กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย (เขากะลา)

วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554

มนุษย์ต่างดาวเตือนภัยฯ 2012 - 1/4

Mind Control and the New World Order - David Icke LIVE at Oxford

Nazi's on the dark side of the moon.

โทรจิตติดต่อต่างดาว-ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน









ประวัติความเป็นมาของ ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน ที่เกี่ยวข้องกับยูเอฟโอและผู้ขับขี่ยานบิน

.........เมื่ออายุ 10 กว่าขวบ ขณะที่อยู่กรุงเทพฯ พบปรากฎการณ์ ประหลาดกับตัวเอง ที่มีแสงส่องจากเมฆลงมาที่ตัวหลายครั้ง มีครั้งหนึ่งถึงกับเป็นลมล้มลง มีรอยแดงที่หน้าอกเป็นวงกลม แสงมักส่องลงมาจากเมฆ และคิดว่ามีสิ่งเคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลังม่านเมฆนั้น

.........พ.ศ.2497 เห็นยูเอฟโอ 2 ลำ (รูปร่างกลม มีโคนสีเงิน มีหน้าต่างรอบ) ขณะไปตั้งแคมป์กับเพื่อนชาวอเมริกัน ที่รัฐเวอร์มอนต์ สหรัฐอเมริกา ในตอนเช้าราว 10 : 00 น. มีคนเห็นทั้งหมดมากกว่า 1,000 คน เป็นระยะเวลานานถึง 2 ชั่วโมง เมื่อเครื่องบินขับไล่ 2 ลำของสหรัฐขึ้นสกัด ยูเอฟโอ 2 ลำ ก็พุ่งตรงขึ้นในแนวตั้งอย่างรวดเร็วและหายไปในพริบตา ในท้องฟ้าที่ไม่มีเมฆเลยทำให้สนใจเรื่องยูเอฟโอมาตั้งแต่นั้นเป็นอย่างมาก ว่ามันคืออะไรกันแน่ จึงได้สมัครเป็นสมาชิกของสมาคมยูเอฟโอ และ ติดตามเรื่องนี้ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนการทำสมาธิ ก็ได้ปฎิบัติมาราว 20 ปี เศษ

.........พ.ศ. 2535 เริ่มทำสมาธิอย่างจริงจัง เพื่อติดต่อกับผู้ขับขี่ยูเอฟโอจากคำแนะนำของ ดร. อาจอง ชุมสาย แต่ติดต่อไม่ได้ ยานบินไม่มาปรากฎให้เห็นหลังทำสมาธิ

.........พ.ศ. 2537 เริ่มรู้สึกว่าติดต่อได้กับผู้ขับขี่ยูเอฟโอ ถ่ายภาพยูเอฟโอได้ที่ใกล้สะพานข้ามแม่น้ำแคว อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เมื่อ 5 มิถุนายน 2537 เวลาประมาณ 10 โมงเช้า มีความรู้สึกขนลุกไปทั้งตัวก่อนที่ยูเอฟโอจะมา และความรู้สึกนี้จะเกิดทุกครั้งก่อนยูเอฟโอจะมา หรือเมื่อเขามาคอยอยู่แล้








.........เดือนมกราคม พ.ศ. 2538 ได้ไปหาซื้อหนังสือเกี่ยวกับยูเอฟโอและมนุษย์ต่างดาว ที่ร้านหนังสือแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ คนขายบอกว่าไม่มี ยังไม่ได้ขนมาจากร้านเก่า แต่มีผู้หญิงสาวสวยคนหนึ่ง ที่กำลังยืนจ้องอยู่และเข้ามาบอกว่า เธอได้รับคำสั่งให้พาไปซื้อหนังสือยูเอฟโอและมนุษย์ต่างดาว รออยู่ตั้งนานแล้วไม่เห็นสนใจ ผู้หญิงคนนี้แต่งตัวทันสมัย ผมยาวเลยไหล่ นุ่งกางเกงบูยีนส์ ยืนยันว่า มีหนังสือพวกนี้แน่ในร้านนี้ และพาไปดูที่หลังร้าน ระหว่างเดินไปเธอถามว่า เชื่อไหมว่ามนุษย์ต่างดาว ที่หน้าตาเหมือนพวกคุณ เข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ ตั้งนานแล้ว? ก็ตอบไปว่าไม่ทราบ เธอยิ้มแล้วถามว่า ไม่ทราบจริง ๆ หรือแกล้งไม่ทราบ

.........เมื่อเข้าไปใกล้ชั้นหนังสือหลังร้าน เธอก็ชี้ให้ดูหนังสือจำนวนมากที่ตั้งอยู่บนชั้นหนังสือ มีทั้งภาษาไทยและอังกฤษ และบอกว่า นี่ไงหนังสือที่คนขายบอกว่าไม่มี คุณเลือกซื้อเอาตามใจชอบ หมดหน้าที่ของฉันแล้ว กล่าวจบก็เดินจากไป ผู้หญิงคนนี้ถือถุงช้อปปิ้งไว้ทั้งสองมือ ที่น่าประหลาดก็คือ ทำไมเธอจึงบอกว่าถูกสั่งให้มาพาไปชั้นหนังสือยูเอฟโอ และพาไปหาหนังสือได้ถูกต้อง

.........ต่อมาราวอีก 1 สัปดาห์ ผู้เขียนไปรับประทานอาหารกลางวันกับเพื่อน ที่โรงแรมแอมบาสเดอร์ ใน กทม. ก็พบผู้หญิงคนนี้อีก เธอจ้องเขม็งยิ้มและโบกมือให้ แต่ไม่ได้พูดกัน ทำให้สงสัยว่า เธอติดตามดูเราหรือเปล่า แต่หลังจากนั้นก็ไม่พบอีกเลย

.........มีพระที่เก่งทางการทำสมาธิและสามารถติดต่อกับผู้ขับขี่ยานบินได้เช่นกัน บอกว่า ผู้หญิงที่เล่าให้ฟังนี้ ไม่ใช่มนุษย์นะ อย่าไปคบหาสมาคม

ขึ้นไปข้างบน



admin
Site Admin


เข้าร่วม: 16 Jun 2007
ตอบ: 54




.........เหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นใกล้เคียงกัน ทำให้ต้องสงสัยว่ามันอาจเกี่ยวข้องกับยูเอฟโอก็ได้ เขาอาจไม่ต้องการให้เราเปิดเผยมากในเรื่องยูเอฟโอ และมนุษย์ต่างดาว ผู้เขียนรู้สึกเสียใจอย่างมากที่ลูกศิษย์คนนี้ต้องตายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่อาจเกี่ยวข้องกับยูเอฟโอด้วย

.........พ.ศ. 2540 ในแต่ละปี ผู้เขียนได้รับเชิญไปประชุม หรือบรรยายในต่างประเทศด้วยหัวข้อ การสาธารณสุข หรือสิ่งแวดล้อมปีละ 7 - 8 ครั้งทั่วโลก สังเกตว่าตั้งแต่ พ.ศ. 2539 - 2540 เป็นต้นมา ขณะอยู่ในเครื่องบิน หากทำสมาธินึกถึงผู้ขับขี่ ยูเอฟโอ ภายใน 5 -10 นาที ยูเอฟโอจะปรากฎให้เห็น 1-8 ลำ แต่มักบินอยู่ในระยะไกลกว่าเครื่องบินโดยสาร และบินสูงกว่า 40,000 ฟุต เห็นกันหลายครั้ง ถ่ายภาพนิ่งและภาพวีดีโอได้หลายครั้ง รู้สึกว่าพอทำจิตให้นิ่ง นึกถึงเขาและบอกในใจว่าหากท่านอยู่ใกล้ ๆ ขอให้นำยานมาปรากฎให้เห็น ยานบินก็ปรากฎทุกครั้ง ฝรั่งที่นั่งข้าง ๆ ก็เห็นเช่นกัน มีทั้งยานรูปร่างกลมและยาว

.........และในปีนี้เองที่การติดต่อทางจิตเป้นไปอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น กล่าวคือ เมื่อการติดต่อทางจิตจะมาถึง จะรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว เริ่มต้นจากลำคอ ท้ายทอย แผ่ซ่านไปยังศรีษะและใบหน้า และลงมาที่แขนทั้ง 2 ข้าง ลำตัวและขาทั้ง 2 ข้าง ตามลำดับ หลังจากได้รับความรู้สึกนี้แล้ว อาจมีบางอย่างปรากฎขึ้น คือ

.........1. หากตั้งคำถาม ก็จะทราบคำตอบทันทีชัดเจน ฝรั่งเรียกว่า "intution" คือรู้คำตอบทันที และอธิบายไม่ได้ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

.........2. บางครั้งได้ยินเสียงพูดในศรีษะ แต่ไม่ได้ยินทางหู การได้ยินอีกลักษณะคือ ทางโทรศัพท์ เช่น เคยได้ยินคราวแรก ดังได้เล่าให้ฟังมาแล้ว คือ เขาจะพูดภาษาแขกรัวเร็ว เรียกชื่อเราว่า "พีระติ" และถ้าไม่ขอให้เขาพูดเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ เขาก็จะพูดเป็นภาษาเขาตลอดไป


ขึ้นไปข้างบน




admin
Site Admin


เข้าร่วม: 16 Jun 2007
ตอบ: 54





ขึ้นไปข้างบน



admin
Site Admin


เข้าร่วม: 16 Jun 2007
ตอบ: 54




.........ท่านพาราซิทัล เป็นผู้นำยานบินมาปรากฏมากที่สุด คำว่า "พาราซิทัล" เพิ่งทราบจากเพื่อนชาวอินเดียที่เชี่ยวชาญทางภาษาอินดีสโบราณบอกว่า แปลสั้น ๆ ว่า "เหนือมนุษย์" แต่ท่านพาราซิทัล ท่านก็บอกว่า ท่านไม่ใช่เทวดา พรหมหรือผี แต่เป็นมนุษย์ต่างดาว ซึ่งเป็นมนุษย์ชนิดหนึ่ง ที่อาศัยอยู่ในชั้นใต้ดินของดาวอังคาร มีความเจริญทางวิทยาศาสตร์และศีลธรรม จริยธรรมสูงกว่ามนุษย์มาก มีอายุยืนหลายพันปี สามารถพิชิตโรคทุกชนิดได้หมดแล้ว

.........จานบินได้มาปรากฏให้ลูกชายผู้เขียนเห็นในเดือนมกราคม 2542 เมื่อเขากลับมาเยี่ยมบ้านจากสหรัฐอเมริกา ส่วนก่อนหน้านั้นในปี 2540 จานบินได้ไปปรากฏที่เมืองฟิลาเดลเฟีย ที่ซึ่งลูกชายของผู้เขียนเรียนอยู่ จานบินนี้ถ่ายภาพได้ใกล้ ๆ ที่พักของเขา คือ Independence Hall ที่แสดง Liberty Bell ของสหรัฐ ท่าน "พาราซิทัล" บอกว่า จะช่วยดูแลให้ ไม่ต้องวิตก เขาอ้างว่า เขาบินด้วยวิธีเจาะมิติ ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็ปรากฏที่เมืองฟิลาเดลเฟียได้แล้ว บินจากเชียงใหม่มากรุงเทพฯ ใช้เวลามนุษย์ 1 นาที แต่ถ้าเป็นเครื่องบินโดยสารธรรมดาใช้เวลา 55 นาที

.........เมื่อ 15 มกราคม พ.ศ. 2541 ผู้อ้างว่าเป็นมนุษย์ต่างดาวอีกคน ได้โทร.เข้ามาหาผู้เขียน ณ ที่ทำงาน ราว 9 โมงเช้า พร้อมกับบอกกับเลขาฯ ว่าเขาเป็นมนุษย์ต่างดาว ต้องการพูดกับหมอเทพนม ซึ่งเลขาฯ เล่าว่าพูดเป็นภาษาแขกก่อน แล้วจึงพูดเป็นภาษาไทย เลขาฯคิดว่าคงเป็นคนสติไม่ดีโทร.เข้ามา จึงวางหู แต่ก็โทร.เข้ามาอีก พูดเช่นเดียวกันและบอกว่า คุณคงคิดว่าผมบ้า แต่ผมจะบอกว่าคุณชื่ออะไร คุณมีลูก 2 คน ชื่ออย่างนั้น ๆ ปรากฏว่าถูกต้องหมด เลขาฯ จึงยอมให้พูดกับผู้เขียน พอผู้เขียนรับสาย เขาก็พูดภาษาแขกด้วยทันทีอีก จนต้องบอกว่าผมฟังไม่รู้เรื่อง ขอให้พูดภาษาไทยหรืออังกฤษดีกว่า เขาจึงพูดภาษาไทย เสียงแปล่ง ๆ ช้า ๆ เป็นเสียงผู้ชาย เขาบอกว่า



แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ Sat Dec 12, 2009 2:35 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ขึ้นไปข้างบน
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email ชมเว็บส่วนตัว
admin
Site Admin


เข้าร่วม: 16 Jun 2007
ตอบ: 54

ตอบตอบเมื่อ: Sat Dec 12, 2009 2:04 pm เรื่อง:ตอบโดยอ้างข้อความ

.........พวกนาซ่าตั้งชื่อเขาว่า "เอ็ดดี้" เขาเคยถูกพวกนาซ่าจับไปขังอยู่นาน และบอกว่า เขามาจากสุดขอบจักรวาล ห่างออกไป 50 ล้านปีแสง จานบินของเขามาตกที่ อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ในปี ค.ศ. 1958 ตกริมภูเขา เขาเคยมาประเทศนี้ราว 800 ปีมาแล้ว ในสมัยสุโขทัย ท่าน "เอ็ดดี้" เป็นอีกท่านหนึ่ง ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับจานบิน และมนุษย์ต่างดาวมาก ท่านบอกว่า ที่มาติดต่อด้วย เพราะสายพันธุ์เดียวกัน และแนะนำให้รู้จักกับ เจ้าอาวาสวัดสันโป่ง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน บอกว่าติดต่อกันอยู่เสมอ ให้เบอร์โทรศัพท์ด้วย ผู้เขียนจึงได้รู้จักกับพระองค์นี้ เพราะผู้ขับขี่ยูเอฟโอแนะนำ ได้ไปค้นหาข้อมูลต่าง ๆ เพื่อพิสูจน์ความจริงพบว่า

1. ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง สมัยพระญาลิไท มีการพรรณนา ถึงจักรแก้วที่มายังเมืองนั้น และเอ็ดดี้ยืนยันภายหลังอีกว่า ถูกต้อง นั่นคือเมืองที่เขามาจริง

2. องค์การนาซ่า ได้เผยแพร่ภาพที่ถ่ายได้ ด้วยกล้องดูดาวจาก HUBBLE SPACE STATION ที่สุดขอบจักรวาลด้านหนึ่งนอกโลก เป็นรูปคล้ายตึกหลายชั้น ลอยอยู่ในอากาศ ซึ่งเอ็ดดี้ ก็ยืนยันว่า นั่นแหล่ะบ้านของเขา ใช้เวลาบินด้วยแสงราว 9 ชั่วโมงเวลามนุษย์จึงถึง เขาบอกว่ามีลูก 1 คน ตัวเขาภรรยาและลูก ไม่มีอวัยวะเพศ แต่แบ่งเป็นชายหญิง เมื่ออยากมีลูกกัน ชายหญิงก็ยืนจ้องหน้ากัน เอามือ 2 ข้างแตะกัน ลูกก็จะเกิดทันที ลอยลงมาในแคปซูลและต้องเอาไปเลี้ยงให้ตัวโต

3. จากหนังสือ Top Secret เขียนโดย Timothy Good ได้กล่าวถึงจานบินลำหนึ่งว่ามาตก ที่ใกล้ภูเขา ในอำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 1958 ซึ่งทางกงศุลอเมริกัน ได้ส่งคนพร้อมตำรวจไทย ไปค้นหายูเอฟโอที่ตก แต่ไม่พบ และได้เขียนจดหมายลับ รายงานทำเนียบขาว มีหลักฐานแน่ชัด

4. มีเพื่อนของผู้เขียน อยากเห็นมนุษย์ต่างดาวมาก จึงบอกให้ไปหาพระที่ลำพูน พอแจ้งความประสงค์ให้พระทราบพร้อมกับนามบัตรของผู้เขียน พระท่านก็บอกว่า คืนนี้ให้ไปนอนในโบสถ์ ห้ามส่งเสียงดัง ราว 2 ยามกว่า จะได้เห็นอะไรดี ๆ เพื่อนของผู้เขียนเล่าว่า เข้าไปนอนในโบสถ์ใหญ่ที่อำเภอลี้คนเดียว ในโบสถ์พระท่านให้เปิดไฟไว้บางดวง เพื่อไม่ให้กลัว และแล้วราว 2 ยามกว่า เพื่อนผู้เขียนบอกว่า เห็นพระเดินเข้ามาในโบสถ์กับมนุษย์คนหนึ่ง ตัวสูงกว่าพระราว 1 คืบ แต่งชุดแนบเนื้อสีฟ้า ใส่บูตดำยาวถึงหัวเข่า มีแขนขาเป็นมนุษย์ แต่มือรู้สึกยาวผิดปกติ คือถึงเข่า มีนิ้วยาว 3 นิ้ว มนุษย์ตนนี้เดินเข้ามาอย่างเงียบมาก และมาหยุดก้มดูเพื่อนของผู้เขียนด้วย
.........ทำให้เขาเห็นว่า มนุษย์ผู้นี้หน้าเป็นสี่เหลี่ยม ตาใหญ่ จมูกและปากเล็ก หน้าและมือใสเหมือนแก้ว เพื่อนผู้เขียนบอกว่ารู้สึกตกใจกลัวมาก ตัวสั่นไปหมด แต่แล้วมนุษย์ประหลาดก็เดินตามพระไปหลังโบสถ์ พอรุ่งขึ้นได้พบกับพระคุณเจ้า ท่านก็ถามว่า เห็นของจริงแล้วชอบไหม คืนนี้คุยกับเขาไหมล่ะ เพื่อนผู้เขียนรีบกราบลาบอกท่านว่า ลูกได้เห็นครั้งหนึ่งก็เป็นบุญตา แต่ถ้าต้องคุยด้วยไม่เอาแล้วครับ พระท่านก็ยิ้ม ๆ ไม่พูดว่ากระไร



แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ Sat Dec 12, 2009 2:36 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ขึ้นไปข้างบน
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email ชมเว็บส่วนตัว
admin
Site Admin


เข้าร่วม: 16 Jun 2007
ตอบ: 54

ตอบตอบเมื่อ: Sat Dec 12, 2009 2:06 pm เรื่อง:ตอบโดยอ้างข้อความ

รายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ " ยูเอฟโอ " และ " ผู้ขับขี่ยานบิน " ในประเทศไทย พ.ศ. 2540 - 2541
ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน

.........ในรอบพันปีที่ผ่านมามนุษย์ (HOMO SAPIENS) เพิ่มาเจริญอย่างรวดเร็วในระยะเวลาเพียง 200 ปีที่ผ่านมานี้เอง เพราะการพัฒนาสติปัญญาของมนุษย์ด้านวิทยาศาสตร์ มนุษย์บินได้เหมือนนก และเร็วกว่านกในระยะเวลาไม่ถึง 100 ปี สามารถสร้างจรวดส่งตัวเองไปเยือนดวงจันทร์ และกำลังมุ่งสู่ดวงดาวต่าง ๆ ในศตวรรษที่ 21 นี้
.........องค์การนาซ่าได้ประกาศในต้นเดือนมกราคม พ.ศ. 2541 ว่า กล้องดูดาว " ฮับเบิ้ล " ในอวกาศสามารถถ่ายภาพกาแล็กซี่ใหม่ ๆ ได้อีกมากมาย ขณะนี้คาดคะเนว่าทั้งจักรวาลจะมีกาแล็กซี่ทั้งหมดราว 125,000 ล้านกาแล็กซี่ เฉพาะในกาแล็กซี่เล็ก ๆ เช่น กาแล็กซี่ "ทางช้างเผือก" ที่ระบบสุริยะของเราตั้งอยู่ที่พบว่ามีดาวฤกษ์ทั้งหมดราวสี่แสนล้านดวง และมีดาวนพเคราะห์ทั้งหมดราวสี่ล้านล้านดวง ดร.คาร์ล เซกัน นักดาราศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงของสหรัฐอเมริกาคาดคะเนว่า เฉพาะกาแล็กซี่ " ทางช้างเผือก " ของเรามีดาวนพเคราะห์ราว 50 ล้านดวง มีสิ่งมีชีวิตที่ทรงภูมิปัญญาคล้ายมนุษย์หรือเหมือนมนุษย์อาศัยอยู่
.........แต่ก็ยังมีนักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อยที่ออกมาคัดค้านว่า เป็นไปไม่ได้ เราเป็นหนึ่งเดียวในจักรวาลที่มีมนุษย์อยู่ หรือหากดาวดวงนั้นมีมนุษย์อยู่ก็คงมาเยือนโลกเราไม่ได้ เพราะอยู่ห่างไกลกันเหลือเกิน ต้องบินได้เร็วกว่าแสงจึงจะมาได้

.........ระยะ 5,000 - 6,000 ปีที่ผ่านมา มนุษย์ได้บอกเล่าหรือบันทึกเป็นหลักฐานเกี่ยวกับโล่ไฟ หรือวัตถุบินที่มีผู้ขับขี่บังคับยานบินนั้นด้วย ตั้งแต่สมัยอียิปต์ 5,000 กว่าปี จีนและอินเดียโบราณ รวมทั้งเผ่ามายา อินคาในทวีปอเมริกาใต้ด้วย
.........แม้กระทั่งในหนังสือ ไตรภูมิพระร่วง สมัยพญาลิไท (ราว 800 ปี) ของอาณาจักรสุโขทัยก็มีบรรยายถึงการมาของ " จักรแก้ว " ที่บินได้ และมีผู้ขับขี่บินหมุนมาลงจอด และพระเจ้าแผ่นดินขอร้องให้ไปช่วยรบกับอีกเมืองจนชนะ แล้วจักรแก้วก็บินลาจากไป

.........วัตถุบินเหล่านี้ปรากฏให้เห็นกันทั่วโลกตลอดมาเช่น ในปี ค.ศ. 1947 นายเคนเนท อาร์โนลด์ นักธุรกิจชาวอเมริกัน เห็นจานบิน 9 ลำ ในรัฐวอชิงตัน ขณะกำลังนั่งอยู่ในเครื่องบิน จึงให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ และเรียกว่า FLYING SAUCER (จานบิน) เพราะรูปร่างคล้ายจานกลม 2 ใบประกบกัน สมัยนี้มักเรียกกันว่า " ยูเอฟโอ " (UFO) อันย่อมาจากคำภาษาอังกฤษว่า "Unidentified Flying Object" ซึ่งแปลสั้น ๆ ว่า วัตถุบินที่ไม่ปรากฏสัญชาติ ในรายงานฉบับนี้ ผู้เขียนจะใช้คำว่า "ยูเอฟโอ" หรือ "ยานบิน" เป็นส่วนใหญ่ เพราะวัตถุบินยูเอฟโอมีหลายรูปแบบ เช่น รูปกลม รูปซิการ์ รูปสามเหลี่ยม ฯลฯ ไม่ใช่มีแต่รูปจานอย่างเดียว
.........เมื่อประชาชนพบเห็นยูเอฟโอในบางครั้งก็ได้พบเห็นผู้ขับขี่ยูเอฟโอ ซึ่งนั่งอยู่ในยานบินด้วย หรือบางครั้งออกมาเดินเล่นอยู่นอกยานบินก็มี ดร.แอลเลน ไฮแนค ผู้เชี่ยวชาญด้านยูเอฟโอ จากสหรัฐอเมริกา ก็ได้จำแนกการพบเห็น "ยูเอฟโอ" และผู้ขับขี่ยานบินนี้ออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้คือ
.........1. C.E-1 (เห็นยูเอฟโอ) ( เห็นและถ่ายภาพได้)
.........2. C.E-2 (ยูเอฟโอทิ้งร่องรอยไว้) (เห็นลงจอดมีรอยจอดและหญ้าไหม้)
.........3. C.E-3 (เห็นผู้ขับขี่ยูเอฟโอ) (เห็นและถ่ายภาพได้)
.........4. C.E-4 (ถูกผู้ขับขี่ยูเอฟโอจับตัวไป) ( มีคนไทย 4 คนอ้างว่าเคยถูกจับตัวไป)
.........5. C.E-5 (ผู้ขับขี่ยูเอฟโอติดต่อทางจิตด้วยฉันมิตร)

.........ใน 5 ประเภทดังกล่าวแล้ว การเผชิญหน้าอย่างกระชั้นชิดประเภทที่ 5 หากเกิดขึ้นได้จะทำให้มนุษย์เข้าใจเกี่ยวกับ " ปรากฏการณ์ยูเอฟโอ" ได้ดีที่สุด คำว่า " ปรากฏการณ์ยูเอฟโอ" (U.F.O Phenomenon) หมายถึง " การที่ยูเอฟโอปรากฏขึ้นให้มนุษย์ได้เห็นและอธิบายไม่ได้ว่าวัตถุบินที่เห็น นั้นคืออะไร และมาจากที่ไหน เพราะมันไม่ใช่เครื่องบิน ดาว ดาวเทียม อุกกาบาต หรือสิ่งอื่นใดที่มนุษย์เคยรู้จักมาก่อน
.........ดังที่ผู้เขียนได้มีประสบการณ์ดังกล่าวแล้วเป็นครั้งแรกในชีวิต เมื่อไปตั้งแคมป์กับเพื่อนอเมริกันในรัฐเวอร์มอนต์ สหรัฐอเมริกาในต้นเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1954 (พ.ศ. 2497) เวลาราว 10.00 น. ท้องฟ้าขณะนั้นแจ่มใสปราศจากเมฆหมอก มีผู้มาพักแรมราว 1,000 คนเศษ ที่เห็นชี้มือไปยังท้องฟ้า และตะโกนกันลั่นว่า " Flying Saucers (จานบิน) " ผู้เขียนก็ไปรวมกลุ่มดูกับเขาเห็นเหมือนจานสีเงิน 2 ใบลอยอยู่ใกล้ ๆ กัน มองเห็นด้วยตาเปล่า จานสีเงินนี้ขนาดหัวแม่โป้ง แต่เมื่อดูผ่านกล้องส่องทางไกล 2 ตา พบว่าจานบินทั้ง 2 ลำ มีโดมและรูคล้ายหน้าต่างโดยรอบ ไม่ใช่บัลลูน หรือเครื่องบินใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่มีเสียง ไม่มีควัน ต่อมาอีกราวครึ่งชั่วโมง มีเครื่องบินขับไล่ 2 ลำของสหรัฐขึ้นบินไล่ ปรากฏว่าจานบิน หรือจานผี 2 ลำ พุ่งตรง 90 องศาขึ้นไปในท้องฟ้าหายลับไปในทันที



แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ Sat Dec 12, 2009 2:39 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ขึ้นไปข้างบน
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email ชมเว็บส่วนตัว
admin
Site Admin


เข้าร่วม: 16 Jun 2007
ตอบ: 54

ตอบตอบเมื่อ: Sat Dec 12, 2009 2:06 pm เรื่อง:ตอบโดยอ้างข้อความ

........."ปรากฏการณ์ยูเอฟโอ" ครั้งนั้นประทับใจผู้เขียนอย่างยิ่งมาจนทุกวันนี้ เพราะสนใจเรื่องดวงดาวและมนุษย์ต่างดาวมานานแล้ว โต้เถียงกันมากว่าที่เห็นเป็นจานบินจากนอกโลกหรือเปล่าแต่ก็ไม่มีข้อยุติ

.........หลังจากนั้นผู้เขียนได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกของชมรมยูเอฟโอของมหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่เป็นสมาชิกสมาคมยูเอฟโอในสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย ยุโรป ญี่ปุ่น ฯลฯ ติดตามมาถึง 43 ปี หลังจากศึกษาและทำงานอยู่ในสหรัฐอเมริกา ถึง 15 ปี จึงกลับมาประเทศไทย ก็พบว่ามีประชาชนพบเห็นยูเอฟโอและถ่ายภาพได้เหมือนกันแต่จำนวนน้อยมาก ที่น่าสนใจคือคนไทยมีประสบการณ์ประเภทที่ 4 (C.E.-4) คือถูกผู้ขับขี่ยูเอฟโอจับไปรวมอยู่ด้วย ผู้เขียนได้สัมภาษณ์บุคคลทั้งหมด เป็นเพศชาย 3 คน เพศหญิง 1 คน ทุกคนมีการศึกษาดี และไม่ใช่คนสติเสียแน่นอน

.........นอกจากนี้ยังได้อ่านรายงานต่างประเทศว่า มีบุคคลหลายคนที่สามารถติดต่อกับผู้ขับขี่ยูเอฟโอ โดยการทำสมาธิ และพวกนี้สามารถนำยูเอฟโอมาให้เห็นและถ่ายภาพได้ด้วย ผู้เขียนได้ทราบมาว่า ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ได้ศึกษาเกี่ยวกับยูเอฟโอมานาน และสามารถทำให้ยูเอฟโอปรากฏได้ด้วย จึงไปขอคำแนะนำและ ดร.อาจอง ชุมสาย แนะนำให้ทำสมาธิ ส่งกระแสจิตไปขอให้ยูเอฟโอมาปรากฏ ถ้ากระแสจิตของเราแรงพอ ยูเอฟโอจะมาปรากฏให้เห็น โดยปกติผู้เขียนทำสมาธิเป็นประจำอยู่แล้ว ฉะนั้นระหว่างปี พ.ศ. 2535-2537 ได้พยายามทำสมาธิติดต่อขอให้ยูเอฟโอมาปรากฏ แต่ยูเอฟโอไม่เคยมาให้เห็นเลย

.........จนวันหนึ่งมานั่งคิดอยู่คนเดียวว่า ทำไมหนอยูเอฟโอไม่มาสักที ก็เกิดแวบขึ้นมาในสอง คล้ายมีคนมาบอกว่า" ต้องการให้ยูเอฟโอมาปรากฏ ทำไมไม่ติดต่อเจ้าของยูเอฟโอละ" นับเป็นครั้งแรกที่ผู้เขียนคิดว่า ผู้ขับขี่ยูเอฟโอได้ส่งโทรจิตกลับมาเมื่อตรองดู ก็เกิดความกระจ่างในจิตว่า คงจะจริง ทำไมเราโง่เขลาเช่นนี้ เราต้องติดต่อไปยังเจ้าของรถให้ขับรถมาให้เราดู! จึงจะถูกต้อง

.........ครั้งแรกที่ประสบผลสำเร็จในการทำสมาธิ ทำจิตให้สงบว่างส่งกระแสจิตไปยังผู้ขับขี่ยูเอฟโอขอให้นำยานบินมาปรากฏ เกิดขึ้นในวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2537 ใกล้สะพานข้ามแม่น้ำแคว อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เวลาราว 10.00 น. วันนั้นพาครอบครัวไปเที่ยวและมีเพื่อนที่นั่นเขาบอกว่า มีคนเห็นยูเอฟโอ ที่จังหวัดนี้บ่อย ก็ลองทำสมาธิติดต่อถึงผู้ขับขี่ยูเอฟโอ ปรากฏว่ายูเอฟโอสีทองมาปรากฏให้เห็น และถ่ายภาพได้ หลังจากนั้นการทำสมาธิแบบนี้ยูเอฟโอจะมาทุกครั้ง โดยที่ยานบินมีรูปร่างแตกต่างกันหลายชนิด

.........จากรายงานการศึกษา วิจัยเกี่ยวกับยูเอฟโอทั่วโลก พอสรุปได้ว่ามีประชาชนจำนวนมากในประเทศต่าง ๆ ได้เคยเห็นยูเอฟโอ แม้กระทั่งประธานาธิบดีคาร์เตอร์ ประธานาธิบดีเรแกน นักบินอวกาศสหรัฐอเมริกา 16 คน นักบินอวกาศรัสเซีย ฯลฯ แต่ในรายงานได้กล่าวว่า โดยเฉลี่ยผู้เคยเห็นยูเอฟโอจะเห็นเพียง 1-2 ครั้งต่อคนในตลอดชีวิตของเขา
.........ผู้เขียนจึงมาคิดว่า ปรากฏการณ์ยูเอฟโอเป็นปรากฏการณ์ที่ทำการศึกษาวิจัยได้ยากมาก แต่ ดร.อาจอง และผู้เขียนเคยเห็นมามากกว่า 10 ครั้ง เราก็อาจมีทางศึกษาเกี่ยวกับยูเอฟโอและผู้ขับขี่ยูเอฟโอได้ หากเราสามารถติดต่อทางจิตขอให้ผู้ขับขี่ยูเอฟโอนำยานบินมาให้เห็นเพื่อถ่าย ภาพได้ทุกเดือนใน 1 ปี ก็คงถ่ายภาพยูเอฟโอได้มากพอที่จะศึกษาตามรูปแบบวิทยาศาสตร์ที่ต้องมีหลักฐานได้ และหากสามารถบันทึกภาพนิ่งด้วยกล่องถ่ายรูปและภาพเคลื่อนไหวด้วยกล้องวิดีโอได้ก็อาจมีโอกาสถ่ายภาพผู้ขับขี่ยูเอฟโอ ซึ่งเก็บภาพได้ยากมากไว้ได้บ้าง



แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ Sat Dec 12, 2009 2:40 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ขึ้นไปข้างบน
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email ชมเว็บส่วนตัว
admin
Site Admin


เข้าร่วม: 16 Jun 2007
ตอบ: 54

ตอบตอบเมื่อ: Sat Dec 12, 2009 2:07 pm เรื่อง:ตอบโดยอ้างข้อความ

วัตถุประสงค์ของการศึกษาวิจัย

เพื่อต้องการทราบว่า
1) การติดต่อทางจิตด้วยการทำสมาธิ สามารถติดต่อกับ "ผู้ขับขี่ยูเอฟโอ" ให้นำ " ยานบิน" มาปรากฏให้เห็นและถ่ายภาพได้นั้นเป็นจริงหรือไม่
2) " ยูเอฟโอ" มีจริงหรือไม่
3) ลักษณะต่าง ๆ ที่สำคัญของ "ผู้ขับชี่ยูเอฟโอ" เป็นอย่างไรและมาจากไหน
4) "ผู้ขับขี่ยูเอฟโอ" มีจริงหรือไม่
5) ลักษณะต่าง ๆ ที่สำคัญของ "ผู้ขับขี่ยูเอฟโอ" เป็นอย่างไร และมาจากไหน
6) " ผู้ขับขี่ยูเอฟโอ " มาโลกมนุษย์เพื่อวัตถุประสงค์อะไร

.........ข้อมูลที่ได้มาจะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อโลกและประเทศไทยในด้านการพัฒนาวิทยาศาสตร์การค้นหาทรัพยากรใต้ดินและความมั่นคงของประเทศไทยและของทุกประเทศในโลกนี้

.........จะเห็นได้ว่าวัตถุประสงค์ของการศึกษาวิจัยในแต่ละหัวข้อเป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วไปอาจคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล เพ้อฝัน ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ แต่อย่าลืมว่าผู้เขียนเป็นนักวิทยาศาสตร์เช่นเดียวกันที่พยายามแสวงหาความ รู้ใหม่ และความจริง (TRUTH) สำหรับศตวรรษที่ 21 เราต้องยอมรับว่า มีเรื่องต่าง ๆ อีกมากมายที่ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลหรือยังไม่มี เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่จะไปวัดได้ มีสุภาษิตโบราณกล่าวไว้ว่า

" ความจริง เท่านั้นที่จะสามารถปลดปล่อยเจ้าให้เป็นอิสระจากความโง่เขลาและความไม่รู้ ทั้งปวง " ในศตวรรษที่ 20 ที่ผ่านพ้นไป มนุษย์ได้เรียนรู้เกี่ยวกับพลังงานหลายชนิด เช่น พลังงานจากแสง เสียง ความร้อน ปรมาณู ฯลฯ
......... แต่พลังจิตก็ดี พลังดึงดูดของโลกก็ดี มนุษย์ยังจะต้องศึกษาค้นคว้าอีกมากมาย การศึกษาวิจัยครั้งนี้คงแทบจะไม่มีทางเก็บข้อมูลได้เลยหากไม่ได้รับความ กรุณาและความช่วยเหลือจากผู้ที่อ้างว่าเขาเป็น " ผู้ขับขี่ยูเอฟโอ " ผู้มีพระคุณ 2 ท่าน คือ

1) ท่าน " พาราซิทัล " (ภาษาอินเดียโบราณแปลว่า " เหนือมนุษย์ " )
2) ท่าน " เอ็ดดี้ " ( เป็นชื่อภาษาอังกฤษที่เจ้าหน้าที่องค์การนาซ่าตั้งให้ราว 50 ปี มาแล้ว)



แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ Sat Dec 12, 2009 2:41 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ขึ้นไปข้างบน
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email ชมเว็บส่วนตัว
admin
Site Admin


เข้าร่วม: 16 Jun 2007
ตอบ: 54

ตอบตอบเมื่อ: Sat Dec 12, 2009 2:08 pm เรื่อง:ตอบโดยอ้างข้อความ

ศาสตราจารย์ ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน
สิทธิเดช ลีมัคเดช เก็บความ

.........เรื่องผีกับเรื่องมนุษย์ต่างดาว ยังเป็นเรื่องเร้นลับ คนส่วนใหญ่มองเรื่องนี้เป็นเรื่องเหลวไหล แต่ในความจริงก็คือมีปรากฏการณ์มากมายที่ไม่สามารถหาคำอธิบายได้ ดังนั้น พอคุณกำพล แห่งไทก้า โทรมาชวนผมไปสนทนากับคนที่คุยกับผีกับมนุษย์ต่างดาวได้ ผมก็เลยเกิดความสนใจ ยิ่งได้ยินชื่อว่าเป็น ศาสตราจารย์ ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน คนไทยคนแรกที่ได้รับรางวัล HARVARD ALUMNI AWARD OF MERIT ด้านสาธารณสุข จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดด้วยแล้ว ถือเป็นโปรแกรมที่ไม่น่าพลาดด้วยประการทั้งปวง

.........เวลา 16.30 น. ของวันที่ 30 สิงหาคม คุณกำพล รัตนจางวาง พร้อมทีมถ่ายทำสารคดี เพื่อประชาสัมพันธ์ภาพยนตร์เรื่อง White Noise (จับเสียงผี) ก็มาถึงบ้านอาจารย์ที่ วิภาวดีซอย 8 ส่วนผม ชวนคุณพันธุ์ทิตต์ ไปร่วมฟังสนทนาด้วย เพราะรู้ว่าเขาก็สนใจเรื่องพวกนี้อยู่เหมือนกัน ภายในบ้านอาจารย์ถูกตกแต่งแบบเรียบง่าย ที่สะดุดตาก็น่าจะเป็นอัลบั้มภาพที่บันทึกเรื่องราวของจานผี, มนุษย์ต่างดาว และภาพวิญญาณต่างๆ ผมขออนุญาตถ่ายภาพเหล่านี้มาเผยแพร่ ซึ่งอาจารย์ก็อนุญาตโดยดี พร้อมบอกว่า คนจะได้เชื่อเรื่องกรรมดีกรรมชั่ว

.........หลังจากทีมพร้อมก็เริ่มบันทึกภาพและเสียงกัน คำถามหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ ผีมีจริงหรือไม่ ? อาจารย์อธิบายว่า ท่านเคยพิสูจน์เมื่อคราวไปอียิปต์ ตอนไปดูสุสานฟาโรห์ บริเวณที่ฝังพระศพ โดยขอนำเทปไปบันทึกเสียง และห้ามผู้คนผ่านบริเวณนั้นเป็นเวลาสิบนาที ท่านอยู่ในความเงียบ และวังเวง แต่เมื่อสิบนาทีผ่านไป เมื่อกรอเทปเสียงที่บันทึก กลับปรากฏเสียงคล้ายคนกำลังสวดมนต์อยู่ตลอดเวลา ให้คนอียิปต์ฟัง เขาก็บอกว่าเป็นภาษาอียิปต์โบราณ
.........เรื่องการบันทึกเสียงนี้ ท่านบอกว่า หากไปในสถานที่ ที่เชื่อว่ามีวิญญาณ แล้วลองอัดเสียงไว้ก็สามารถจะบันทึกเสียงของผู้ตายได้ ทั้งที่เวลาบันทึกเสียงนั้น หูเราอาจจะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยก็ตาม เรื่องเหล่านี้ อาจารย์อธิบายว่า เป็นเรื่องของคลื่นความถี่ของเสียง ซึ่งหากได้เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ดีๆ ก็สามารถจะจับคลื่นเสียงที่มีความละเอียดเกินกว่าหูของมนุษย์จะรับรู้ได้ โดยเชื่อว่าอีกสิบปี ประเทศอเมริกา จะสามารถจะผลิตเครื่องที่ติดต่อกับผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วได้

.........คุณกำพลถามว่า เวลาที่วิญญาณมา ทำไมอากาศรอบข้างมักจะเย็น อาจารย์อธิบายว่า วิญญาณต้องดึงพลังงานความร้อนในบริเวณนั้นมาช่วยเพื่อการปรากฏร่าง ทำให้บริเวณนั้นมีอากาศเย็นลงกว่าปกติประมาณ 5 องศาเซลเซียส จากนั้นเราก็สนทนากันถึงเรื่องชีวิตหลังความตาย โดยยกกรณีของ ดร.คลุ้ม วัชโรบล ซึ่งท่านพยายามพิสูจน์เรื่องนี้ โดยหลังจากเสียชีวิตได้มาเข้าร่างของบุตรชาย
.........และอธิบายถึงชีวิตอีกมิติหนึ่งว่า ดินแดนที่ไปอยู่ไม่มี ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ แต่มีความสว่าง และอากาศเย็นสบาย เวลาหิวก็นึกถึงอาหาร อาหารก็จะปรากฏ แต่จะเป็นอาหารเฉพาะตน ก็จะมีข้าว ไข่เจียว (ไม่มีน้ำ) ก็สามารถรับประทานได้แค่นั้น มีผู้อื่นอยู่ร่วมด้วย แต่อาหารจะแตกต่างกันไป บางคนก็จะมีอาหารมากมาย แม้ตนไปขอแบ่ง เจ้าของอาหารอนุญาต แต่เวลาจะหยิบเข้าปาก อาหารเหล่านั้นก็จะอันตธานไป ท่านจึงเชื่อว่าเรื่องเหล่านี้คงเป็นเรื่องของกรรม ใครทำกรรมดีก็จะได้สิ่งดีในภพต่อไป สมบัติพัศสถานไม่สามารถนำติดตัวไปได้เลย (ญาติผู้ตาย สามารถทำบุญ ใส่บาตร ทำสังฆทานไปให้กับผู้ตายได้ โดยญาติต้องกล่าวคำอุทิศ)
.........การพิสูจน์เรื่องวิญญาณของ ดร.คลุ้มในคราวนั้น เป็นข่าวใหญ่โต เพราะเพื่อนสนิทสามคนของท่าน ไม่เชื่อเรื่องนี้ ต่างพากันมาพิสูจน์ซักถามลูกชายของท่านเป็นเวลาสามชั่วโมงเต็ม รวมทั้งความลับต่างๆ ที่มีแต่เพื่อนสนิทเท่านั้นที่ทราบจึงจะตอบได้ แต่ลูกชายของท่านก็ตอบได้หมด
.........ในเวลานั้น ศ.ดร.เทพนม ขอบันทึกภาพร่างของ ดร.คลุ้ม ท่านก็บอกว่าไม่มีร่างแล้ว (ภาพที่ปรากฏจากการถ่ายภาพโพลาลอยด์ในสมัยนั้น จึงได้เพียงแถบแสงสีฟ้าที่เชื่อว่าเป็นวิญญาณของ ดร.คลุ้ม) และจากการวัดคลื่นสมองของบุตรชายท่าน ในวันนั้น ก็พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปจากปกติ




แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ Sat Dec 12, 2009 2:42 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ขึ้นไปข้างบน
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email ชมเว็บส่วนตัว
admin
Site Admin


เข้าร่วม: 16 Jun 2007
ตอบ: 54

ตอบตอบเมื่อ: Sat Dec 12, 2009 2:10 pm เรื่อง:ตอบโดยอ้างข้อความ

.........เรื่องตายแล้วไปไหน หรือระลึกชาติได้ เป็นอีกหัวข้อหนึ่งซึ่งเราถือโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องนี้กับ ศาสตราจารย์ ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน อาจารย์เล่าว่า เคยมีนักศึกษาแพทย์ฝรั่งทำการทดลอง ชีวิตหลังความตายโดยทำให้หัวใจหยุดเต้นชั่วขณะ แล้วค่อยใช้ไฟฟ้ากระตุกให้คืนสติอีกครั้ง ช่วงเวลาที่หัวใจหยุดเต้นนั้น นักศึกษาแพทย์ที่ทดลองได้เล่าว่า เหมือนลอดอุโมงค์และไปโผล่ที่ปลายทาง โดยสามารถพบกับญาติพี่น้องของตนที่เสียชีวิตไปแล้ว

.........ส่วนของคนไทยนั้น อาจารย์เล่าว่า ผู้ที่เคยฟื้นจากความตาย (ชั่วคราว) เล่าว่าเหมือนมีคนชวนให้ไปอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งด้วยกัน โดยเมื่อไปถึงสถานที่แห่งนั้นแล้วพบว่าตนยังไม่ถึงฆาตก็สามารถที่จะกลับมามี ชีวิตเหมือนเช่นเดิม

.........ผมสอบถามว่า ทำไมผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วบางคนยังเป็นวิญญาณล่องลอยอยู่ แต่บางคนก็สามารถไปผุดไปเกิดใหม่ อาจารย์อธิบายว่า ความจริงชีวิตของมนุษย์ไม่ได้สิ้นสุด เพียงแต่หมุนเวียนเป็นวัฏจักร เกิดแล้วก็ตายเพียงแต่เปลี่ยนไปในสถานะต่างๆ เช่นทำไมคนบางคนต้องเกิดมาในตระกูลสูงส่ง ทำไมบางคนเกิดมาพิการ แผลเป็นที่ติดตัวมาแต่กำเนิด เรื่องเหล่านี้ล้วนเกิดจากกรรม หรือการกระทำดี-ชั่ว ของแต่ละคนทั้งสิ้น ผู้ที่ไม่สามารถไปผุดไปเกิดได้ก็เป็นเพราะต้องอยู่ใช้กรรม จนกระทั่งมีผู้อุทิศส่วนกุศลหรือแผ่เมตตาไปให้

.........ผมถามต่อว่า ผีหรือวิญญาณที่อาจารย์เล่าส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายมาขอความช่วยเหลือมนุษย์ มากกว่า ที่จะมาทำร้ายคนเหมือนในหนังใช่หรือไม่ อาจารย์เล่าว่าเคยมีประสบการณ์เมื่อครั้งไปพักที่โรงแรมในเวียดนาม ตอนดึกๆ จะมีความรู้สึกว่ามีมือเย็นๆ มากระตุกที่ขาตลอดคืน จนนอนไม่ได้ เลยนั่งทำสมาธิพบว่ามีวิญญาณคล้ายทหารญวนจำนวนมากมาอยู่รายล้อมรอบเตียง
.........จึงอธิษฐานว่าขอให้อย่ามารบกวนกัน เมื่อกลับเมืองไทยจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ แล้วก็เข้านอนต่อ ก็ปรากฏว่าไม่มีความรู้สึกเหมือนคนมากระตุกขาอีกเลย รุ่งเช้า ทีมงานก็เล่าว่าตกอยู่ในสภาพเดียวกัน บ่ายวันนั้นจึงตัดสินใจย้ายที่พักกันทั้งทีม

.........สำหรับเรื่องระลึก ชาติได้นั้น อาจารย์เล่าว่า บิดาของตนก็เป็นผู้หนึ่งซึ่งระลึกชาติได้ ท่านเล่าว่า ก่อนจะมาเกิดใหม่นั้น มีคนยื่นน้ำให้ดื่ม แต่ท่านดื่มเพียงครึ่งแก้ว แล้วก็แอบถ่มทิ้ง เรื่องเหล่านี้ตรงกับชาวต่างประเทศหลายคนที่ระลึกชาติได้ แต่เปลี่ยนจากน้ำเป็นผลไม้ โดยแต่ละคนที่ระลึกชาติได้ บอกว่ามิได้รับประทานผลไม้เหล่านั้นหมดเสียทีเดียว จึงสันนิษฐานว่าน้ำหรือผลไม้เหล่านั้น จะเป็นเสมือนเครื่องลบความทรงจำระหว่างเปลี่ยนภพ

.........ในประเทศไทยเอง ก็มีเด็กหลายคนที่ระลึกชาติได้ อายุไม่กี่ขวบ ก็สามารถอ้างอิงถึงบุคคลที่รู้จักแม้ว่าจะอยู่คนละสถานที่ แต่ก็สามารถระบุชื่อและความเป็นมาของบุคคลนั้นๆ ที่อดีตชาติตนเคยเข้าไปเกี่ยวข้องได้ถูก หรือเด็กบางคน ก็สามารถท่องคาถาชินบัญชร ได้ไม่ผิดสักคำ ทั้งที่เกิดมาชาตินี้ไม่มีคนเคยสอน
.........เรื่องเหล่านี้ น่าเสียดายที่ไม่ได้ถูกค้นคว้า หรือพิสูจน์อย่างจริงจัง ทั้งที่ปัจจุบัน มนุษย์พัฒนาเทคโนโลยีให้สามารถเดินทางออกไปนอกโลกได้ โคลนนิ่งแกะเพื่อสร้างชีวิตใหม่ได้ แต่เรื่องอดีตภพหรือความเป็นมาของภูติ ผี วิญญาณ กลับถูกละเลย ผู้ที่อยากทำการศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง ก็เลยดูเหมือน เพี้ยน ไปในสายตาคนส่วนใหญ่ ทั้งที่การค้นพบครั้งนี้ อาจจะทำให้มนุษย์ละอาย หรือเกรงกลัวต่อบาป มากขึ้น การเอารัดเอาเปรียบหรือเข่นฆ่ากันก็จะน้อยลง

บางที ถ้าความรู้สึกสำนึกดีเกิดในมนุษย์ทุกคน เราก็สามารถเห็น สวรรค์ ได้ในขณะที่มีชีวิต !



แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ Sat Dec 12, 2009 2:43 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ขึ้นไปข้างบน
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email ชมเว็บส่วนตัว
admin
Site Admin


เข้าร่วม: 16 Jun 2007
ตอบ: 54

ตอบตอบเมื่อ: Sat Dec 12, 2009 2:11 pm เรื่อง:ตอบโดยอ้างข้อความ

.........ความแตกต่างระหว่าง วิญญาณกับมนุษย์ต่างดาวนั้น ศาสตราจารย์ ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน อธิบายว่า มนุษย์ต่างดาว มักมีจานบินเป็นพาหนะมาด้วย แต่วิญญาณนั้น ช่วงสมัยที่ ดร.คลุ้ม (ที่เสียชีวิตไปแล้ว)มาเล่าผ่านร่างบุตรชายของตนว่าไม่จำเป็นต้องมีรถ หรือพาหนะ เพียงแค่นึกอยากจะไปที่ไหน ก็สามารถหายตัวและไปโผล่ยังสถานที่ต้องการได้ ดังนั้น การเผารถกระดาษไปให้กับผู้ที่ล่วงลับแล้ว อาจจะไม่มีความจำเป็น หรือถึงได้รับ ก็คงไม่กล้าใช้ เพราะอายผู้อื่นที่เขาใช้วิธีนึกเอา ก็เดินทางไปถึงแล้ว

.........ส่วนวิธีที่อาจารย์จะพบกับมนุษย์ต่างดาวนั้น อาจารย์เล่าว่าต้องใช้วิธีทำสมาธิ ผมถามถึงรูปร่างหน้าตา อาจารย์อธิบายว่ามีหลายเผ่าพันธุ์ หัวกลมตาโต ปากเล็ก หรือคล้ายมนุษย์ก็มี บางพวกก็มาดี แต่ก็มีกลุ่มประสงค์ร้ายที่จะยึดครองโลกปะปนมาด้วย เพียงแต่ยังไม่สามารถทำสำเร็จ เนื่องจากปรับตัวไม่ได้กับแบคทีเรียบางอย่างบนโลกมนุษย์ (แม้จะพยายามลักตัวมนุษย์ไปแยกยีนส์ หรือผสมพันธุ์เพื่อสร้างเหล่ากอใหม่)

.........ผมสอบถามต่อไปว่า เนื้อหาที่สนทนากับมนุษย์ต่างดาว ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องอะไรบ้าง อาจารย์เล่าว่าเป็นเรื่องทั่วไป เช่น การเกิดสงครามโลกครั้งที่สาม ซึ่งจะเกิดจากการต่อสู้เพราะทนถูกเอารัดเอาเปรียบไม่ไหว โดยจะมีการสร้างฐานจรวดบนดวงจันทร์เพื่อเตรียมถล่มกัน

.........ประเด็นที่น่าสนใจก็คือบางทีอาจารย์ก็ไหว้วานให้มนุษย์ต่างดาวช่วยเหลืองานบางอย่าง ซึ่งบางงานมนุษย์ต่างดาวก็รับจัดให้ แต่บางงานก็ปฏิเสธ โดยบอกว่าเป็นเรื่องของมนุษย์ที่ต้องจัดการกันเอง ผมขอให้อาจารย์ยกตัวอย่าง ท่านเล่าว่า ก็เรื่องปัญหาภาคใต้บ้านเราไง ที่มนุษย์ต่างดาวบ่ายเบี่ยงไม่ยอมช่วย ส่วนเรื่องที่มนุษย์ต่างดาวยอมออกแรงช่วย อาจารย์ก็ไม่ยอมบอก ปกปิดเป็นความลับ ให้กลับไปคิดเป็นปริศนา

.........ก่อนล่ำรากันวันนั้น พวกเราได้ไถ่ถามถึงงาน ที่อาจารย์กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน ท่านได้กล่าวถึงเรื่องการสร้างเสื้อเกราะกันกระสุน ที่จะส่งไปให้ทหารตำรวจภาคใต้เพื่อป้องกันอันตราย โดยเป็นผ้าที่ทอหนาพิเศษ 16 ชั้น ป้องกันกระสุนปืนได้ ที่สำคัญต้นทุนผลิตเพียงแค่ สี่พันบาท ในขณะที่ท้องตลาดทั่วไปจำหน่ายถึงหกมื่นบาท โดยขณะนี้ประเทศจีนมีความสนใจจะสั่งนำเข้าถึงแสนตัว

.........ใครบางคน อดนึกไม่ได้ว่า มนุษย์ต่างดาวอาจช่วยอาจารย์คิดค้นเสื้อเกราะชนิดนี้ แต่ผมกลับคิดถึงสาเหตุของการเกิดสงครามโลกครั้งที่สามที่มนุษย์ต่างดาวทำนาย ว่า จะเกิดจากความโลภของมนุษย์ ผมว่า ถ้ามนุษย์รู้จักแบ่งปันกัน รักและสามัคคีกัน การเข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ไม่น่าจะเกิดขึ้น....

วันนี้มีคำเตือนมาจากต่างดาวแล้ว ถ้ายังไม่เลิกเห็นแก่ตัวกัน ก็นับวันโลกาวินาศได้เลย

ภาพถ่ายมนุษย์ต่างดาวจากกล้องวงจรปิด
เมื่อ สิงหาคม 2003
อ.เคยเล่าให้ฟังว่า ผู้หญิงในภาพยังหายสาบสูญจนทุกวันนี้



แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ Sat Dec 12, 2009 2:45 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ขึ้นไปข้างบน
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email ชมเว็บส่วนตัว
admin
Site Admin


เข้าร่วม: 16 Jun 2007
ตอบ: 54

ตอบตอบเมื่อ: Sat Dec 12, 2009 2:12 pm เรื่อง:ตอบโดยอ้างข้อความ

สมาธิจิตติดต่อมนุษย์ต่างดาว
บทความ โดย สายทิพย์
จาก นิตยสาร 'หญิงไทย' ฉบับที่ 755

.........ณ เวิ้งจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลมีหมู่ดาวน้อยใหญ่โคจรอยู่มากมาย เป็นไปได้หรือไม่ว่า นอกจากโลกใบนี้ที่มีมนุษย์อาศัยอยู่แล้ว ในดาวดวงอื่นๆจะมีมนุษย์ต่างดาวอยู่ เหมือนโลกของเราหรือไม่
.........ในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์ทางจิตครั้งที่ 11 ที่ผ่านมา ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน นักวิทยาศาสตร์ที่สนใจศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับจานบิน และมนุษย์ต่างดาว ท่านได้ให้เกียรติมาเป็นวิทยากรบรรยายถึงวิธีการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว ซึ่งจากผลงานการค้นคว้าของท่านในเรื่องดังกล่าวได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวท่านเอง และยังสร้างความมหัศจรรย์ให้กับคนไทยที่สนใจเป็นจำนวนมาก ขั้นตอนและวิธีการติดต่อทางจิตด้วยการทำสมาธินั้นเป็นอย่างไร เราลองมาฟังเนื้อหาที่ท่านบรรยายกัน ซึ่งเชื่อว่าหลายท่านจะได้ประโยชน์และสามารถนำไปทดลองด้วยตนเองได้

.........วิธีติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว ซึ่งผมก็ได้ศึกษามาเกือบ 20 ปีแล้ว คือ ผมได้มีโอกาสเห็นจานบินเป็นครั้งแรกเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ที่ผมไปเรียนต่อที่สหรัฐฯ คนเห็นเป็นพันคนนะ มีคนเอากล้องส่องทางไกลมาให้ดูก็เห็นมี 2 ลำ ลอยอยู่ หลังจากนั้นผมก็สนใจและติดตามเรื่อยมา จนผมจบปริญญาเอกทางการแพทย์ที่อเมริกา พอผมกลับมาประเทศไทยผมก็ยังสนใจอยู่ ผมมาคิดว่าถ้าเราจะศึกษาเรื่องนี้ให้มากขึ้นเนี่ย เราควรจะทำอย่างไร ผมก็ไปปรึกษากับ ดร.อาจอง ชุมสายฯ เรารู้จักกันมาแต่เด็กแล้วนะ ดร.อาจองท่านเคยไปบรรยายที่จุฬาฯ
.........ท่านบอกท่านเคยเห็นจานบินมา 30 ครั้งแล้ว ท่านบอกผมว่า ที่ท่านคิดเครื่องมือที่เอาจรวดไปลงที่ดาวอังคารได้ ก็เพราะท่านไปนั่งสมาธิที่บนเขาแล้วพวกจานบินนี่มาบอก พอท่านเสนอเข้าไปที่นาสาเขารับและก็เลยนำจรวดลำแรกไปลงที่ดาวอังคารได้ ซึ่งเมื่อผมติดต่อมนุษย์ต่างดาวได้ เขาก็บอกว่ารู้มั้ย อาจารย์คนนี้ (ดร.อาจอง) ก็เคยเป็นมนุษย์ต่างดาวในอดีตชาติ

.........และโดยหลักของวิทยาศาสตร์ คือ ดวงดาวบนทางช้างเผือกมีดาวเยอะแยะ ทางช้างเผือกมีดาวที่เป็นดวงอาทิตย์ 5 แสนล้านดวง ในระบบสุริยะจักรวาล ทำให้นึกถึงหนังที่พระเอกกับนางเอกนัดพบกันบนทางช้างเผือกนะ แล้วจะไปเจอกันได้ยังไงดาวแยะเหลือเกิน
.........ผมเคยไปเรียนถามท่านอาจารย์จรัญ วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี ว่า เอ๊! นางเอกกับพระเอกนัดเจอกันบนทางช้างเผือก ดวงดาวตั้งแสนล้านดวงจะไปเจอกันได้ยังไง ท่านบอก "โอ้ย...โยม ถ้าเผื่อมีกรรมต่อกันเนี่ยนะ อย่าว่าแต่แสนล้านดวงเลย ล้านๆดวงก็ต้องเจอ" ซึ่งมันก็เกี่ยวข้องกับศาสนาไม่น้อย ทางนาสา ศ.เรด ท่านได้ทำสมการไว้คำนวณว่าดวงดาวนพเคราะห์ที่จะมีมนุษย์อยู่ และติดต่อกับดาวดวงอื่นได้น่ะมี และดาวนพเคราะห์ที่มีมนุษย์อยู่มีประมาณ 1 ล้านดวง ซึ่งขณะนี้ทางนาสากำลังศึกษาอยู่ อาทิ ดาวอังคาร
.........ซึ่งขณะนี้นาสาสนใจมาก เพราะว่ามีการพบน้ำใต้ดิน พบคล้ายๆท่อประปาใหญ่ ยาวเป็นร้อยกิโลเลย แต่เขาพยายามปกปิด นอกจากนี้ยังมีประธานาธิบดีสหรัฐ 2 คน ที่ออกมายืนยันว่าเคยพบจานบินก็คือ เรแกนกับคาร์เตอร์

.........จานบินที่พบทั่วโลกนี้มีรูปร่างแตกต่างกันเยอะแยะ แต่เขาบอกว่าไม่เป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐ และที่นาสาเขาก็ให้ความเห็นว่าการเผชิญหน้ากับจานบินและผู้มากับจานบินมี อยู่ 5 อย่างด้วยกัน อย่างแรกเห็นในระยะ 600 เมตร คือเห็นเป็นจานบิน อย่างที่ 2 จานบินนี่ทำให้หญ้าไหม้ ทำให้รถหยุด อย่างที่ 3 เห็นมนุษย์ที่มากับจานบิน อย่างที่ 4 ถูกมนุษย์ต่างดาวจับไป
.........ในประเทศไทยมีคนเคยมารายงานผมว่า มีคนไทยเคยถูกมนุษย์ต่างดาวจับไป 4 คน แต่เขาก็ปล่อยกลับมาทุกคน และก็มีวิศวกรคนหนึ่งจบจุฬาฯด้วย เขาเล่าว่าได้ร่วมเพศกับมนุษย์ต่างดาวผู้หญิง และมนุษย์ต่างดาวบอกว่าถ้ามีลูกจะเอาลูกมาให้ แล้วก็เคยมีชาวต่างชาติที่เคยร่วมเพศกับหญิงต่างดาวอีกคนที่เขาแอบดึงผมมา 2 เส้นกำไว้เลย พอหลังจากนั้นเขาหลับไป ตื่นขึ้นมาเขาก็นอนเปลือยกายอยู่บนพื้นดิน แต่มือยังกำเส้นผมนี้อยู่ เขาก็เอาเส้นผมไปตรวจหาดีเอ็นเอ ปรากฏว่าไม่ใช่ดีเอ็นเอของมนุษย์ เขาเขียนเป็นตำราออกมาเล่มหนึ่ง ลูกชายผมอยู่ที่โน่นซื้อมาให้ เขาบอกว่าประหลาดมาก มนุษย์ต่างดาวคนนี้ผมเป็นสีทอง แล้วก็พูดกันไม่รู้เรื่อง แต่เขาก็สื่อภาษากันว่า ถ้าเกิดท้องเขาจะเอาลูกมาให้ ส่วนวิศวกรคนไทยที่เคยนอนกับมนุษย์ต่างดาว เขาก็บอกว่าผู้หญิงต่างดาวที่เขานอนด้วยเนี่ยหน้าตาเหมือนนางฟ้าเลย สวยจริงๆ ตาสีดำ ผมสีดำ เขาบอกว่ารู้งี้แอบกระตุกผมมาให้ตรวจแล้ว



แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ Sat Dec 12, 2009 2:47 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ขึ้นไปข้างบน
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email ชมเว็บส่วนตัว
admin
Site Admin


เข้าร่วม: 16 Jun 2007
ตอบ: 54

ตอบตอบเมื่อ: Sat Dec 12, 2009 2:14 pm เรื่อง:ตอบโดยอ้างข้อความ

.........สหรัฐอเมริกาก็พยายามที่จะค้นหามนุษย์ต่างดาวโดยใช้การยิงคลื่นขึ้นไป ซึ่งเขาก็รายงานมาว่ามีตอบกลับมาปีหนึ่งประมาณ 3 หมื่นรายได้ เขาใช้เวลาติดต่อประมาณ 3 ปี ผมเองที่ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว นี่ผมพยายามบอกให้เขาส่งอีเมลล์ให้ผมนะ แต่เขาส่งมาผมอ่านไม่รู้เรื่องเลย เขาบอกเครื่องของท่านใช้ไม่ได้ ยังไม่ดีพอ ส่วนการสำรวจดาวอังคารหรือดวงจันทร์นี่ทางนาสาถ่ายรูปเจออะไรเยอะแยะเลย
.........ที่ดวงจันทร์นาสาถ่ายจรวดได้ลำหนึ่งยาวเป็นกิโลเลย จอดอยู่ นี่รูปนี้เพื่อนผมแอบส่งมาให้ที่ดาวอังคาร คือถ่ายได้เป็นเมืองร้าง เมืองร้างนี้อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรของดาวอังคาร มีเทวรูปยืนอยู่เป็นเทวรูปกอดอกเหมือนที่อียิปต์ และมีปิระมิดต่างๆด้วย เมื่อนาสาได้ดูรูปต่างๆ เขาสรุปว่าสิ่งก่อสร้างต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติเองไม่ได้ ต้องถูกสร้างโดยสิ่งมีชีวิตที่ทรงภูมิปัญญา แต่สิ่งมีชีวิตนี้มาจากไหนไม่รู้ แล้วทำไมน้ำในดาวอังคารมันหายไปไหนหมด มันมีภาพคล้ายเป็นทะเล และมีกำแพงเห็นชัดมาก แต่น้ำหายไปไหนหมดไม่รู้อะไรเกิดขึ้น คิดว่าอาจมีสงคราม มีอุกกาบาตมาชน และส่วนหนึ่งอาจหนีมาอยู่ที่โลกนี้ ซึ่งนานแล้วและน่าสนใจ

.........วิธีติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว แรกๆผมไปถาม ดร.อาจอง ท่านบอกว่าท่านทำสมาธินึกถึงพวกจานบินเนี่ยเขาก็มาทุกที ผมก็เอ...ถ้าผมศึกษาก็คงได้สินะ ต้องเห็นหลายๆครั้งคือใน 100 คน ต้องมีซัก 10 คน เคยเห็น ดร.อาจองท่านบอกให้ทำสมาธิทำจิตให้นิ่ง ให้สงบ และขอให้เห็นจานบิน ผมทำอยู่ 3 ปีน่ะ แล้วผมก็ไปเรียนกับโยคีที่อินเดีย ผมทำสมาธิและขอให้จานบินมา 3 ปี ผมไม่เห็นอะไรเลย ผมทำทั้งกลางวันกลางคืน แต่ส่วนมากจานบินเขาบอกจะมากลางคืนมากกว่า กลางวันมันสว่างจ้าเกินไป
.........ส่วนมากที่ผมทำเนี่ย 100 ครั้ง เขามา 90 ครั้งแน่ะ อีก 10 ครั้ง ที่เขาไม่มาอาจเพราะอากาศไม่ดี เขาบอกว่าถ้ามีฝนตกเขาไม่กล้ามา เพราะจานบินที่ตกก็เพราะโดนฟ้าผ่า หรือบางทีเขามาแต่ลงมาไม่ได้ เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ข้างล่างไม่ให้มายุ่ง อย่างที่รามคำแหงเมื่อ 11 ปีที่แล้ว ก็นัดให้เขามา ก็เอ๊...เขาไม่มาซักที ก็เลยมีคนคนหนึ่งเขาเป็นคนทรงของหลวงปู่ทวดอยู่เยาวราชเขามาดู อยู่ๆหลวงปู่ทวดมาเข้า เขาเข้ามากอดผมและร้องไห้บอกไม่ได้เจอตั้งนาน ผมเคยเป็นลูกศิษย์ของท่านในอดีตชาติ ผมก็เลยบอกหลวงปู่ช่วยผมหน่อยเถอะ จานบินนัดกันแล้วทำไมไม่มา หลวงปู่ก็บอกว่าเนี่ยข้างล่างเขาไม่ให้ลงมาให้มนุษย์เห็น ผมก็ว่าถ้างั้นท่านช่วยไปเจรจาให้หน่อยได้มั้ย ให้เขาอนุญาตให้จานบินลงมาให้เห็น หลวงปู่ก็บอกได้ๆๆ เชื่อมั้ยแป๊บเดียวมาเลย 5 ลำ มันก็แปลกนะ

.........และเมื่อแรกๆ ที่ผมทำสมาธิติดต่อมนุษย์ต่างดาว ผมทำ 3 ปี ก็ไม่มาซักที คือแรกๆผมก็ไปเรียนทำสมาธิ ผมเรียนกับ พล.ท.สมาน วีระไวทยะ น้าแท้ๆของผม ซึ่งอยู่บ้านเดียวกัน ท่านเก่งมาก ใครเอาของไปใส่กล่องให้ท่านดู ไม่ต้องบอกว่าในกล่องมีอะไร ท่านรู้หมด และการติดต่อกับพวกผีนี่ท่านชำนาญมาก แต่เรียนแล้วลองทำก็ยังไม่มาซักที แล้ววันหนึ่งผมทำสมาธิอยู่คนเดียวก็คล้ายๆเขามาบอก คือการติดต่อทางโทรจิตเนี่ยมันไม่ได้บอกเป็นประโยค แต่มันรู้ขึ้นมาในสมองน่ะ เขาบอกว่า อยากเห็นรถยนต์ ทำไมไม่ขอคนขับ มานึกๆดู เอ...ถ้าจะให้รถมาเนี่ยมันต้องมีคนขับรถมานะ เรานี่โง่เขลาจริงๆเลย เราต้องขอให้คนขับเขาขับมาให้ดูสิ คือต้องขอที่ตัวมนุษย์ต่างดาว แล้วผมก็ถามไปอีกว่า ท่านชื่ออะไร เขาก็บอก "ข้าชื่อ พาราซิทัล มาจากดาวอังคาร"



แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ Sat Dec 12, 2009 2:49 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ขึ้นไปข้างบน
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email ชมเว็บส่วนตัว
admin
Site Admin


เข้าร่วม: 16 Jun 2007
ตอบ: 54

ตอบตอบเมื่อ: Sat Dec 12, 2009 2:15 pm เรื่อง:ตอบโดยอ้างข้อความ

.........ผู้เขียน( สายทิพย์ ) เคยอ่านประวัติความเป็นมาของ ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน จึงทราบว่าก่อนที่ท่านจะมาเกี่ยวข้องกับ มนุษย์ต่างดาว ท่านเคยมีประสบการณ์ประหลาดเกิดขึ้นกับตัวเองเหมือนกัน คือเมื่ออายุ 10 กว่าขวบ ท่านมักพบปรากฏการณ์มหัศจรรย์ คือมักมีแสงส่องจากเมฆลงมาที่ตัวหลายครั้ง มีครั้งหนึ่งที่ถึงกับเป็นลมล้มลง และมีรอยแดงที่หน้าอกเป็นวงกลม ท่านเองก็เกิดความสงสัยว่ามีอะไรอยู่หลังก้อนเมฆนั้น กระทั่งเมื่อไปศึกษาต่อยังสหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ศ.2497 ขณะอายุ 19 ปี ก็มีโอกาสได้เห็นจานบิน 2 ลำ ที่รัฐเวอร์มอนต์ สหรัฐฯ ขณะไปตั้งแคมป์กับเพื่อนทำให้เกิดความสนใจเรื่อง UFOตั้งแต่นั้นมากระทั่งถึงปัจจุบัน

.........และยังมีเรื่องแปลกบางเรื่องที่เกิดกับ ศ.ดร.นพ.เทพนม ในช่วงแรกที่ทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว เรื่องเกิดขึ้น เมื่อปี 2538 ต้นเดือนมกราคม อาจารย์หมอเทพนมได้ไปหาซื้อหนังสือเกี่ยวกับยูเอฟโอ และมนุษย์ต่างดาวที่ร้านหนังสือใหญ่แห่งหนึ่งใน จ.สมุทรปราการ คนขายบอกว่าไม่มี แต่ในร้านมีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาหาอาจารย์เทพนมบอกว่า เธอได้รับคำสั่งให้พาไปซื้อหนังสือ เธอรออยู่นานแล้ว และยืนยันว่ามีหนังสือพวกนี้แน่ๆในร้านนี้ เธอพาไปดูหลังร้าน
.........ระหว่างเดินไปเธอถามว่า เชื่อมั้ยว่ามนุษย์ต่างดาวที่หน้าตาเหมือนพวกคุณเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ ตั้งนานแล้ว และเมื่อไปถึงชั้นหนังสือหลังร้าน เธอก็ชี้ให้อาจารย์หมอเทพนมดูหนังสือจำนวนมากที่ตั้งเรียงอยู่บนชั้นหนังสือ มีทั้งภาษาไทยและอังกฤษ เธอบอกว่า "นี่ไงหนังสือที่คนขายบอกว่าไม่มี คุณเลือกซื้อเอาตามใจชอบ หมดหน้าที่ของฉันแล้ว" พูดจบเธอก็เดินจากไป มาภายหลังอาจารย์หมอเทพนมท่านมาทราบจากพระที่เก่งทางสมาธิและสามารถติดต่อ กับมนุษย์ต่างดาวได้เช่นกันท่านบอกว่า "ผู้หญิงที่อาจารย์หมอเทพนมเล่าให้ฟังนี่ไม่ใช่มนุษย์"

.........นี่เป็นบางส่วนของประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับ ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน เมื่อแรกเริ่มที่ทำการศึกษาเรื่องยูเอฟโอและมนุษย์ต่างดาว ซึ่งหลังจากนั้นท่านก็ได้สัมผัสทางสมาธิรวมถึงได้พบเห็นการมาปรากฏของจานบิน และมนุษย์ต่างดาวอีกนับครั้งไม่ถ้วน

.........ในการเห็นมนุษย์ต่างดาวเนี่ยต้องมีเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เช่น กล้องถ่ายรูปมาบันทึกภาพและควรมีคนอื่นเห็นด้วย ไม่ใช่เราเห็นคนเดียว เพราะเราอาจจะคิดไปเองก็ได้ ซึ่งขณะที่ผมทำสมาธิอยู่ 3 ปี แล้ววันหนึ่งผมและภรรยาไปเที่ยวกาญจนบุรี ก็ลองคิดว่าเอ๊ะ! ท่าน พาราซิทัล ท่านเอายานมาให้ผมเห็นได้มั้ย สักพักเดียวก็ปรากฏขึ้นมา นึกแป๊บเดียวมาลอยให้เห็นตั้งนานเกือบชั่วโมง หลังจากนั้นพอทำสมาธิขอให้มาในที่ต่างๆ จังหวัดโน้น จังหวัดนี้ก็มาเรื่อยนะ

.........แล้วก็เมื่อ 2542 มีประชุมใหญ่นาซ่า เจ้าหน้าที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกหลายร้อยคนมาประชุมกัน เขาเชิญคนไทย 3 คน ผมเป็นหนึ่งในสามที่รับเชิญไป ไปถึงเขาก็บอกไหนลองพาเขามาให้ดูซิ ผมก็ลองทำสมาธิแป๊บเดียวเขาก็มา พวกฝรั่งก็เห็นหมดนะ ก็เออ...มาได้จริง เขาก็บอกคุณอยู่เมืองไทยทำไม มาอยู่อเมริกาดีกว่าได้เงินเดือนเป็นล้านนะ ผมบอกนี่บ้านเมืองของผม ผมอยู่ของผมอย่างนี้แหละ แล้วผมก็ถามมนุษย์ต่างดาวนะว่าเอ๊...ประเทศไทยก็ยากจนนะ ทำไมมนุษย์ต่างดาวถึงสนใจล่ะ เขาบอกว่า เมืองไทยนี่สำคัญนะเป็น ประตูมิติ อันหนึ่งที่เวลาจานบินจะเข้ามาต้องมาทางนี้

.........ยังมีภาพมนุษย์ต่างดาวที่ถ่ายได้เขาลงมาเดินที่ อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ ทุกสี่โมงเย็นจะมาเดิน ตัวเขาคล้ายๆเป็นกึ่งพลังงานกึ่งวัตถุ แต่พอโฟกัสไปที่หน้าเขากลับไม่มีหน้านะ เขามาเดินอยู่ใกล้ๆคนงานตัดอ้อย แต่พวกนี้กลับไม่เห็นเขา ผมก็ไปประมาณ 7 คน ใช้กล้องถ่ายไว้ได้ เราเห็น ทำไมชาวบ้านไม่เห็นก็ไม่รู้ แล้วที่เขาใหญ่ก็เคยถ่ายได้ ผมไปพักที่โรงแรมจุลดิศ ตอนนั้นไปกับ ดร.พิจิตร รัตตกุล ไปเที่ยวกันน่ะ แล้วตอนกลางคืนพวกจานบินก็มา ทีแรกท่านไม่เชื่อ แล้วเวลามานี่เขาฉายไฟลงมาด้วยคล้ายๆเขารู้ว่าเราอยู่ที่กาญจนบุรีก็มีจานบินฉายไฟลงมา พอฉายไฟลงมามันจับคนไปได้นะ
.........ที่อุทัยธานีเพื่อนผมเป็นคนญี่ปุ่นเขาถ่ายได้มันส่องไฟลงมา และตัวมันก็ลงมาเป็นแสงน่ะ มันลงมายืนอยู่ 4 คน แต่งแบบทหารเลยในป่า มันยืนเรียงแถวแบบทหาร คนเห็นก็ทิ้งกล้องวิ่งหนีเลยกลัวมันจับไป รุ่งขึ้นอีกวันมันหายไปแล้ว แต่ข้าวของไม่มีหายเลย กล้องแพงๆยังอยู่ที่เขากะลา เขาใหญ่ก็ถ่ายได้ เขาเอายานลงมาจอด โดยส่วนใหญ่เนี่ยเขาจะไม่เอายานมาจอดนะ เขาจะลอยอยู่ ผมเคยไปค้างที่โรงเรียนนายร้อย จปร.ถ่ายได้เป็นรูปไฟ พวกพลเอก พลโทไม่เคยเห็นก็ได้เห็น