียบธรรมดาเหมือนโค้งของโลกพวกเจ้า เรียกอะไรก็ได้นะ การที่จะสวนทางขึ้น การที่จะเดินขึ้นเนี่ยนะ


คลื่นเริ่มอ่อน....การส่งคลื่นมานี่ มันเป็นวิทยาศาสตร์ชั้นสูง ซึ่ง อธิบายลำบาก บางคนคิดว่าเป็นไสยศาสตร์ แต่มันไม่ใช่ ซึ่งมีการคล้าย ๆ แบตเตอรี่นั่นแหละ ถ่ายไฟอ่อนได้ ก่อนที่จะจบนะ อันนี้เป็นสุดท้ายแล้วกัน


เห็นมั๊ยโค้งตรงนี้ พวกเจ้ายืนอยู่นะจุดตรงนี้ เรียกว่า 50 - 50 สำหรับโค้งนี้นะ ประมาณตรงนี้นะ เออ ฝาอะไรเนี่ยนะ ตอนนี้ 60 บุคคลนะ พูดถึง 60 บุคคลขึ้นอยู่โค้งประมาณนี้ ดูมันกึ่ง ๆ ไม่ถึงขนาด 50 - 50 ขึ้นมาถึงกึ่ง ๆ 60 บุคคลนะ

เพราะฉะนั้น การปฏิบัติเป็นธรรมดาของพุทธศาสนา ซึ่งมีการแต่งแต้มประเพณีต่าง ๆ คำนิยมต่าง ๆ เติมตามยุคสมัยต่าง ๆ มาเป็นเวลา 2500 ปี นึกเท่าไรพวกเจ้าก็คงนึกไม่ออกเท่าของจริงว่า แก่นแท้นั้นมันถูกทับถม แก่นแท้ตั้งอยู่ที่เดียวคือแก่น แต่มันถูกทับถมด้วยเปลือก ด้วยกะพี้ ด้วยใบไม้ ต้นไม้ต่าง ๆ ทับถมกันมา 2500 ปี ทีละเล็ก ทีละน้อย ความบริสุทธิ์ของแก่นนั้นมันถูกทำให้หมองมัวลงไป จึงเป็นการยากที่ผู้ที่เกิดมาในกึ่งพุทธกาลนี้ จะเชื่อจริง ๆ ว่า นี่คือแก่น.... เพราะอะไร เพราะติดที่ความหรูหรา เพราะติดที่การสั่งสอนกันมา บางท่านก็ยึดติดในแบบของการทำสมาธิ แบบนี้มีคนทำเยอะ แบบนี้เขาบอกทำง่ายไปฝึกวัน 2 วัน ก็สามารถบรรลุตามได้ง่าย หรือแม้กระทั่งมีการเผยแผ่ของพลังต่าง ๆ

ยังไงก็ตาม บางคนเหมารวมเอาเป็นพุทธศาสนา ยังมีหลายคนมองพระพุทธศาสนาได้ไม่ถึงหลักของความจริงที่เขามีอยู่ สัจจะธรรมมีอยู่ มองได้แค่ ม ม้าตัวหลัง มันก็ ม ม ม.อะไร ม.มัวหมอง มอมแมมอะไรก็แล้วแต่ มองได้แต่ ม. มันไม่ถึงตัว ส. ข้างหน้า เพราะฉะนั้น มันจะไม่พบสัจจะธรรม อืม ญาณอ่อนนะ เดี๋ยวให้บทเรียนสุดท้ายเสร็จก่อนนะ พูดถึงแก่นแท้ของธรรมจากสาขาต่าง ๆ ข้าพเจ้าถึงบอกว่า คิดดูแล้วให้วางกันไว้ วางไว้ก่อน เพราะแต่ละคนจะยึดติด ธรรมะของใครคนนึง แต่คนยึดติด ปฏิบัติยึดติดสำนัก ยึดติดการบรรลุ ยึดติดอิรุงตุงนัง แต่ทุกอย่างถ้ายังไม่ถึงขั้น มันยังอยู่ในมายากลของดวงจิตอยู่ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ควรที่จะเข้าใจหลักกลไกของธรรมะนั้น...

(6)

...
บุคคล ที่จะพัฒนาดวงจิตของตนเอง สามารถทำได้ในชาติที่เป็นมนุษย์นี้ แต่ถ้ายังหลงเชื่อมายากลของดวงจิต ไม่มีการขัดขืน ไม่มีการฝืน หลงติดในภาพลวงของมายา ยศถาบรรดาศักดิ์ภายนอก โอกาสที่เจ้าจะวนอย่างนี้ วนเป็นลูกข่างนะ วนเป็นลูกข่างต่อไป โอกาสต่อไปไม่มีคนนำนะ ถ้ายังอยู่ใน 60 นะ จะมีคนนำในศาสนาหน้า แต่การจะเป็นผู้นำมันยาก มันยากในการที่จะฝืนดวงจิต ไม่ใช่เอาเจ้าไปทรมาน เอาตะปูทิ่มเมื่อไหร่ แต่เอาดวงจิตไปเสียดทาน ไปเสียดแทงกับความอยากที่เจ้าเคยผ่านมา นั่นเป็นวิธีการอันแท้ อันเก่าแก่ของพระพุทธองค์ นึกดู เจ้าจะมาเห็นพระพุทธรูปใหญ่โตในสถานที่ เป็นคนที่เขาบูชา แต่ดูประวัติท่านซิ...ท่านอยู่ในป่า ท่านเสียดทาน ขนาดฝึกกับผู้ที่เป็นอาจารย์ให้ท่านแรก ๆ จนถึงขั้นสมาบัติ ท่านยังรู้ว่ามันไม่ใช่ ท่านยังกลับมาหาวิธีการของท่าน ด้วยการกลับเข้าสู่ป่า ลด ละ เลิก แต่ท่านมีภูมิปัญญาเลิก จึงสามารถหลุดรอดบรรลุขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้น พวกเจ้าถ้าตามข้าพเจ้ามา ในวาระจิตของพวกเจ้า โดยพยายามลดมายา ลดภูมิรู้ของตัวเองในการยึดติดต่าง ๆ เป็นเครื่องประดับความรู้ได้ แต่อย่าเอามายึดในการที่จะมาเป็นข้อโต้แย้งอะไรต่าง ๆ นั้น ต่อรองอะไรต่าง ๆ นั้น มันทำให้กลุ่มเขาเสียเวลา

เพราะฉะนั้น ยิ่งรู้มากยิ่งยากนาน อาจจะใช้ได้ในกรณีหนึ่ง นี่ไม่ได้หมายถึงผู้รู้ทั่ว ๆ ไปนะ แต่หมายถึงการที่จะออกจากมายาของจิต ถ้าผู้ที่มีภูมิรู้มากอย่างที่บอกนะ แนะนิดนึงเขาปรับจิตได้เขาจะไปเร็ว แล้วเขาจะเป็นผู้นำ

แต่ผู้ที่รู้มากแบบไม่ถูกน่ะนะ เรียกว่ามิจฉาทิฐิมันมาก ได้รู้แบบมิจฉาทิฐิ ยึดอยู่นั่นแหละ ยึด ยิ่งรู้มากมีหลายเส้นให้ยึด ยึดอยู่ ปล่อยเส้นนี้ ก็ยึดเส้นนู้น เพราะมันมี ศึกษามา 12 สาขา ยึดไว้ ปล่อยไปสาขาหนึ่ง เหลืออีก 11 ยังเสียดายอยู่ ไอ้พวกที่มี 1 สาขา พอมันปล่อยแล้วมันก็ปล่อยเลย ถูกมั๊ย.. มันรู้น้อย อย่าให้เป็นแบบนั้น ยิ่งรู้มากยิ่งยากนาน มันไม่ดี เพราะมาเจอของจริงแล้ว ยิ่งรู้มากให้ใช้ประโยชน์จากสาระ หรือเกล็ดธรรมะ ของสิ่งที่รู้ในข้อดีข้อเสียมาสั่งสอนบุคคลซึ่งเขาไม่รู้ เป็นเกล็ดอะไรต่าง ๆ หรือประสบการณ์ชีวิตต่าง ๆ ที่เนิ่นช้ามานานเลยก็ได้ พวกเรียนต่าง ๆ น่ะ เอาสิ่งที่เป็นธรรมะสอนเข้าไป เออ...พอละนะ...

(7 จบ)

......




ข้อความส่วนหนึ่งที่ถอดจากเทปบันทึกเสียง
ของการให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
วันที่ 30 มกราคม 2542
ณ เขากะลา นครสวรรค์
...

วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ระบบ/มนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา

สิ่งที่ได้จะได้กล่าวต่อไปนี้ เป็นข้อมูลที่ได้รับการสื่อสารมาจากผู้ทรงภูมิปัญญาจากต่างดาว ซึ่งได้มีการมาเตรียมความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือมนุษย์ ในเวลาที่เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่บนโลกใบนี้

การมาเตรียมการให้ความ ช่วยเหลือโลกมนุษย์ในครั้งนี้ ถือว่าเป็นครั้งใหญ่ เป็นการเตรียมการมานับพันปี ระดมกันกันมาจากหลายดวงดาว เรียกว่า สหพันธ์แห่งดวงดาว

คือดวงดาวต่าง ๆ ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มสากล ซึ่งแต่ละดวงดาว มีความเชี่ยวชาญในงานแต่ละด้านแตกต่างกัน บางดาวเชี่ยวชาญในด้านของเทคโนโลยี บางดวงดาวเชี่ยวชาญด้านชีวภาพ พืชพรรณธัญญาหาร บางดาวเชี่ยวชาญด้านมิติ บางดาวเชี่ยวชาญด้านยกระดับจิต ด้านสมาธิจิต บางดาวเชี่ยวชาญด้านพลังงาน บางดาวเชี่ยวชาญด้าน กายภาพ บางดาวเชี่ยวชาญด้านสร้างสภาวะแวดล้อมเช่นสร้างใยแก้วป้องกันรังสี นิวเคลียร์ บางดาวเชี่ยวชาญด้านทำลายรังสีตกค้าง เพื่อป้องกันสภาพแวดล้อมแล้วให้สามารถอาศัยอยู่ได้

ดังนั้น เมื่อมนุษย์ต่างดาว ผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้าน ได้มาร่วมโครงการช่วยเหลือภัยพิบัติในครั้งนี้ แต่ละดวงดาว จึงได้มีการวางตัวผู้ที่จะเป็นตัวแทนของมนุษย์โลก ที่จะต้องทำหน้าที่ใน ด้านต่าง ๆ ร่วมกับมนุษย์ต่างดาวในดวงดาวนั้นไว้ก่อนแล้ว

บุคคล นั้น ๆ ก็จะได้รับการสื่อสาร ได้มีการสัมผัสกับสิ่งแปลก ๆ คืออุปกรณ์ต่าง ๆ พลังงานรูปแบบต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับสิ่งที่จะต้องทำงานร่วมกับเขานั้น


จึงจะเห็นได้ว่า มีมนุษย์โลกมากมาย หลายกลุ่ม หลายประเทศ ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้ และมาจากดวงดาวที่มีชื่อเรียกต่าง ๆ มากมาย ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ
ชื่อดวงดาวแตกต่างกัน มีการสื่อสารมาแตกต่างกัน มีการรับรูปแบบของเทคโนโลยีแตกต่างกันไป

แม้ ในประเทศไทยเอง ก็จะพบว่ามีแต่ละกลุ่มแต่ละดวงดาว ที่สื่อสารกับกลุ่มนั้น ๆ มีการบอกกล่าว มีการเตรียมการ มีการให้เทคโนโลยี หรืออุปกรณ์กับกลุ่มนั้น ๆ แตกต่างกันไปตามงานที่เขาต้องทำ

จึงไม่ อาจทราบได้ว่า กลุ่มนั้น ๆ รับข้อมูลใดบ้าง ติดต่อกับดาวดวงใดบ้าง หรือเขามีหน้าที่เตรียมงานในส่วนใดบ้าง เพราะแต่ละที่ แต่ละกลุ่ม ก็ทำตามข้อมูลที่ได้รับมานั้น ๆ


ดังนั้น ในส่วนของกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) เป็นกลุ่มที่ได้รับข้อมูลมาเพื่อการประสานงานกับกลุ่มต่าง ๆ การเตือนภัยพิบัติหากมีการส่งข้อมูลมาให้เตือนมนุษย์โลก การเตรียม อุปกรณ์ในด้านต่าง ๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือ การยกระดับจิตของผู้ทำงานและผู้ที่ได้รับทราบในโครงการนี้

การ เตือนเรื่องของภัยพิบัติ จึงต้องมีการเผยแพร่ข่าวสารออกสู่สาธารณะ ให้คนทั่วไปได้รับทราบ จึงต้องมีการจัดทำกิจกรรมขึ้น มีการแจ้งเพื่อทราบผ่านกิจกรรมนั้น ๆ มีการนำอุปกรณ์ไปทำการรักษาผู้ป่วย สแกนกรรม หรือดำเนินการเรื่องอื่น ๆ ก็เพื่อเป็นการเปิดเผยเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวที่มาเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ โลก และให้รับรู้ถึงเทคโนโลยี ที่จะมีการนำมาช่วยเหลือได้จริงในวิกฤติที่จะเกิดขึ้นนั้น

อุปกรณ์ เทคโนโลยีจากต่างดาว ผลิตหลายแบบ หลายชนิด และมีประสิทธิภาพเพื่อการใช้งานได้จริง ผลิตมามากมายเพื่อแจกให้มนุษย์โลกได้นำไปช่วยเหลือในยามวิกฤติ

มีตัวอย่างอุปกรณ์หลายชนิด ที่นำมาให้ทดลองใช้แล้ว ในผู้ฝึกรุ่นแรก ที่เขากะลา

ซึ่ง ในรุ่นถัดมา สิ่งเหล่านี้ ได้มีการนำมาให้ใช้ มาให้เห็น มาให้พบเจอ เพื่อเป็นการยืนยันว่า สิ่งที่เขากะลารุ่นแรกพบเจอนั้น มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง และได้มีการนำอุปกรณ์นั้นมาให้รุ่นต่อไปได้รับทราบด้วยเช่นกัน


กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)

ระบบ/ อยู่กับสมมุติได้ โดยไม่ทุกข์

ต้นไม้ กี่ต้น กี่ต้น ที่ขึ้นมา มันก็เป็นของมันอย่างนั้น มันมีคุณสมบัติแต่ละอย่างแตกต่างกันไป ให้ผล ให้ดอก แตกต่างกันไป มันก็ไม่ได้รู้ว่ามันชื่ออะไร

แล้วแต่ใครจะเรียกมันว่าต้นอะไร ผลอะไร มันก็ไม่ได้รุงรังไปกับสมมุติที่ไปตั้งให้มัน

แล้วทำไม เรา...ก็อยู่ในโลกสมมุติเช่นกัน ยังรุงรังไปด้วยสมมุติมากมาย ที่ใครๆเขาตั้งให้ เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นป้า เป็นอา เป็นนักเรียน เป็นอาจารย์ เป็นคนดี เป็นคนเลว เป็นคนสวย เป็นคนไม่สวย

สมมุติใดๆ ถ้าเข้าใจก็จะไม่ติดในสมมุตินั้นๆ ทำหน้าที่ทุกอย่างได้อย่างไม่ยึดมั่นถือมั่น เป็นพ่อ ก็ทำหน้าที่พ่อไปตามความเหมาะสม เป็นสามี เป็นภรรยา เป็นพี่ เป็นน้อง ก็ทำหน้าที่ไปตามความเหมาะสม เป็นเด็ก เป็นผู้ใหญ่ เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นครู เป็นหัวหน้า เป็นลูกน้อง หรือจะเป็นอะไร ต่ออะไร ก็ทำหน้าที่ตามที่ได้เกิดมาในสมมุตินั้นๆอย่างเหมาะสม

ธรรมะคือหน้าที่...นี่เป็นเรื่องถูกต้อง

ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นสมมุติ แต่ก็ยังยึดติดในสมมุติ ยังทุกข์ ยังห่วงหาอาทรกับสมมุตินั้นๆ ไม่เพียรเร่งทำความเข้าใจ ทุกข์ทรมานมากมาย

เมื่อหมดเวลา เพราะต้องตายจากชาตินี้ไป คืนดินน้ำลมไฟสู่ธรรมชาติ ก็จะต้องไปสมมุติใหม่ ไปมีพ่อ มีแม่ มีพี่ มีน้อง มีลูกเมีย ในชาติถัดๆไปกันอีก

ก็ยึดกันใหม่ สมมุติกันใหม่ ทุกข์สุขกันใหม่ ในภพชาติต่อๆไปทั้งสิ้น

ครอบครัวใหม่ๆ กับภพชาติใหม่ๆ ที่ต่อเนื่องยาวนานกันมาแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้

แล้วทุกข์กับเรื่องสมมุติกันมาเท่าไร

ถ้าเข้าใจให้ตรงกับความเป็นจริง ทุกข์จากสมมุติ...ก็หลอกกินเราไม่ได้...เพราะความเข้าใจและรู้เท่าทันนั่นเอง

อย่างเช่น คนที่ยึดติดรูปลักษณ์ ความสวย ความงาม ความหล่อ ของร่างกาย

อยู่กับสมมุติได้ แต่ต้องเข้าใจสมมุติให้ถูกตรง

ถ้ายืนคนเดียว เราก็เป็นอย่างนี้แหละ สบายๆ

แต่มีคนใหม่มายืนข้างๆ คนเดินผ่านมา ซุบซิบว่า เราหน้าตาดีกว่าอีกคน

ยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่ มีความสุข เพราะเราสวยกว่า หล่อกว่า

แต่พอคนนี้เดินไป คนใหม่เดินมายืนข้างๆ รูปร่างสวยงาม คนเดินผ่านมาแล้วซุบซิบกันว่า คนนั้นสวยจัง

ตอนนี้เรากลายเป็น...ไม่สวย...ไปแล้วตอนนี้

เมื่อมีของสองสิ่งคู่กัน เมื่อนั้นย่อมมีการเปรียบเทียบ

แล้วก็ต้องสมมุติสิ่งหนึ่งขึ้นมาเปรียบเทียบกัน

สวย ไม่สวย หล่อ ไม่หล่อ หนุ่มกว่า แก่กว่า เด็กกว่า ก็ไม่ได้มีจริง มันเป็นสมมุติเพื่อเปรียบเทียบนั่นเอง

หน้าตาอย่างนี้ ก็คือหน้าตาอย่างนี้แหละ ใครจะเรียกอะไรก็ตามที

ถ้ายังขึ้นลงไปกับสมมุติภาษา ที่เรียกขานกันว่าอย่างนั้นอย่างนี้แล้ว

จะรุงรัง มากมาย จะทุกข์อีกเท่าไร หากต้องเร่งขนขวาย ตะเกียกตะกายเพื่อให้สวย ให้หล่อได้ตามที่ใครๆสมมุตินั้น

ซึ่งแม้แต่ทางธรรมะ ยังไม่ให้เปรียบเทียบเลยว่า เราดีกว่าเขา เขาดีกว่าเรา หรือเราเสมอเขา

เพราะการเปรียบเทียบ ก็ย่อมต้องมี 2 สิ่งมาเปรียบเทียบกัน จึงต้องมี ดีกว่า สวยกว่า หล่อกว่า ใหญ่กว่า ขาวกว่า หนักกว่า แล้วแต่จะเปรียบเทียบกับอะไร

ซึ่งความจริง ทุกสิ่งมันก็เป็นของมันอย่างนั้น มันก็ตั้งอยู่ในปัจจุบันขณะนั้นๆแหละ แล้วแต่ใครจะสมมุติให้มันเป็นอะไร สมมุติให้เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นหมา เป็นแมว เป็นนก เป็นสิ่งนั้น เป็นสิ่งนี้ เป็นชื่อนั้น เป็นชื่อนี้

ทั้งๆที่ธรรมะก็บอกอยู่แล้วว่า ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ได้เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ทุกอย่างเป็นสมมุติทั้งสิ้น

ยืนอยู่ เดินอยู่ นั่งอยู่ นอนอยู่ ยังไม่ได้เป็นตัวตนเลย

แล้วนับประสาอะไร กับสมมุติมากมายที่ใครต่อใครตั้งให้ มันจะเป็นของตนแน่หรือ?

ควรหรือ? ที่จะไปยึดมั่นถือมั่น กับสมมุตินั้นๆ ที่ตั้งกันขึ้นมา

ยังต้องเดินทางกันอีกยาวไกล จะต้องแบกสมมุติมากมายไปด้วย...มันจะเดินไหวไหม

เพราะโลกนี้ เป็นของว่าง ว่างโดยสมมุติอยู่แล้ว

หากยังไม่พ้นจากอวิชชา คือเห็นผิดคิดว่าเป็นตัวตนแล้วนั้น ก็ยังคงต้องอยู่กับโลกสมมุติกันร่ำไป

เราเกิดมาก็มากด้วยสมมุติมากมาย ชื่อ นามสกุล พ่อ แม่ พี่ น้อง ลุง ป้า น้า อา พอจากกันไป แต่ละคนก็แยกย้าย ไปสมมุติกันใหม่ ในภพภูมิถัดไป

เราจึงมีพ่อแม่ พี่น้อง ลูกเมีย เพื่อนพ้องกันมาเป็นแสนๆชาติ

แล้วก็สมมุติกันมาอย่างนี้ไม่รู้กี่กัปป์ กี่กัลป์

เรา ก็จะมีสมมุติสะสม มากขึ้นเรื่อยๆ สมมุติทั้งหลาย ก็ไม่ได้เลือกที่จะมี จะเป็น แต่มันเป็นเหตุปัจจัยตามธรรมชาติ ที่บังคับบัญชาไม่ได้

เราไม่ได้อยากเป็นป้า มันดูแก่มากเลย แต่ว่าน้องสาวแต่งงานแล้วมีลูก ลูกก็เรียกเราป้า

ฉันเพิ่ง 30 ยังสวยพริ้ง จะให้ฉันเป็นป้าได้ยังไง

นั่นแหละ ตัวตนจึงเกิดขึ้น ความทุกข์จึงเกิดขึ้น เพราะความไม่อยากเป็นนั่นเอง

แต่ก็ไปเปลี่ยนไม่ได้ เพราะมีน้อง และน้องมีลูก เราจึงต้องเป็นป้า ตามภาษาสมมุติ จะขอลาออกจากการเป็นป้าก็ไม่ได้ เพราะเขาสมมุติลำดับขั้นการนับญาติเช่นนี้ไปเรียบร้อยแล้ว

ดังนั้น ตัณหา จึงเป็นต้นเหตุให้เกิดทุกข์

กามตัณหา อยากได้

ภวตัณหา อยากมี อยากเป็น

และวิภวตัณหา ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น

เพราะไม่อยากเป็นป้า เลยต้องทุกข์ไปตามระเบียบ

นี่คือสมมุติ ทุกอย่างเป็นสมมุติ ที่มนุษย์ตั้งขึ้น เพื่อความเข้าใจในหมู่คนส่วนใหญ่ในสังคมนั้น จะได้เข้าใจตรงกัน เราต้องอยู่กับสมมุติทุกวัน ก็ไม่ได้หมายความว่า ต้องไปเปลี่ยนอะไร แต่ให้รู้จักสมมุติให้มาก เพื่อจะได้ไม่ไปยึดติดกับสมมุตินั้นๆ

แล้วเราก็จะอยู่กับสมมุติได้ โดยไม่ทุกข์นั่นเอง