กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย (เขากะลา)

วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Alien Contact Interrupts Live CNN Broadcast INCREDIBLE

UFO Alien Proof Disclosure Project 'Open Your Eyes' Footage

What is really hidden on Planet Mars ? (part1)

What is really hidden on Planet Mars ? (part1)

We Have Never Been Alone !

วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

We are here! Vrillon von der Galaktischen Föderation

Human Energy Field, 1 of 3

แกนพลังงานโลกใหม่อยู่ที่เท้าหน้าขวาของสฟิงซ์/ความลับstonehedge


สโตนเฮนจ์ (StoneHenge)
สโตน เฮนจ์ (StoneHenge) แห่งเมืองซาลเบอรี่ (Salisbury) ประเทศอังกฤษ มีอายุนานประมาณ 5,000-6,000 ปีผู้สนใจสามารถหาข้อมูลละเอียดมากเท่าที่ต้องการได้จากแหล่งข้อมูลอื่นๆ หากเป็นความรู้ที่ได้มาจากวิทยาศาสตร์ทางจิต จำเป็นต้องให้เครดิตกับ “ชาวแอตแลนตีส” ก่อนเมื่อประมาณ 13,000 ปี ล่วงมาแล้ว มหาอาณาจักรแอตแลนตีส เป็นศูนย์รวมของสรรพวิทยาการและอารยธรรมในยุคนั้น เรียกกันว่า “ยุคพีระมิด” เนื่องจากใช้พลังของพีระมิดเป็นพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ทางจิต พลังจิต การสื่อสาร การเดินทาง การรักษาโรค การคำนวณบอกเวลาทางดวงดาวและกาแลคซี่ทั้ง 3 (ปฏิทินดาราศาสตร์) วิวัฒนาการด้านพลังงาน พลังจิต ได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้จากชาวดาวอังคาร จนสามารถก้าวไปถึงลำดับสุดท้าย คือการเปลี่ยนวัตถุเป็นแสง และการเปลี่ยนแสงเป็นวัตถุ วิวัฒนาการด้านพลังงานมีด้วยกัน 7 ระดับ คือ 1. ความร้อน 2. แสง 3. เสียง 4. แม่เหล็กไฟฟ้า 5. ปรมาณู 6. เส้นแสง 7. การเปลี่ยนวัตถุเป็นแสงและการเปลี่ยนแสงเป็นวัตถุ

1 เดือนล่วงหน้าก่อนการล่มสลายของมหาอาณาจักร มีนักบวชรูปหนึ่ง เป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา ยุคที่เหลือแต่พระธรรมคำสอน ของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ก่อนพระสมณโคดมของยุคนี้) นักบวชเป็นผู้มีความสามารถมาก มีพลังจิตสูง รู้อดีต อนาคต จึงได้รู้ถึงเวลาของการล่มสลายและยุบตัวจมลงในมหาสมุทรของมหาอาณาจักร ที่จะเกิดขึ้นภายใน 1 เดือน จากสาเหตุการใช้ “อาวุธแสง” ทำสงครามทำลายล้างแผ่นดินคู่อริ นักบวชได้ชักชวนและอพยพบุคคลที่เชื่อพาลงเรือ เดินทางร่วม 1 เดือนพ้นออกมาจากการยุบตัวของทวีปขึ้นฝั่งที่แถบลุ่มแม่น้ำไนล์ ประเทศอียิปต์ในปัจจุบันนี้ นักบวชได้บอกไว้อีกว่า “แผ่นดินมหาอาณาจักรแอตแลนตีสนี้จะคืนกลับอีกครั้งในรอบ 13,000 ปีข้างหน้า จะเป็นแผ่นดินที่สมบูรณ์ด้วยทรัพยากรและจิตวิญญาณของมนุษย์” พร้อมทั้งยืนยันสัจจวาจาในครั้งนั้น

โดยใช้พลังจิตและความช่วยเหลือจากชาวดาวอังคาร สร้าง สัญลักษณ์ สฟิงซ์ (Sphinx) ขึ้น ด้วยวิธีของการเปลี่ยนวัตถุเป็นแสงและการเปลี่ยนแสงเป็นวัตถุ เพื่อเคลื่อนย้ายหินขนาดใหญ่ทำเป็นรูปสิงห์หมอบ มีใบหน้าเป็นชาวดาวอังคาร จัดวางไว้ในแนวทิศตะวันออก ตะวันตก มีพลังมโนธาตุสำหรับสร้างเป็นแกนพลังงานโลกใหม่อยู่ที่เท้าหน้าขวาของสฟิงซ์

การสร้างสฟิงซ์มีจุดมุ่งหมายสำคัญ 3 อย่าง

1. เป็นสัญลักษณ์แทนคำมั่นสัญญาของนักบวชที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดเพื่อกลับมาแก้ไขเหตุที่ได้สร้างไว้ในอดีต

2. จมูกสฟิงซ์เป็นแหล่งของพลังกระแสลมปราณ เพื่อใช้เป็นประโยชน์ในการหายใจของชาวดาวอังคารในยามที่แวะเวียนมาเยือนโลก ของเรา แต่ในที่สุดจมูกถูกอาวุธสงครามทำลายแตกหักจนจมูกตัน ชาวดาวอังคารจึงค่อนข้างลำบากเมื่อมาท่องโลก

3. เมื่อถึงเวลาครบรอบของการเปลี่ยนแปลงแรงดึงดูดเข้าสู่อิทธิพลของอีกกาแลคซี่ ผู้กลับมาทำหน้าที่จะใช้เท้าขวาเหยียบลงบนเท้าหน้าขวาของสฟิงซ์ เกิดการขับเคลื่อนของพลังมโนธาตุและกระแสลมปราณม้วนหมุนเป็นเกลียวเข้าสู่ ศูนย์กลาง สร้างเป็นแกนพลังงานโลกใหม่ มีขั้วโลกอยู่ในแนวทิศตะวันออกและตะวันตก นักบวชรูปนั้น มีนามว่า รต (อ่านว่า ระตะ)

นับเป็นเวลาหลาย พันปีที่อารยธรรมแอตแลนตีสได้ถ่ายทอดสู่อนุชนรุ่นหลัง แตกแยกออกเป็นหลายเผ่าพันธุ์ เชื้อชาติ แยกกระจัดกระจายออกจากลุ่มแม่น้ำไนล์ไปทั่วทุกส่วนของโลก พร้อมกับนำความรู้ของแอตแลนตีสเผยแพร่อย่างกว้างขวาง เช่นการทำมัมมี่ เคล็ดลับของการมีอายุยืน พลังพีระมิด รวมทั้งหลักการคำนวณของดวงดาวและกาแลคซี่ทั้ง 3 เป็นปฏิทินดาราศาสตร์ที่อธิบายถึงการสับเปลี่ยนแรงดึงดูดที่มีอิทธิพลต่อโลก และระบบสุริยจักรวาลในช่วง 26,000 ปี


ชาว มายา (มายัน) เป็นอีกชาติพันธุ์หนึ่งที่สืบเชื้อสายและมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการเผย แพร่อารยธรรมแอตแลนตีสสู่สายตาชาวโลกเป็นหลักฐานที่มีชีวิต บ่งบอกยืนยันว่า “แอตแลนตีส” มีอยู่จริง มิใช่เป็นเพียงตำนานเล่าขาน ชาวมายาจึงได้สร้างปฏิทินดาราศาสตร์ขึ้นด้วยเสาหิน แท่งหินขนาดใหญ่จำนวนหลายร้อยแท่งจัดวางเป็นวงกลมซ้อนกันอยู่ 3 วง และวิธีการสร้างเป็นวิธีเดียวกับการสร้างสฟิงซ์ คือเป็นผลงานของมนุษย์ผู้มีพลังจิตสูงร่วมมือกับชาวดาวอังคารในการเปลี่ยน หินแท่งใหญ่ที่มีน้ำหนักมากกว่า 1 ตัน ให้เป็นพลังงานแสงก่อนแล้วเคลื่อนย้ายนำไปจัดวางในที่ที่ต้องการ และใช้พลังจิต เปลี่ยนพลังงานแสงคืนเป็นแท่งหินแท่งใหญ่อีกครั้งสโตนเฮนจ์ เป็นสัญลักษณ์ที่มีอายุประมาณ 5,000-6,000 ปี ใกล้เคียงกับยุคมหาพีระมิดของประเทศอียิปต์ ศาสตร์พีระมิดของชาวอียิปต์ เป็นตัวแทนของชาวแอตแลนตีสในการถ่ายทอดพลังของพีระมิดในศาสตร์การทำมัมมี่ทำ สถานที่เก็บศพ เคล็ดลับการมีอายุยืน ยารักษาโรค ฯลฯ ตลอดจนปลูกฝังความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายที่แสนงดงาม ในขณะที่สโตนเฮนจ์ของชาวมายาสร้างขึ้นเพื่อเตือนภัยแก่ชาวโลก เมื่อถึงวาระการเปลี่ยนแปลงแรงดึงดูดของแต่ละกาแลคซี่ ในรอบ 13,000 ปี



พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ได้ไขปริศนาและอ่านความลับจากการจัดวางเสาหินเป็นวงกลม 3 วงไว้ดังนี้

เสาหินวงนอก เป็นวงกลมขนาดใหญ่ มีเส้นรอบวงกว้างโอบล้อมครอบคลุมวงกลมเล็กอีก 2 วงหมายถึง กาแลคซี่อันโดรเมดา (Andromeda Galaxy) พระอาจารย์เรียกกาแลคซี่นี้ว่า กาแลคซี่สะเทิน เพราะมีทั้งพลังงานเบา ดี และพลังงานหนัก มีขนาดใหญ่มาก เหมือนแผ่อาณาเขตปกป้องควบคุมไว้ทั้งกาแลคซี่ทางช้างเผือกและกาแลคซี่ไตรแอ งกุลัม

เสาหินวงกลางหมาย ถึง กาแลคซี่ทางช้างเผือก (Milky Way Galaxy) เป็นกาแลคซี่ที่ดึงดูดระบบสุริยจักรวาลของเราไว้ในขณะนี้ตั้งอยู่ทางทิศ เหนือ พระอาจารย์เรียกกาแลคซี่นี้ว่า กาแลคซี่หนัก เพราะพลังงานแรงดึงดูดที่เรียกว่าพลังงานแม่เหล็กโลกกำลังให้โทษอย่างรุนแรง และจะนำไปสู่การพลิกเพื่อเปลี่ยนแกนพลังงานโลกใหม่เข้าสู่อิทธิพลแรงดึงดูด ของกาแลคซี่ไตรแองกุลัมอีกครั้ง เมื่อครบวาระ 13,000 ปี

เสาหินวงใน หมายถึงกาแลคซี่ไตรแองกุลัม (Triangulum Galaxy) มีขนาดเล็กกว่ากาแลคซี่ทางช้างเผือกพระอาจารย์เรียกกาแลคซี่นี้ว่า กาแลคซี่เบา เพราะเต็มไปด้วยพลังงานดี เบา ขาวนวล เหลืองสบาย เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณประโยชน์ และกำลังส่งอิทธิพลค่อยๆดึงโลก และระบบสุริยจักรวาลไปทางทิศตะวันออกทีละน้อยๆจนกว่าจะถึงวาระแกนโลกพลิกอีก ครั้ง โลกและระบบสุริยจักรวาลจะตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัมอย่าง สมบูรณ์ไปอีกประมาณ 13,000 ปี

ฉะนั้น ในช่วงระยะเวลา 26,000 ปี สุริยจักรวาลจะตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ทางช้างเผือก 13,000 ปี และอีก 13,000 ปีจะสลับมาอยู่ในอิทธิพลของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม ดังนั้นเราคงพอจะรู้เหตุผลอย่างชัดเจนแล้วว่าการที่ขั้วโลกเหนือไม่ชี้ตรงไป ทางทิศเหนือเสียทีเดียว ตามอิทธิพลแรงดึงดูดของกาแลคซี่ทางช้างเผือกแต่กลับตั้งเอียงไปทางทิศตะวัน ออก องศาเพราะต้านแรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัมไม่ได้ การ มีแรงดึงดูดระหว่าง 2 แรงที่แตกต่างคือมากกว่าและน้อยกว่าทำให้กาแลคซี่ทางช้างเผือกส่งแรงดึงดูด มายังโลกเราในลักษณะดึงเข้าและผลักออกเข้าหาศูนย์กลาง เป็นแรงยืดและแรงหด ในขณะที่กาแลคซี่ไตรแองกุลัม

ตั้งอยู่ทางขวามือตรงกับทิศตะวันออก แรงดึงดูดที่ส่งมาจึงเกิดขึ้นเป็นแรงรับและแรงเหวี่ยง คือเหวี่ยงซ้าย-ขวา ผลจากการรับแรงกระทบแรงดึงดูดจากทั้งสองกาแลคซี่เป็นสาเหตุทำให้โลกของเรา กำเนิดสิ่งมีชีวิตที่มีขันธ์ ครบ 5 ขันธ์ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) และตั้งชื่อเรียกว่า “มนุษย์” ซึ่งมีความแตกต่างไปจากสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงอื่นที่อาจจะมีขันธ์เพียง 4 ขันธ์ เพราะขาดตัว “รูป” พวกเขาจึงมีลักษณะเป็นเพียงพลังงานท่องเที่ยวไปได้ทั่วจักรวาลและใช้พลังจิต เพื่อสร้าง “รูป” ขึ้นมาบ้างในบางครั้ง

ตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นมา ทั้งแรงดึงเข้า-แรงผลักออก และแรงรับ-แรงเหวี่ยง จากทั้งสองกาแลคซี่เริ่มผิดปกติ คือมนุษย์แทบจะไม่รู้สึกถึงการกระทบของแรงเนื่องจากความหนาแน่นของพลังงาน แม่เหล็กโลกที่ถมลงในโลกได้มาถึงจุดอันตราย ทำให้เกิดสภาพนิ่งเหมือนหยุดหมุน เป็นเหตุให้เชื้อไวรัสแบคทีเรีย ธรรมดาๆ กลับมาระบาดอีกครั้งพร้อมกับการกลายพันธุ์ ซึ่งภาวะนิ่งแบบนี้เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2552

สฟิงซ์ สื่อความหมายบอกสถานที่ที่ถูกกำหนดให้เป็นจุดสร้างแกนพลังงานโลกใหม่

สโตนเฮนจ์ บอกถึงกำหนดเวลาการเปลี่ยนขั้วอำนาจของแรงดึงดูดที่มีต่อโลกและระบบสุริยจักรวาล

ระบบ วงโคจรของโลกและสุริยจักรวาลจะยังคงเคลื่อนที่ผิดปกติต่อไปอีก ถูกพลังงานแม่เหล็กโลกดึงเข้าใกล้ขอบกาแลคซี่ทางช้างเผือกทางทิศตะวันออกมาก ยิ่งขึ้น (ในอดีตเคยถูกดึงเข้าใกล้ทางทิศเหนือมาก่อน) เป็นสิ่งบ่งชี้ว่า พลังงานแม่เหล็กโลกกำลังอัดแน่นเพิ่มมากขึ้นๆ ทางทิศตะวันออก และเมื่อความหนาแน่นทวีขึ้นจนถึงอัตราสูงสุดจะเกิดการรีดตัวเป็นเส้นตรง พุ่งออกจากกาแลคซี่ทางช้างเผือกไปทางทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือตรงเข้าหากาแล คซี่อันโดรเมดา

แต่เนื่องจากกาแลคซี่ อันโดรเมดามีขนาดใหญ่กว่ามาก จึงมีพลังแรงดึงดูดมากกว่ากาแลคซี่ทางช้างเผือกเป็นหลายพันเท่า พลังงานแม่เหล็กโลกจึงถูกอัด เด้งกลับคืนเข้าสู่ระบบสุริยจักรวาลและกาแลคซี่ทางช้างเผือก ซึ่งการเสียดสีของพลังงานจากทั้ง 2 กาแลคซี่ในครั้งนี้ จะทำให้แสงสว่างวาบขึ้น มองเห็นได้ทั่วจักรวาล ทั้งดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ต่างได้รับแสงสว่างนี้ถ้วนทั่วกัน มนุษย์ในโลกจะเห็นแสงนี้ปรากฏขึ้นทันทีทันใด แบบที่ไม่ต้องตั้งตาคอย เป็น “แสงที่วาบ” อย่างรวดเร็ว เหมือนละครปิดฉากและผ้าม่านเวทีถูกดึงปิดทันที

จาก นั้นจะเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและพลังงานของโลก สุริยจักรวาลครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งเหมือนกับที่มหาอาณาจักรแอตแลนตีสเคย ประสบมาแล้วเมื่อ 13,000 ปีที่ผ่านมา แต่ในครั้งนี้เป็นการวนครบรอบเปลี่ยนเข้าสู่อิทธิพลแรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตร แองกุลัม เป็นเวลาอีกประมาณ 13,000 ปี และถ้าหากปรากฏการณ์เหล่านี้ได้เกิดขึ้นจริง โลกของเราจะมีทั้งแกนสสารและแกนพลังงานโลกใหม่

โดย มีขั้วโลกตั้งอยู่ ณ จุดที่ตั้งของสฟิงซ์ มีการเปลี่ยนที่กันระหว่างพื้นดิน 1 ส่วน กับพื้นน้ำ 3 ส่วนทั่วโลก มหาสมุทรแอตแลนติกคงมีโอกาสคืนกลับมาเป็นผืนแผ่นดินกว้างใหญ่อีกครั้ง เทือกเขาหิมาลัยอาจจะลดต่ำลงมาเป็นที่ราบกว้างใหญ่ของทวีปเอเชีย (เปลี่ยนแผนที่โลกใหม่) กล่าวโดยรวมคือช่วงเวลา 13,000 ปีครั้งนี้จะเป็นยุคทองของทรัพยากรธรรมชาติและจิตวิญญาณของมนุษย์ นักบวชรูปนั้น ได้ทำหน้าที่ของท่านเรียบร้อยแล้ว

ภาพแสดงถึงกาแลคซี่ทั้ง 3 ที่มีอิทธิพลต่อมนุษย์ เป็นภาพที่ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ใช้ “จิต” ศึกษา


Part 1 of 13 - Pleiadian Message from The Galactic Federation

วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พบalienที่เชียงราย

“มนุษย์ต่าง ดาว” โผล่กลางทุ่งนาที่เชียงราย คนแตกตื่นไปดูกันเพียบ ปรากฏโฉมให้ชาวบ้านนับสิบคนเห็นเป็นชั่วโมง แล้วลอยวับหายไปในท้องฟ้า เผยรูปพรรณมนุษย์ประหลาดมีลักษณะคล้ายคนแคระ สูงประมาณ 70 ซม. ไม่สวมเสื้อผ้าอาภรณ์ ไม่ระบุเพศ ผิวสีน้ำตาลเทา ศีรษะมนกลมโต หน้าอกแบนราบ ชาวบ้านที่เห็นกับตาแอ่นอกการันตีเรื่องนี้ไม่ได้โม้หรือเมาแต่อย่างใด

เรื่อง ราวความเร้นลับเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวที่มาเยือนโลกมนุษย์ ถูกเปิดเผยขึ้นอีกครั้งเมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 8 ก.ย. สมาชิกเครือข่ายของสถานีวิทยุกรมประมงร่วมด้วยช่วยกัน อ.เมืองเชียงราย ที่ระบุชื่อว่านายกิตติเกษม รัตนโฆษะ อายุ 30 ปี ได้โทรศัพท์เข้ามาเล่าเรื่องราวความลี้ลับกับนางเรณู วงศ์สุวรรณ ดีเจรายการ "ท่องเที่ยวอย่างสุขใจไปกับททท." ว่านายมานพ ลาวิชัย อาชีพทำนาที่บ้านห้วยน้ำราก หมู่ 5 ต.จันจว้า อ.แม่จัน จ.เชียงราย ได้พบลูกไฟประหลาดลอยมาตกกลางทุ่งนาหลังบ้าน เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา แต่ไม่ได้สนใจอะไร เพราะคิดว่าเป็นปรากฏการณ์ดาวตกหรือผีพุ่งใต้

ต่อมา ช่วงเช้าวันที่ 3 ก.ย. นายมานพเข้าไปดูนาข้าวตามปกติก็พบกับมนุษย์ประหลาด รูปร่างคล้ายคนแคระ สูงประมาณ 70 ซม. ไม่สวมเสื้อผ้าอาภรณ์ ไม่ระบุเพศ ผิวสีน้ำตาลเทา ศีรษะมนกลมโต ตาโตสีน้ำตาลเป็นมันวาว ไม่มีจมูก ปากบางเล็ก หน้าอกแบนราบ ลักษณะร่างกายไม่กลมมนเหมือนกับมนุษย์ คือถ้ามองจากด้านข้างจะแบนราบ โดยขณะที่พบนั้นมนุษย์ประหลาดเดินวนไปวนมาเหมือนหาสิ่งของอะไรบางอย่าง และช่วงที่นายมานพยืนดูอยู่นั้น ได้มีชาวบ้านที่ออกมาเลี้ยงวัวและคนหาปลานับ 10 คน ต่างมารวมกลุ่มยืนจ้องดูมนุษย์ประหลาด ในระยะห่างประมาณ 10 เมตร พร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานาว่า น่าจะเป็นมนุษย์ต่างดาวหรือไม่ก็พวกหุ่นยนต์

แม้จะตก เป็นเป้าสายตาของชาวบ้านนับสิบคู่ แต่มนุษย์ประหลาดไม่ได้รู้สึกหวั่นไหว และยังคงเดินวนไปมาตามปกติ แล้วหันมามองชาวบ้านด้วยแววตามันวาวเป็นระยะ ๆ ผ่านไป ประมาณหนึ่งชั่วโมง มนุษย์ประหลาดจึงค่อย ๆลอยตัวสูงขึ้นจากพื้นดินไปอยู่เหนือยอดไม้ประมาณ 10 เมตร จากนั้นก็หยุดแล้วหันหน้ามองลงมายังกลุ่มชาวบ้าน ก่อนจะพุ่งลิ่วขึ้นสู่ท้องฟ้าหายลับตาไป

ผู้สื่อข่าว รายงานว่า หลังจากปรากฏเป็นข่าวแพร่กระจายออกไป ได้มีชาวบ้านจำนวนมากพากันแตกตื่นเดินทางมาสำรวจบริเวณกลางทุ่งนาดังกล่าว และพยายามหาร่องรอยหลักฐานของมนุษย์ต่างดาว แต่ก็ไม่มีใครพบ

อย่าง ไรก็ตาม นายคำมา ปิ่นทรายมูล อายุ 57 ปี และนางบัวแก้ว จันต๊ะเวง อายุ 59 ปี ทั้งสองเป็นชาวบ้านในบ้านห้วยน้ำราก หมู่ 5 ต.จันจว้า ที่เห็นมนุษย์ประหลาดกับตาตัวเอง กล่าวยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่ได้โม้หรือเมาแต่อย่างใด เพราะเห็นเหตุการณ์กันตอนเช้านานเป็นชั่วโมง และมีคนอื่น ๆ ทยอยออกมาดูกันเป็นสิบคน.




DR.Theppanom Muangman

ความแตกต่างระหว่าง วิญญาณกับมนุษย์ต่างดาวนั้น ศาสตราจารย์ ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน อธิบายว่า มนุษย์ต่างดาว มักมีจานบินเป็นพาหนะมาด้วย แต่วิญญาณนั้น ช่วงสมัยที่ ดร.คลุ้ม (ที่เสียชีวิตไปแล้ว)มาเล่าผ่านร่างบุตรชายของตนว่าไม่จำเป็นต้องมีรถ หรือพาหนะ เพียงแค่นึกอยากจะไปที่ไหน ก็สามารถหายตัวและไปโผล่ยังสถานที่ต้องการได้ ดังนั้น การเผารถกระดาษไปให้กับผู้ที่ล่วงลับแล้ว อาจจะไม่มีความจำเป็น หรือถึงได้รับ ก็คงไม่กล้าใช้ เพราะอายผู้อื่นที่เขาใช้วิธีนึกเอา ก็เดินทางไปถึงแล้ว

ส่วนวิธีที่อาจารย์จะพบกับมนุษย์ต่างดาวนั้น อาจารย์เล่าว่าต้องใช้วิธีทำสมาธิ ผมถามถึงรูปร่างหน้าตา อาจารย์อธิบายว่ามีหลายเผ่าพันธุ์ หัวกลมตาโต ปากเล็ก หรือคล้ายมนุษย์ก็มี บางพวกก็มาดี แต่ก็มีกลุ่มประสงค์ร้ายที่จะยึดครองโลกปะปนมาด้วย เพียงแต่ยังไม่สามารถทำสำเร็จ เนื่องจากปรับตัวไม่ได้กับแบคทีเรียบางอย่างบนโลกมนุษย์ (แม้จะพยายามลักตัวมนุษย์ไปแยกยีนส์ หรือผสมพันธุ์เพื่อสร้างเหล่ากอใหม่)

ผม สอบถามต่อไปว่า เนื้อหาที่สนทนากับมนุษย์ต่างดาว ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องอะไรบ้าง อาจารย์เล่าว่าเป็นเรื่องทั่วไป เช่น การเกิดสงครามโลกครั้งที่สาม ซึ่งจะเกิดจากการต่อสู้เพราะทนถูกเอารัดเอาเปรียบไม่ไหว โดยจะมีการสร้างฐานจรวดบนดวงจันทร์เพื่อเตรียมถล่มกัน (ความจริงอาจารย์บอกชื่อผู้ที่จะจุดชนวนสงครามโลกด้วย แต่ผมขอปกปิดไว้ เพราะเกรงว่าอาจถูกฟ้องร้อง โดยขอให้ผู้สนใจกลับไปดูคำทำนายของนอสตราดามุสกันอีกครั้ง เนื่องจากชื่อที่อาจารย์บอกกับชื่อในคำทำนายช่างพ้องกันเหลือเกิน)

ประเด็น ที่น่าสนใจ ก็คือบางที อาจารย์ก็ไหว้วานให้มนุษย์ต่างดาวช่วยเหลืองานบางอย่าง ซึ่งบางงานมนุษย์ต่างดาวก็รับจัดให้ แต่บางงานก็ปฏิเสธ โดยบอกว่าเป็นเรื่องของมนุษย์ที่ต้องจัดการกันเอง ผมขอให้อาจารย์ยกตัวอย่าง ท่านเล่าว่า ก็เรื่องปัญหาภาคใต้บ้านเราไง ที่มนุษย์ต่างดาวบ่ายเบี่ยงไม่ยอมช่วย ส่วนเรื่องที่มนุษย์ต่างดาวยอมออกแรงช่วย อาจารย์ก็ไม่ยอมบอก ปกปิดเป็นความลับ ให้กลับไปคิดเป็นปริศนา


บทสัมภาษณ์ระหว่างนายแพทย์ไทยกับมนุษย์ต่างดาวจากดาวอังคาร ชื่อ พาราซิทัลและดาวศุกร์ ชื่อ เอ็ดดี้**


**บทสัมภาษณ์ระหว่างนายแพทย์ไทยกับมนุษย์ต่างดาวจากดาวอังคาร ชื่อ พาราซิทัลและดาวศุกร์ ชื่อ เอ็ดดี้**

1.ถาม-(หมอเทพนมฯ) ทำไมท่านจึงมาติดต่อกับผม เพราะบังเอิญหรือเพราะอะไร?

ตอบ-การ มาติดต่อกับท่าน ไม่ใช่เพราะเหตุบังเอิญ พวกเราติดต่อกับสายพันธุ์เดียวกันเท่านั้นหรือจะเรียกตามภาษามนุษย์ว่า มีกรรมพัวพันกันก็ได้ มนุษย์ต่างดาวจะมาที่โลกนี้ใน 3 รูปแบบ คือ

1)มาในรูปมนุษย์ต่างดาว อย่างพวกเราขณะนี้

2)มาในแบบถูกส่งมาจุติให้เป็นมนุษย์ ท่านได้ถูกส่งลงมายังโลกนี้ห้าพันกว่าปีแล้ว มีหน้าที่ประสานงานระหว่างมนุษย์กับต่างดาว

3)วิญญาณของมนุษย์ต่างดาวเข้าสิงอยู่ในตัวมนุษย์

2.ถาม-วิญญาณหรือจิต มีจริงหรือไม่?

ตอบ- วิญญาณ หรือจิต หรือพลังงานชีวิต มีจริง ในสิ่งที่มีชีวิตทั่วจักรวาล พลังชีวิตนี้ ไม่มีใครทำลายได้ เมื่อมนุษย์ตาย ร่ายกายเน่าเปื่อยไป แต่วิญญาณยังคงอยู่ และจะต้องไปจุติตามการกระทำ หรือกรรมที่ตนทำไว้ อาจไปเกิดเป็นสัตว์ก็ได้ พวกที่เกิดเป็นมนุษย์อีก มักเกิดใกล้สถานที่ที่กำเนิดในชาติก่อน มีจำนวนน้อยที่ไปเกิดข้ามทวีป และมีจำนวนน้อยมากอย่างยิ่ง ที่ไปเกิดในอีกดาวหนึ่ง......



ถ่าย แสงออร่าของหมอเทพนมฯขณะเข้าสมาธิจิตติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว โปรดสังเกตุแสงสีขาวด้านบนแผ่กว้างคลุมโดยรอบ แสดงว่าสภาวะจิตสงบลึกมาก นิ่ง สว่าง มีภูมิจิตภูมิธรรมสูงมาก อยู่ในขั้นบรรลุธรรมขั้นสูงในระดับหนึ่งแล้ว....Webmaster

3.ถาม-ท่านนับถือศาสนาอะไร? มีศาสนาแบบมนุษย์ไหม?

ตอบ-พวกเรา นับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเหมือนกัน มีองค์เดียวที่สูงสุด และทุกชีวิตมาจากหนึ่งเดียวนี้ ตามความจริงซึ่งท่านจะได้เรียนรู้และทราบในศตวรรษใหม่ที่จะมาถึง ในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ มีพระผู้สร้าง หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดอยู่ 1 องค์ ที่สร้างทุกอย่างในจักรวาลขึ้นมาแต่เริ่มแรก แต่การบริหารจัดการกับสิ่งมีชีวิตต่างๆนั้น มีคณะกรรมการจัดการระหว่างดวงดาว ซึ่งบรรดาศาสดาต่างๆของโลกมนุษย์ก็เป็นกรรมการอยู่ ศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนทำดี ไม่ควรมาเปรียบเทียบกันว่าศาสนาของฉันดีกว่าศาสนาของเธอ เพราะศาสดาทุกท่าน ก็มาจากที่เดียวกันหมด และถูกส่งลงมาช่วยพัฒนาจิตใจมนุษย์เป็นระยะๆไป.....

4.ถาม-ท่านอายุเท่าใด? และพวกท่านมีตายบ้างไหม?

ตอบ(ท่านพา ราซิทัล)-เราอายุหลายพันปี ตั้งแต่เราเกิดมาจนถึงปัจจุบัน เคยเห็นพวกเราตายแค่ 3 คน ตายจากอุบัติเหตุยานอวกาศตก ทางด้านโรคต่างๆ เราสามารถพิชิตได้หมดแล้ว ขอให้ถามท่านเอ็ดดี้ ผู้ตรวจจักรวาลบ้าง

ท่านเอ็ดดี้- ท่านพาราซิทัลพูดถูกต้องแล้ว พวกเราอายุยืนมาก......

5.ถาม-ขอให้ท่านให้ความกระจ่าง เกี่ยวกับมนุษย์คู่แรกบนโลกนี้ว่า มาจากไหนกันแน่? มาจากลิงใช่หรือไม่?

ตอบ-มนุษย์ไม่ได้พัฒนามาจากลิงอย่างที่เข้าใจกัน ตามความเป็นจริง มนุษย์เพศชายคนแรกที่พวกท่านเรียกว่า"อาดัม"นั้น ถูกสร้างขึ้น มาที่ดาวนพเคราะห์ดวงหนึ่งนอกระบบสุริยะของท่าน พระผู้สร้างได้ให้พวกเรา นำมนุษย์ผู้นั้นมาไว้ยังโลกนี้ และต่อมาได้สร้างมนุษย์เพศหญิง ที่พวกท่านเรียกว่า "อีฟ" ขึ้นมาอีกคนหนึ่ง และให้นำมาอยู่ด้วยกัน จนสืบเชื้อสายมีลูกหลานกันมากมายไปทั่วโลก พวกเราเปรียบเสมือนบรรพบุรุษของพวกท่านเหมือนกัน มีหน้าที่คอยดูแลช่วยเหลือพวกท่านอยู่เสมอมา ในระยะ 200 กว่าปีที่ผ่านมา มนุษย์เจริญทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมามาก แต่ทางด้านศีลธรรม และจริยธรรม กลับพัฒนาได้น้อยมาก เมื่อมนุษย์ค้นพบพลังงานใหม่ เช่นพลังปรมาณู ก็นำไปใช้สร้างอาวุธทำลายล้างกัน แทนที่จะนำไปใช้ในด้านพัฒนาสุขภาพและสันติภาพ......

6.ถาม-ถ้าพระผู้สร้างมีจริง และเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งสิ่งที่มีชีวิต และสิ่งไม่มีชีวิตขึ้นมาจริงอย่างที่ท่านบอก สิ่งนี้ขัดแย้งกับกฎแห่งกรรมของพุทธศาสนาหรือไม่?

ตอบ- พระผู้สร้าง ได้สร้างทุกอย่างในจักรวาลขึ้นมา แต่ท่านได้ให้อิสระเสรีภาพกับมนุษย์ทุกคน ที่จะทำดี หรือทำชั่วก็ได้ หากทำดี ก็ได้รับผบตอบแทนที่ดี ทำชั่ว ก็ได้รับผลตอบแทนที่ไม่ดี นับว่ายุติธรรมที่สุดแล้วไม่ใช่หรือ? ฉะนั้น ไม่ขัดแย้งกับกฎแห่งกรรมของพุทธศาสนาเลย และนี่คือ ความจริงของกฎจักรวาล........

7.ถาม-สิ่งมีชีวิตในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ แบ่งเป็นระดับอย่างไรบ้าง? และพวกท่าน(มนุษย์ต่างดาว)เป็นผี หรือเทวดา หรืออะไรกันแน่?

ตอบ-พลังงานชีวิต หรือจิตวิญญาณในจักรวาลนี้ แบ่งเป็นระดับต่างๆมากมาย จะเรียกว่า "ภพภูมิ" หรือ"มิติ"ก็ได้ มนุษย์อยู่ในมิติที่ 3 มีความกว้าง ยาว ลึก แต่ไม่สามารถควบคุม"เวลา"ได้ พวกเราอยู่ในมิติสูงกว่าพวกท่านหลายมิติ เราอยู่สูงกว่ามิติ"ผี" แต่เราก็ยังไม่ใช่พวกเทพ หรือพรหม อย่างที่พวกท่านเชื่อว่ามี เราเป็น"มนุษย์"อีกชนิดหนึ่ง ที่อยู่ยังดาวดวงอื่น มีความเจริญทางวิทยาศาสตร์ และศีลธรรมสูงกว่าพวกท่านมาก ความโกรธ โลภ หลง ในพวกเรา แทบไม่มีเหลืออยู่เลย เรามีจิตวิญญาณที่เป็นอมตะแบบพวกท่าน แต่เราก็มี"ร่าง" ที่ไม่คล้ายกับพวกท่านนัก และมี"ยานบิน" ที่ทำให้เราเดินทางไปยังดาวต่างๆได้อย่างรวดเร็วกว่าแสง พวกเราเป็นสมาชิกของสมาคมระหว่างดวงดาว ซึ่งมนุษย์ยังไม่ได้เป็น แต่คาดว่า มนุษย์คงสามารถพัฒนาตัวเองให้เข้าเป็นสมาชิกได้ในศตวรรษที่ 21 นี้ หากมนุษย์สามารถลดกิเลส โกรธ โลภ หลง ลงได้ เทวดาและพรหมนั้นมีจริง เราสามารถติดต่อได้ทางจิต แต่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกัน พวกเขามักเรียกพวกเราว่า"มนุษย์พิเศษ" ส่วนผีนั้น ไม่มีร่างถาวร มีแต่จิต และส่วนมาก ไม่สามารถออกไปจากโลกนี้ได้เกิน 50 กม. เพราะมีสิ่งที่บังคับควบคุมไว้ แต่"มนุษย์ต่างดาว"ไม่มีข้อจำกัดนี้......

8.ถาม-มนุษย์ต่างดาว จะมายังโลกนี้ ต้องได้รับอนุญาตจากใครก่อนหรือเปล่า?

ตอบ- มนุษย์พิเศษจากดาวอื่นๆ จะมายังโลกนี้ ต้องขออนุญาตจากสมาคมระหว่างดวงดาวก่อนเสมอ หรือถูกส่งให้มาช่วยเหลือในบางเรื่อง แต่เมื่อมาถึงโลกนี้ ก็ยังต้องรายงานกับ"ผู้ตรวจโลก" ซึ่งมีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยอยู่ มนุษย์ต่างดาวที่แอบมาก็มีเหมือนกัน คือ มาโดยไม่ขออนุญาตก่อน ส่วนมากพวกนี้เป็นพวก"ไม่ดี" ซึ่งมีอยู่เหมือนกัน แต่เป็นจำนวนน้อย ปีที่แล้ว มีพวกกลุ่มไม่ดี ได้แอบเข้ามาในโลกของท่าน ด้วยยานอวกาศลำใหญ่ขณะมิติเปิด ขณะนี้สำหรับประเทศไทย กลุ่มไม่ดีลอยอยู่ในบริเวณเขาผีปันน้ำ ในภาคเหนือของประเทศท่าน หากพบยานบินสีดำ อย่าไปยุ่งเกี่ยวด้วย อันตรายมาก......


9.ถาม-มนุษย์ต่างดาวเช่นพวกท่าน หน้าตาคล้ายพวกเราไหม? หายใจด้วยออกซิเจนหรือไม่? กินอาหารและขับถ่ายอย่างไร?

ตอบ-ผู้ที่มาจากดาวดวงอื่น ที่มีหน้าตาคล้ายมนุษย์มากที่สุด คือ พวกที่มาจากกลุ่มดาวลูกไก่ และดาวพระศุกร์ เราจากดาวอังคาร(ท่านพาราซิทัล) หน้าตาไม่เหมือนพวกท่าน ตาจะใหญ่ดำ คางแหลม แบบในรูปที่ท่านวาดไว้ สูงกว่ามนุษย์ มือมี 3 นิ้ว และไม่มีอวัยวะเพศทั้งชายและหญิง แต่รู้ว่าใครเป็นเพศชาย เพศหญิง มนุษย์ต่างดาวเพศชาย มักตัวโตกว่าผู้หญิง เราไม่หายใจด้วยออกซิเจน แต่หายใจด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ได้รับการปรับปรุงแล้ว เรามีปากเล็กๆ จมูกเล็กๆ ไม่กินอาหารเหมือนพวกท่าน เรากินพลังงานชนิดหนึ่ง กินหนึ่งครั้งอยู่ได้หลายเดือน เราไม่มีกระเพาะอาหาร ลำไส้ ทวารหนัก ฉะนั้นพวกเราไม่ต้องขับถ่ายทั้งหนักและเบาระหว่างเดินทางในอวกาศ ความแตกต่างเหล่านี้ เป็นของธรรมดา "ท่านเอ็ดดี้" ก็หน้าตาเป็นสี่เหลี่ยม ตากลมใหญ่ แปลกไปจากเราอีก แต่เขาใจดีมากนะ หน้าตาแตกต่างกัน ไม่ได้หมายความว่าคุยกันไม่ได้.....


10.ถาม- ผมอยากถามว่า มาตรฐานของดาวอังคาร ดูเพศชายว่าหล่อ หรือเพศหญิงว่าสวย เหมือนมนุษย์ดูหน้าตาและรูปร่างหรือเปล่า?

ตอบ- ไม่ใช่เลย ความหล่อและความสวย ไม่มีความสำคัญในโลกของเราเลย เราดูความ"งาม"ของเพศตรงข้าม คือ 1)ดูว่ารัศมีออร่า ที่ออกมารอบตัวและศีรษะของเขา เป็นสีที่บริสุทธิ์ เช่น สีขาวมากน้อยแค่ไหน? 2)ดูที่ความคิดอ่านของเขา เวลาเขาคิด ก็ออกมาเป็นคลื่นไฟฟ้า ให้พิจารณาได้แล้วว่า คิดดี คิดบริสุทธิ์หรือไม่? ถ้าคิดดี คิดถูกต้อง วาจาและการกระทำที่ตามมาก็จะดีตาม พวกเราถือสัจจะสำคัญกว่าชีวิต ไม่มีการพูดปดกันหน้าตาเฉย อย่างในโลกมนุษย์เลย เพราะหากพูดปด อีกฝ่ายก็ทราบทันที และตัวเองก็ไม่กล้าทำเช่นนั้นเลย.......

11.ถาม-พวกมนุษย์สงสัยว่า ถ้าท่านไม่มีอวัยวะสืบพันธุ์ ท่านมีลูกกันได้อย่างไร? แต่งงานกันหรือไม่?

ตอบ- พวกเราเคยมีอวัยวะสืบพันธุ์ ตั้งนมนานมาแล้ว แต่หลังจากมีการพัฒนาทางด้านโคลนนิ่งมากเข้า เพศหญิงไม่ต้องอุ้มท้อง 9 เดือน แบบผู้หญิงของท่าน เพราะไม่ยุติธรรมต่อเพศหญิง เมื่อพัฒนาโน่นนี่กันมากขึ้น อวัยวะเพศก็หย่อนความสำคัญลงไป ไม่ค่อยได้ใช้กันบ่อย ขณะนี้ถ้าเราชอบพอกัน อยากไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เราก็มีพิธีแต่งงานง่ายๆ มีคล้ายพระ ทำพิธีให้ และไปอยู่ด้วยกัน มีบ้านที่รัฐบาลสร้างไว้ให้แล้ว เมื่ออยากมีลูกกัน ทั้ง 2 คนก็ยืนจ้องตากัน เอา 2 มือแตะกัน "ปิ๊ง"เดียว ลูกตัวเล็กๆก็ลอยลงมาในแคปซูลน้อยๆ และก็เลี้ยงให้โตขึ้นมา ต้องไปเข้าโรงเรียนด้วย คล้ายของมนุษย์ ทุกครอบครัวถูกกำหนดว่า มีลูกได้ไม่เกิน 2 คน หากมีเกิน 2 คน จะถูกลงโทษ คือ ตายไปแล้ว ไม่ได้เกิดอีกเลย ซึ่งทุกคนกลัวมาก บางดาวแค่จ้องตากัน ก็มีลูกได้แล้ว แปลกไหม? ต่อไปโลกของท่าน อาจเป็นแบบของเราก็ได้........


12.ถาม-โลกดาวอังคารของท่าน ทำไมสหรัฐอเมริกา ส่งจรวดไปแล้ว ไม่เจอผู้คนเลย และท่านมีระบบการปกครองอย่างไร?

ตอบ-โลก ของเรา เคยมีบรรยากาศ มีน้ำ เช่นโลกของท่าน แต่พวกเรากันเอง ก็ทำลายสิ่งแวดล้อมจนหมดสิ้น และทำสงครามกันด้วย คนต้องหนีลงไปอยู่ใต้ดินสำหรับผู้ที่รอดตาย เราอยู่ลึกลงไปหลายกิโลเมตร เรายังใช้ระบบบการปกครอง ที่มีหัวหน้า คล้ายพระเจ้าแผ่นดิน ทุกคนก่อนเกิด ถูกกำหนดไว้แล้วว่า ต้องเกิดมาเป็นเพศอะไร? และโตขึ้นทำอาชีพอะไร? เช่น เราถูกกำหนดให้เกิดเป็นทหาร จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ โลกของท่านดีกว่า ที่เกิดแล้วเลือกเรียนอะไรก็ได้ตามใจชอบ จะเป็นคนดีหรือคนชั่ว ก็ขึ้นอยู่กับตัวเอง โลกของเราต้องเป็นคนดีเท่านั้น เป็นคนเลวไม่ได้ คนเลวจะถูกกำจัดออกไปทันที และไม่ได้เกิดอีกเลย......

13.ถาม-โลกของท่านมีนรกและสวรรค์ไหม? และการกลับชาติมาเกิดมีจริงหรือไม่?

ตอบ-ใน ระบบสุริยะของพวกเรา ในทางช้างเผือก มนุษย์เป็นดาวนพเคราะห์ดวงเดียว ที่มีทั้งนรกและสวรรค์ ดาวนพเคราะห์อื่นๆไม่มี เพราะเขาทำดีกันหมด ไม่มีคนทำชั่ว ที่ต้องถูกไปลงโทษในนรก แต่โลกของท่าน ก็มีดี ที่ตายไปแล้วได้เกิดอีก ขึ้นอยู่กับการกระทำของท่าน ถ้าท่านทำดี ชาติต่อไป ก็ดีขึ้นกว่าเดิมม หากทำชั่ว ก็ตกนรก หรือเกิดเป็นสัตว์ หรือมนุษย์ที่แย่กว่าเดิม การกลับชาติมาเกิด มีจริง ส่วนมากจะเวียนว่ายตายเกิดในโลกของตัวเอง บางคนอาจจะเกิดข้ามดาว แต่มีน้อยมาก ที่จะทำได้เช่นนั้น ต้องพิเศษจริงๆ.....


14.ถาม-ผมมีรูปถ่าย จากแฟ้มลับของเคจีบี ที่เพิ่งเปิดเผย อ้างว่าเป็นภาพจานบินตกในรัสเซีย ราว 40 ปีมาแล้ว และมีมนุษย์ตัวเล็กๆสีเขียวตายอยู่ในนั้น และเขานำมาผ่าศพดู ท่านดูแล้วคิดว่าภาพเหล่านี้เป็นของจริงหรือภาพหลอกลวง?

ตอบ-จานบินตกทั่วโลก มาแยะแล้ว ในรัสเซีย ในจีนก็ตกหลายครั้ง ในประเทศไทยของท่าน ก็ตกที่ อ.สันกำแพง จ.เชีงใหม่ ในปี ค.ศ.1958 ท่านเอ็ดดี้รู้ดี เพราะรอดมาได้ รูปที่รัสเซียเปิดเผยนั้น เป็นรูปจริง มนุษย์ต่างดาวตัวเล็กๆเขียวๆ มี 4 นิ้ว ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าเขามาจากดาวดวงอื่น จะให้รูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ คงเป็นไปไม่ได้ น่าสงสารเขานะ.....

15.ถาม-เพื่อนของ ผม ถ่ายภาพมนุษย์มีแสงออกมาจากตัว ที่ อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี เมื่อเดือนมีนาคม 2542 เวลากลางคืน ท่านบอกได้ไหมว่า เขาเป็นชาวบ้านหรือมนุษย์ต่างดาว หากเป็นมนุษย์ต่างดาว เขามาทำไมในป่าทึบ?

ตอบ- ผู้ที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ แต่มีแสงออกมาจากตัว ไม่ใช่มนุษย์แน่นอน จ.กาญจนบุรี เป็นพื้นที่ที่มิติเปิด คล้ายสามเหลี่ยมเบอมิวดา และบรรดายานอวกาศต่างๆ สามารถผ่านเข้า-ออกได้ง่าย นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งสำคัญแห่งหนึ่งของโลก ที่มีแร่ธาตุหายาก ที่ใช้ในการเดินทางในอวกาศ เราเคยบอกท่านแล้ว เกี่ยวกับแร่ธาตุชนิดนี้ ว่าคล้ายแร่ธาตุที่ท่านเรียกว่า"เหล็กไหล"ไงล่ะ เราจะไม่บอกว่า เขามาจากที่ไหน บอกแต่เพียงว่า เขาไม่ใช่มนุษย์และไม่ใช่ผี!!!......


16.ถาม-เมื่อ 6 สิงหาคม 2542ผมได้รับเชิญจากองค์การนาซ่าและInternational Space University ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมาจัดประชุมอยู่เงียบๆอยู่ที่มหาวิทยาลัยสุรนารี ให้ไปพูดถึงเรื่อง"การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับยูเอฟโอ และผู้ขับขี่ยานบินในประเทศไทย พ.ศ.2540-2542" และได้รับคำชมเชยจากฝรั่งนักวิชาการ 300 กว่าคนว่า ทำวิจัยได้ดีมาก ท่านคิดอย่างไรกับเรื่องที่นาซ่าคิดจะไปยึดดาวอังคารทำเหมืองแร่ และส่งคนไปอยู่ 50,000 คน ใน 20 ปีข้างหน้านี้ และทำไมจานบินของท่านมาแล้ว ไม่ยอมบินลงมาต่ำตามที่ขอร้องให้ฝรั่งเห็นทั่วกัน?

ตอบ-เราไปฟังอยู่ตลอด เวลา และไม่พอใจอย่างมาก ที่เขาคิดจะไปยึดดินแดนที่มีเจ้าของแล้ว เช่นที่เคยทำมาในโลกนี้ในอดีต ขอบอกสั้นๆว่า หากรบกัน ก็ไม่มีทางสู้พวกเราได้ ขอให้บอกแก่พวกเขา 3 ข้อ คือ

1)จานบินและมนุษย์ต่างดาวนั้น มีจริง และได้มาเยือนโลกนี้ เป็นเวลานานหลายพันปีแล้ว มนุษย์เปรียบเสมือนลูกหลานของเรา

2)มนุษย์ต่างดาว ไม่ต้องการมายึดครองโลกนี้ ในทำนองเดียวกัน มนุษย์ก็ไม่ควรคิด จะไปยึดครองดวงดาวของเรา เพราะมีเจ้าของแล้ว และไม่มีทางสู้เราได้

3)ขอให้มนุษย์ใช้สติ ปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาโลกนี้ดีกว่า รวมทั้งเตรียมรับภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งใหญ่หลวงที่จะเกิดขึ้นในโลกนี้ใน ปีหน้า(ค.ศ.2000 หรือ พศ.2543)

ยานอวกาศของเรา ได้บินไปให้ท่านและบางคนเห็นแล้ว เราไม่บินลงต่ำ เพราะคิดว่าจะไม่มีประโยชน์อะไรกับพวกที่คิดจะไปยึดดาวของเรา.....


17.ถาม- เมื่อ 19 มีนาคม 2539 มีผู้ถ่ายภาพประหลาดได้ ที่พระเมรุพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี แสงนั้นเป็นแสงอะไร?(จะนำลงภาพปาฏิหาริย์ในเว็บฯนี้ต่อไป-Webmaster)

ตอบ-ขอตอบสั้นๆว่า กลุ่มเทพชั้นสูงมาแสดงคารวะต่อพระบรมศพ ไม่ใช่จานบินมาอย่างที่เข้าใจกัน.....

18.ถาม-ผมได้รับเชิญให้ไปพูด ในสัปดาห์วิทยาศาสตร์ของ ม.สงขลานครินทร์ เมื่อ 19 สิงหาคม 2542 ซึ่งท่านได้สั่งให้ผมไปพูดเตือนชาวใต้เกี่ยวกับปี 2000 แต่ทำไม"จานบิน" ไปปรากฏที่อ่างเก็บน้ำของ ม.สงขลาฯ ทุกคืน เป็นเวลาถึง 10 วัน ก่อนผมไปถึง ผมไม่ได้ร้องขอมากเพียงนั้น........


ตอบ-เรา เป็นห่วงชาวใต้ของท่านมาก เกี่ยวกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ จึงไปหลายครั้ง ในปีหน้า เราจะพยายามช่วยให้หนักกลายเป็นเบา ได้ขอให้ท่านพูด อย่าให้เขาตกใจกลัว จนขาดสติ ที่บอกเขาว่า ให้ช่วยเหลือกัน มีความเมตตากรุณาต่อกันมากขึ้นนั้น ดีแล้ว ให้หมั่นสดับรับฟังข่าวสารต่างๆอยู่เสมอ รู้จักที่ๆปลอดภัย หากเกิดภัยพิบัติ อย่าประมาท เราหวังว่า ทุกท่านจะปลอดภัยในปีหน้า 2543 ส่วนคืนวีนที่ 19 สิงหาคม 2542 อากาศไม่ดี เราบินกันมา 3 ลำ ในระยะสูง แต่ให้ท่านถ่ายภาพได้ชัดๆ ตั้งแต่หัวค่ำแล้วไม่ใช่หรือ? ที่ดูคล้ายดวงอาทิตย์นั่นแหละ......

สรุปว่า ตั้งแต่ต้นปี จนถึงเดือนกันยายน 2542 ขณะเขียนต้นฉบับอยู่นี้ ผู้เขียนได้ติดต่อกับท่านพาราซิทัล และท่านเอ็ดดี้เป็นประจำ เดือนละ 1-2 ครั้ง เป็นอย่างน้อย ซึ่งครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2542 ยูเอฟโอ ได้มาปรากฏให้เห็น เวลา 20.15 น.ที่เหนือบ้านผู้เขียนใน กทม. มีผู้พบเห็น และถ่ายภาพได้จำนวนมาก ซึ่งจากการสื่อด้วยโทรจิต พวกเขาบอกว่า บินผ่านทางจึงแวะลงมาเยี่ยมเยียน......สิ่งที่นำมาเล่าให้ฟัง เป็นสิ่งที่ได้รับสื่อทางจิต จากผู้ที่อ้างว่าเขามากับยานบิน และยังมีรายละเอียดอีกมากมาย ที่ผู้เขียนได้จดบันทึกไว้

อย่างที่บอกกับท่านผู้อ่านไว้แล้วว่า สิ่งที่เล่ามาให้ฟัง ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เพราะไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยัน เหมือนกับการถ่ายภาพยานบินได้ ก็ได้แต่บันทึกไว้ และรอเปรียบเทียบกับความจริงต่างๆ ที่จะค่อยเผยออกมาทีละน้อยๆ ในอนาคตอันใกล้นี้ "ความจริงเท่านั้น ที่จะช่วยให้มนุษย์เราหลุดพ้นจากความโง่เขลาทั้งปวง"......

GLIESE 581 / OUR NEXT PLANET


นักดารา ศาสตร์ประกาศว่าค้นพบดาวเคราะห์ดวงใหม่ที่อาจมีลักษณะคล้ายโลกมากที่ สุดเท่าที่เคยเจอมา โดยมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต
เหล่านักดาราศาสตร์ แถลงข่าวที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในเมืองซานตาครูส เมื่อ 30 ก.ย. 2010 ว่า ดาวดวงนี้มีที่ตั้งอยู่ใจกลางเขตที่เรียกกันว่าเขตมีชีวิตหรือ โกลดิล็อคโซน ซึ่งไม่เหมือนกับดาวเคราะห์อีกเกือบ 500 ดวงที่นักดาราศาสตร์ค้นพบนอกระบบสุริยะจักรวาลของโลก
ดาวเคราะห์ดวงนี้ อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากดาวฤกษ์ ซึ่งเป็นดาวแม่ของมัน และอาจจะมีน้ำในสถานะที่เป็นของเหลวด้วย นอกจากนั้น ตัวดาวเองก็ไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไป ซึ่งจะมีผลต่อเรื่องของพื้นผิว แรงโน้มถ่วง และชั้นบรรยากาศของดาว

นายอาร์. พอล บัตเลอร์ จากสถานบันคาร์เนอกี้ กรุงวอชิงตัน หนึ่งในผู้ร่วมค้นพบดาวดวงนี้บอกว่า ก่อนหน้านี้เราพบดาวเคราะห์มากมาย แต่ส่วนมากถ้าไม่อยู่ในเขตที่หนาวเกินไป ก็อยู่ในเขตที่ร้อนเกินไปเมื่อวัดระยะห่างจากดาวแม่ แต่ในที่สุดเราก็เจอดาวที่อยู่ในระดับกึ่งกลางพอดี แต่ก็ยังคงมีคำถามมากมายเกี่ยวกับดาวประหลาดดวงนี้ ที่มีมวลมากกว่าโลกราว 3 เท่า มันมีความกว้างกว่าโลกเล็กน้อย แต่อยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์ของมันมากกว่าโลก โดยมันอยู่ใกล้เพียง 22.5 ล้านกิโลเมตร ขณะที่โลกอยู่ห่างถึง 150 ล้านกิโลเมตร ทำให้มันโคจรรอบดาวแม่ในเวลาแค่ 37 วัน นอกจากนั้นมันก็ไม่ค่อยหมุนรอบตัวเองมากนัก เพราะด้านหนึ่งมักจะสว่างอยู่เสมอ สำหรับอุณหภูมิพื้นผิวก็อาจจะสูงถึง 71 องศาเซลเซียส หรือเย็นถึงลบ 4 องศาเซลเซียส แต่บริเวณระหว่างกึ่งกลางของทั้งสองโซน อาจจะมีสภาพอากาศสบายๆ ได้

ดาวดวงนี้โคจรรอบดาวแม่ที่ชื่อ กลีซ 581 จึงมีชื่อว่า กลิซ 581 จี มันอยู่ห่างจากโลกเราถึง 195 ล้านล้านกิโลเมตร (ประมาณ 20 ปีแสง) ซึ่งแม้จะดูเหมือนว่าไกล แต่หากเทียบกับขนาดของจักรวาล ก็ถือได้ว่ามันอยู่ใกล้โลกมาก

วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ระบบ / มุนษย์โปรแกรมเดี่ยว

ใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยอัตตา ยึดมั่นถือมั่น ปรุงแต่งไปทุกอย่าง ขาดการดํารงชีวิตและแนวความคิคแบบธรรมชาติ(ธรรมมะ) ขยันสร้างมาตรฐาน(อันไม่มีตัวตน)ตั้งตัวเองเป็นผู้พิพากษาโลก (ไอ้โน่นดี ไอ้นี่เลว คนนั้นแย่ ฉันประเสริฐกว่าคนอื่น แบบโน้นดีกว่าแบบนี้ เป็นต้น)

ระบบ/มุนษย์โปรแกรมคู่

มีสภาวะทางจิตที่เปิดกว้าง เข้าใจหลักของธรรมชาติ การเกิดและดับ จักมีการพัฒนาทางจิตและยกระดับจิตได้ และมีโอกาศจากการหลุดพ้นและออกจากวัฏจักรของวัฎฏะสงสารได้ ไม่ส่งจิตออกนอก เมื่อถึงวาระสามารถมีชีวิตที่เบาบางจากทุกข์ หรือปราศจากทุกข์ได้

วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ระบบ/ทำไมมนุษย์ต่างดาว จึงกล่าวว่า...ความลับไม่มีในโลก

เมื่อ มนุษย์คิดสิ่งใด...ทำไมมนุษย์ต่างดาวจึงรู้ว่ามนุษย์โลกคนนั้น กำลังคิดอะไร กำลังจะทำอะไร ทั้ง ๆ ที่บุคคลนั้น ยังไม่ทันได้พูดด้วยซ้ำ

นั่นเป็นเพราะว่ามนุษย์ต่างดาว อ่านจากคลื่นความคิดของบุคคลนั้น ๆ นั่นเอง

เพราะความคิด ที่มนุษย์คิดว่า...เป็นความลับของเขานั้น... แท้จริงแล้ว มันไม่ได้เป็นความลับอย่างที่เข้าใจ

มาลองฟังข้อความจากมนุษย์ต่างดาวที่ได้เคยบอกไว้หลายปีแล้วนั้น กันอีกครั้ง

"ความลับไม่มีในโลก"

นี่คือข้อความจากมนุษย์ต่างดาว

ซึ่งในตอนนั้นเราก็ยังงง ๆ ว่า ทำไม ? ความลับจึงไม่มีในโลก

ระบบได้อธิบายให้ฟังว่า

มนุษย์ เราเมื่อคิดอะไร จะเป็นคลื่นความคิดกระจายออกไปจากหัวของเรา มันเป็นคลื่น เป็นวิทยาศาสตร์ เพียงแต่ว่ามนุษย์ยังไม่สามารถคิดค้นเครื่องแปลคลื่นเหล่านั้น ออกมาเป็นข้อความได้ จึงไม่อาจทราบได้ว่าบุคคลนั้นกำลังคิดสิ่งใด

เหมือน เมื่อก่อนนั้น แสงที่ออกมาจากร่างกายของเรา ที่เรียกว่าแสงออร่า ซึ่งมีหลายสี แต่ละสีก็หมายถึงสภาวะจิตในตอนนั้น ภาวะสงบ หรือภาวะฟุ้งซ่าน หรือปฏิบัติธรรมมามาก ก็จะมีสีสันแตกต่างกันออกไป

ในตอนนั้น เมื่อวิทยาศาสตร์ยังไม่เจริญ ยังไปไม่ถึง ก็เลยเห็นได้เฉพาะคนที่ฝึกสมาธิ ฝึกจิตอย่างเชี่ยวชาญ มีความละเอียดของสภาวะจิต ก็จะสามารถมองเห็นแสงออร่าของบุคคลอื่นได้ และสามารถรู้เห็น หรือทายทักสภาวะอารมณ์ในขณะนั้นได้

แต่ตอนนี้ วิทยาศาสตร์เจริญมากขึ้น สามารถคิดค้นเครื่องถ่ายแสงออร่าออกมาได้แล้ว ซึ่งก็จะเห็นแสงออร่าที่แตกต่างตามสภาวะจิตของบุคคลนั้น ในขณะนั้น

แสงออร่า ....จึงกลายเป็นเรื่องที่....ไม่ใช่สิ่งแปลกอีกต่อไป เมื่อวิทยาศาสตร์เจริญไปถึง

แสงออร่า ที่เคยเป็นความลับของบุคคลนั้น ก็ไม่เป็นความลับอีกต่อไป


สิ่งที่มนุษย์ต่างดาวบอกว่า ความคิดก็ไม่ใช่ความลับ .... เพราะความลับไม่มีในโลก

นั่น คือ เมื่อคิดสิ่งใด บุคคลอื่น ๆ ก็จะสามารถรู้ได้ แม้บุคคลนั้น จะเข้าใจว่าเราปกปิดเรื่องนั้นไว้ไม่บอกใครก็ตาม นั่นเป็นเพราะว่า...

ความ คิด...เป็นคลื่น เป็นคลื่นความคิด เป็นวิทยาศาสตร์ เมื่อคิดอะไร คลื่นความคิดก็จะแผ่กระจายออกมาจากสมองของเรา แม้จะคิดอยู่คนเดียว รู้อยู่คนเดียว เหมือนกับว่า .. นี่คือความลับที่อยู่ในหัวของเราคนเดียว แต่แท้จริงมิใช่เช่นนั้น เมื่อคิดสิ่งใด สิ่งนั้นได้ถูกส่งออกไปแล้วในทันที

ดังนั้น ผู้ที่มีจิตละเอียด ผู้ที่ปฏิบัติสมาธิ ผู้ที่เชี่ยวชาญในด้านจิต จึงสามารถเห็นคลื่นความคิดเหล่านั้น อ่านคลื่นความคิดเหล่านั้นได้ แปลข้อความออกมาได้ จึงรู้ว่า บุคคลนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ในขณะนั้น

จึงเหมือนเรื่องเหลือเชื่อ เรื่องมหัศจรรย์ที่คนอื่นนั้นรู้วาระจิตของเราได้ ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

แต่ ความจริง สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดา เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติ แต่วิทยาศาสตร์ยังไปไม่ถึงเท่านั้น จึงเหมือนเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ สำหรับมนุษย์โลก

แต่ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับมนุษย์ต่างดาว หรือสำหรับผู้ที่มีความเจริญทางจิต ที่มีคลื่นจิตละเอียดจะสามารถรับคลื่นความคิดจากบุคคลอื่นได้ ดังนั้น ผู้มีความเจริญทางจิต เขาจึงส่งความคิดถึงกันด้วยคลื่นความคิด โดยไม่ต้องใช้คำพูด หรือจะเรียกว่าสื่อสารทางจิต ส่งกระแสจิต ส่งโทรจิต หรือจะเรียกใด ๆ ก็ตาม ก็คือการติดต่อกันได้ โดยไม่เกี่ยวกับระยะทาง

เช่นเดียวกัน หากในอนาคตข้างหน้า วิทยาศาสตร์เจริญขึ้น มนุษย์ก็จะสามารถคิดค้นเครื่องแปลคลื่นความคิด ออกมาเป็นข้อความได้เช่นกัน

เมื่อนั้น ความคิดก็จะไม่เป็นความลับอีกต่อไป

ซึ่ง ตอนนี้ วิทยาศาสตร์ของเราแม้จะยังไม่เจริญไปถึงผลิตเครื่องมือแปลความคิดของคนอื่น ได้ก็ตาม แต่ก็กำลังพัฒนาเครื่องมืออยู่ในขณะนี้ คือสามารถผลิตเครื่องจับเท็จได้แล้ว คือรู้ความคิดของคนนั้นแล้ว ว่าพูดจริงหรือไม่จริง แม้จะยังไม่สามารถพัฒนาจนถึงแปลเป็นข้อความออกมา ได้ แต่ก็อาศัยรับรู้จากการเต้นของหัวใจ หรือการแสดงออกในความคิดรูปแบบอื่น ๆ ซึ่งมันฟ้องออกมาเป็นคลื่นความถี่ที่แตกต่างกัน

เพียงแต่ยังไม่เจริญไปจนถึง...ผลิตเครื่องแปลความคิดออกมาเป็นคำพูดได้เท่านั้น

แต่มนุษย์ต่างดาว เขาไปไกลกว่านั้น เขาจึงผลิตเครื่องมือแปลคลื่นความคิดได้...แล้วเอามาให้ใช้ในยามจำเป็น

นี่คืออุปกรณ์อีกชนิดหนึ่งของมนุษย์ต่างดาว ที่ผลิตมาให้ใช้ตามความจำเป็นของแต่ละงาน

จึงไม่ได้หมายความว่า ผู้ใช้อุปกรณ์เป็นผู้วิเศษ สามารถรับรู้ความคิดของคนอื่นได้ด้วยตนเอง

ซึ่ง ตอนนี้ อุปกรณ์แปลคลื่นความคิดของมนุษย์ต่างดาว ได้มีการติดตั้งให้กับกลุ่มประสานงานฯ บางท่านไปแล้ว เป็นอุปกรณ์แปลคลื่นความคิด เป็นเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถใช้งาน ได้จริง

ดัง นั้น จึงมีอาจารย์บางท่าน สามารถอ่านความคิดของคนอื่นได้ ซึ่งพอเห็นหน้าก็รู้ว่ากำลังคิดอะไร ตอบคำถามได้โดยคนนั้นยังไม่ทันได้ถามด้วยซ้ำ

แต่มิได้หมาย ความว่าจะไปรู้ความคิดของทุกคน เพราะเครื่องแปลคลื่นความคิด จะเปิดให้ใช้ในยามที่จำเป็นในงาน และเกี่ยวข้องกับบุคคลนั้น ๆ เท่านั้น เรียกว่าใช้เฉพาะกิจ กับเฉพาะคน และเฉพาะงาน

การใช้งานก็คือ อุปกรณ์ดังกล่าวจะรับคลื่นความคิดจากบุคคลอื่น ที่กำลังคิดในเรื่องใด ๆ แต่มิได้กล่าวออกมา คลื่นความคิดนั้น จะผ่านเข้ามาในอุปกรณ์ เมื่ออุปกรณ์แปลคลื่นเป็นข้อความแล้ว ผู้ใช้อุปกรณ์ก็จะเข้าใจในสิ่งที่บุคคลนั้นกำลังคิดอยู่ เหมือนรู้วาระจิตคนอื่น แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่ เพียงแต่ใช้อุปกรณ์เป็นตัวแปรคลื่นความคิดนั้น

แล้วอาจมีการตอบโต้กลับไป โดยระบบจะผ่านเป็นคำพูดของผู้ที่ติดตั้งอุปกรณ์ ไปยังบุคคลนั้น

ซึ่งบางครั้ง ผู้ที่พูดออกไป ก็อาจจะงง ๆ ว่าเรารู้ได้อย่างไร เราพูดออกไปยังงี้ได้ยังไง ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจจะพูดเลย

ก็อย่าตกใจ เป็นเพียงการทดสอบการใช้อุปกรณ์เครื่องรับคลื่นความคิด แปลเป็นคำพูด แล้วส่งผ่านออกไปเท่านั้น

ทั้งหลายทั้งมวลนี้ ไม่เกี่ยวกับเรา มันไม่ใช่เรา เป็นการทำงานของอุปกรณ์รับคลื่นความคิดแล้วแปลเป็นข้อมูลเท่านั้นเอง

ไม่มีเราเก่ง ไม่มีเรารู้ ไม่มีผู้วิเศษ ..... ต้องปล่อยวางอย่างเดียว

เพราะ ถ้าไม่ปล่อยวาง ความคิดของคุณเอง ของผู้ที่ใช้อุปกรณ์เองที่ยังยึดมั่นถือมั่น...ก็จะถูกส่งออกมาเป็นคลื่น ความคิด แล้ว...มนุษย์ต่างดาวผู้มีความเจริญทางจิต ซึ่งสามารถแปลคลื่นความคิดนั้นได้ ความคิดนั้น จึงไม่เป็นความลับอีกต่อไป

เมื่อคิดอะไรเขาจึงรู้ได้ทั้งหมด ว่ายังยึดมั่นถือมั่นกันอยู่หรือไม่.. หรือปล่อยวางกันได้มากน้อยแค่ไหนแล้ว...

เพราะ...ความลับไม่มีในโลก....นั่นเอง

กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)

วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ระบบ / แจ้งเพื่อทราบ

หลาย ๆ เรื่องราว หลาย ๆ ข้อความที่มนุษย์ต่างดาว
"แจ้งเพื่อทราบ" นั้น อาจเป็นเรื่องใหม่ ที่หลายท่านไม่เคยได้รับรู้มาก่อน จึงย่อมเป็นเรื่องที่เชื่อได้ยาก จึงต้องใช้ปัญญาพิจารณาอย่างยิ่งยวด

อย่าได้เชื่อด้วยศรัทธาในตัวบุคคล
แต่ให้ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง และปฏิบัติจนเห็นจริงก่อน จึงค่อยเชื่อ

เพราะมนุษย์ต่างดาว เน้นให้ใช้ปัญญา
ไม่ใช่ให้ศรัทธามนุษย์ต่างดาว


เพราะ หลายเรื่องราว ที่มนุษย์ต่างดาวมาบอกไว้นั้น มันเป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจได้ สามารถทำได้ เพราะไม่ได้ยากเกินไปหากเข้าใจได้ถูกตรง


แต่สิ่งที่ยาก ก็คือ..... ยากจะเชื่อได้
เพราะส่วนใหญ่จะมีความเข้าใจว่า......ผิดทาง....ไปเสียก่อนแล้ว

เนื่องจากรูปแบบ วิธีการฝึก การดำเนินกิจกรรม การทำงาน มันสวนทางกันกับสิ่งเคยเข้าใจ
จึงดูเหมือนมันไม่ใช่การปล่อยวาง

เพราะงานที่ถูกออกแบบไว้ คือต้องอยู่กับความวุ่นวายตลอดเวลา ไม่อาจหาเวลาหนีไปหาความเงียบสงบได้ในช่วงเกิดภัยพิบัติ

จึงต้องใช้การออกจากขันธ์ 5 ด้วยการพิจารณาเห็นตามความเป็นจริง

จึงจะอยู่กับขันธ์ 5 อย่างสงบได้ ท่ามกลางความวุ่นวายที่ต้องเผชิญ

รูปแบบจึงดูแตกต่างออกไปจนยากจะเชื่อได้ในบุคคลส่วนมาก


ดังนั้น ระบบจึงทำได้เพียง....แจ้งเพื่อทราบ.....เท่านั้น
ส่วนที่เหลือท่านต้องใช้ปัญญาของท่านพิจารณาไตร่ตรองด้วยตัวท่านเอง

เหมือนหนังสือมากมาย ที่วางขายอยู่ในร้านหนังสือ
แม้เขียนเรื่องเดียวกัน คนเขียนแต่ละท่าน ก็มีความคิด ความเข้าใจ มีการถ่ายทอดเรื่องราวที่แตกต่างกัน
ต่างคนต่างเขียน ต่างคนต่างมุมมอง ต่างคนต่างความเข้าใจ
เขียนแล้วก็ออกวางขายให้ผู้สนใจในเรื่องนั้น ๆ ได้ซื้อหาไปอ่านกัน

บางคนชอบเล่มนี้ บางคนชอบเล่มนั้น ต่างซื้อหากลับมาศึกษาข้อมูล

ท่านใดที่ซื้อหนังสือเล่มใด ๆ ไป ก็จะทราบได้ในข้อความจากหนังสือเล่มนั้น
ท่านใดที่ไม่ได้ซื้อหนังสือเล่มใด ๆ ไป ก็ไม่อาจทราบได้ในข้อความของหนังสือเล่มนั้น

ดังนั้น ทุกคนจึงรับรู้ในแต่ละเล่มที่ตนเองได้อ่าน
แม้ว่าจะรับทราบ รับรู้ข้อความมากมายในหนังสือเล่มนั้นที่ได้อ่านไป

ก็ไม่ได้หมายความว่า....ต้องเชื่อตามนั้น

ผู้อ่าน ต้องเป็นผู้ไตร่ตรองเอง ต้องใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองในข้อมูลเหล่านั้นเอง
เพื่อที่จะได้ไม่ไปกล่าวหาว่า เพราะหนังสือเล่มนี้ทีเดียว ทำให้เราหลงทาง ทำให้เราเสียเวลา

แล้วก็มุ่งหน้าที่จะหาเล่มใหม่ต่อไป แล้วก็เกิดมั่นใจในหนังสือเล่มนั้น ๆ อีกครั้ง
หากวันใด มีเล่มใหม่น่าเชื่อถือได้มากกว่าเข้ามา
เล่มที่เคยคิดว่าดีนั้น ก็จะผันแปรไป ตามเหตุปัจจัยที่เปลี่ยนแปลง

ซึ่งหนังสือแต่ละเล่ม จะเหมาะสมตามความเข้าใจของแต่ละคน
อาจไม่เหมาะสมสำหรับคนนี้
แต่ก็อาจจะดี และเหมาะสมกับบุคคลอื่นเช่นกัน

ดังนั้น เรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา การมาวางโครงการเพื่อช่วยเหลือภัยพิบัติบนโลกใบนี้
จึงเป็นเรื่องราว ที่มีเพียงเฉพาะบุคคลกลุ่มหนึ่งที่มีความเชื่อคล้ายกัน ที่ผ่านมาพบเจอ ได้อ่าน ได้รับทราบ
ซึ่งมีเพียงจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าเทียบกันคนมากมายบนโลกใบนี้

ซึ่งนั่นก็มิได้หมายความว่า ทุกคนที่มาพบเจอแล้ว จะมาเชื่อ มาเข้าใจได้ทุกคน


ดัง นั้น สมาชิกรุ่นใหม่ ๆ หลายท่าน ที่เพิ่งเข้ามาติดตามเรื่องราวของเขากะลา อย่าเชื่อโดยศรัทธาในตัวบุคคล ที่เป็นเพียงภาพมายา อย่าเชื่อโดยตาม ๆ เขามา อย่าเชื่อโดยเขากล่าวกันว่า อย่างนั้น อย่างนั้น

ควรนำแนว ทางการ ปฏิบัติ ที่มุ่งเน้นให้ปล่อยวาง ละการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 ไปพิจารณาเทียบเคียงกับธรรมะที่พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ ว่าแตกต่างกันหรือไม่? อย่างไร ?

และควรเชื่อได้มากน้อยแค่ไหน ?


นี่คือคำเตือน..... จากมนุษย์ต่างดาว

ที่ให้ใช้ปัญญา
อย่าใช้ศรัทธา หรือเชื่อจากคำบอกเล่าใด ๆ


กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)

วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

UFO จานบินที่สิงห์บุรี 2541

ระบบ /why us?

มนุษย์ต่างดาวเคยบอกไว้นานแล้วว่า มนุษย์โลกมักจะเชื่อถือชาติที่มีเทคโนโลยีสูง ชาติที่เจริญทางด้านวัตถุ ชาติมหาอำนาจ มากกว่าชาติเล็ก ๆ หรือประเทศเล็ก ๆ ที่มีเทคโนโลยีน้อยกว่า

ดังนั้น หากข่าวสารใดที่ออกมาจากประเทศมหาอำนาจที่มีเทคโนโลยี ประเทศที่เจริญด้านวัตถุ เช่นอเมริกา อังกฤษ หรือประเทศอื่น ๆ แถบยุโรปเป็นต้น ข่าวสารนั้นจะเป็นที่น่าเชื่อถือ เป็นที่น่าสนใจ และทั่วโลกก็พลอยรับรู้ ทั้งให้น้ำหนักกับข่าวสารนั้น ๆ มากเป็นพิเศษ

บุคคลต่าง ๆ ที่อยู่ในประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ก็ย่อมให้ความสนใจในข้อมูลนั้น ๆ ตามข่าวสารที่ได้รับ และให้ความเชื่อถือตามไปด้วย

ซึ่ง ก็เป็นจริงเช่นนี้ แม้แต่เรื่องของจานบิน ufo หรือมนุษย์ต่างดาว ที่เป็นข่าวแพร่กระจายก็มาจากประเทศที่เจริญทางเทคโนโลยี ที่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารเหล่านี้ออกไปทั่วโลก และประเทศต่าง ๆ ก็เริ่มให้ความสนใจ และเมื่อมีการพบเจอ วัตถุลึกลับมากขึ้นหลังจากนั้น ก็จะเรียกว่าจานบิน ตามที่ผู้พบและตั้งชื่อไว้

เพราะผู้พบคนแรกและ ตั้งชื่อวัตถุลึกลับนั้นว่า จานบิน ก็คือ เคนเนธ อาร์โนลด์ เป็นนักธุรกิจและนักบินชาวอเมริกัน เห็นวัตถุลึกลับ จำนวน 9 ลำ มีลักษณะเหมือนกับจานสองใบประกบกัน อาร์โนลด์จึงเรียกมันว่าจานบิน

ดัง นั้น แม้แต่ในประเทศอเมริกาเอง ก็ยังมีทั้งผู้ที่เชื่อเรื่อง ufo และผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องของ ufo และมีทั้งผู้ที่ต้องการปกปิดเรื่องราวของ ufo จนได้มีการเรียกร้องให้เปิดเผยข้อเท็จจริงกันอย่างต่อเนื่องในหลายประเทศ ช่วงนี้

เรื่องของ มนุษย์ต่างดาวในประเทศไทย เป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อได้ ถึงแม้จะได้เห็น จะได้พบ จะได้สัมผัสกับเทคโนโลยีของเขาเองก็ตาม แต่ก็ยากที่คนทั่วไปจะเชื่อ

ดัง นั้น ผู้ทำงานกับมนุษย์ต่างดาว .... อย่าได้ไปกังวล อย่าได้ไปทุกข์ร้อนกับความไม่เชื่อของใคร ๆ หรืออย่าได้ไปท้อใจว่า...ทำไม...จึงมีคนเชื่อเรื่องนี้น้อยนัก

นั่น เพราะ...หน้าที่การให้ความช่วยเหลือ ไม่ใช่หน้าที่ของเรา เป็นหน้าที่ของมนุษย์ต่างดาว เขาต้องมีการเตรียมการหลายอย่างเพื่อให้การช่วยเหลือได้ทันเวลา

และถึงแม้ใครจะเชื่อ หรือจะไม่เชื่อ มนุษย์ต่างดาวก็ยังคงเตรียมการเพื่อให้ความช่วยเหลืออยู่ดี

อยู่ที่ว่า มนุษย์โลก...จะเชื่อได้มากน้อยแค่ไหนเท่านั้น

เพราะ ความช่วยเหลือ....เทคโนโลยีที่มนุษย์ต่างดาวได้เตรียมไว้เพื่อช่วยเหลือ มนุษย์นั้น เป็นเทคโนโลยีที่ไฮเทคเกินกว่าที่มนุษย์จะคาดเดา เกินกว่า ที่มนุษย์โลกจะเชื่อได้ หรือเข้าใจได้....นั่นเอง

เพราะสิ่งที่มนุษย์ต่างดาวบอกไว้นั้น มันเป็น .... เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย ที่เกินกว่ามนุษย์จะจินตนาการจริง ๆ


และ ตอนนี้ มีข่าวจาก....ประเทศที่เจริญทางเทคโนโลยีอีกนั่นแหละ ที่พบว่า มียานอวกาศยักษ์มุ่งหน้ามาทางโลก ... นอกวงโคจรดาวพลูโต


หมายเหตุ...(มนุษย์ต่างดาวที่มาติดต่อกับกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) มี 2 ดวงดาว คือ
ดาวโลกุกะตาปากะดิกอง(อยู่คนละจักรวาล)
และดาวพลูโต (ในจักรวาลเดียวกัน)



กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) Team.

ระบบ

ในการประมวลพลังเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมานั้น

เป็นการเรียนรู้เพื่อการฝึกเรื่องขันธ์ห้า กับอุปกรณ์เทคโนโลยีจากต่างดาว

โดยเป็นการฝึกแยกขันธ์ห้า ฝึกแยกอุปกรณ์ออกจากขันธ์ห้า ฝึกการใช้อุปกรณ์โดยไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าอุปกรณ์นั้นเป็นของเรา เป็นตัวเรา

เพราะ อุปกรณ์ที่ต้องใช้ทำงานนั้น จะเป็นการทำงานอยู่ในขันธ์ห้าของแต่ละบุคคล ตามงาน รูปแบบของอุปกรณ์ก็จะเป็นคล้ายความรู้สึกเราเอง เช่นรู้อดีต รู้อนาคต เห็นภาพล่วงหน้า หรือมีความรู้สึกว่าจะเกิดเหตุการณ์ใด ๆ ขึ้น บางครั้งอาจเห็นเป็นภาพ เห็นแสง สี หรือเสียง หรือมีพลังในร่างกายที่ใช้รักษาผู้อื่นได้

หากไม่เข้าใจ ไม่แยกให้ออกว่า.....นี่เป็นอุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาวที่ให้มาเพื่อใช้ทำงาน ก็เสี่ยงต่อการไปยึดมั่นถือมั่นว่า ความพิเศษที่รับรู้ได้นั้น เป็นตัวเราของเรา

จึงต้องมีการประมวลพลังเพื่อสัมผัสคลื่นจากต่างดาว เพื่อฝึกแยกข้อมูล ที่ส่งลงมาที่ขันธ์ 5 ของแต่ละท่านในครั้งนั้น

หลังจากนั้น ผู้ที่ผ่านการประมวลพลังแล้ว ก็จะเริ่มเชี่ยวชาญในการแยกคลื่นจากต่างดาวได้มากขึ้น

แต่ ให้สังเกตุว่า ในช่วงการฝึกแยกข้อมูลนั้น ระบบไม่ได้ให้รู้ ให้เห็นนานล่วงหน้าเป็นเดือน เป็นปี อย่างเช่นบุคคลอื่น ๆ แต่จะส่งข้อมูลล่วงหน้ามาไม่นานก่อนเกิดเหตุการณ์นั้น ๆ

คือได้รับทราบล่วงหน้า มีการเตรียมการณ์...ก่อนเหตุการณ์นั้นก็จะเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

นั่น เป็นเพราะว่า ระบบไม่เคยบอกอะไรล่วงหน้านาน ๆ เพราะมันจะทำให้ผู้ที่ทำงานกับระบบไม่อยู่กับปัจจุบัน เพราะมนุษย์ชอบจะคิดวิตกกังวลไปในอนาคต ชอบจินตนาการล่วงหน้า และทุกข์ล่วงหน้า ถ้ารู้ ถ้าเห็นเหตุการณ์ในอนาคต

ดังนั้น การให้ทดลองรับข้อมูล แล้วเกิดเลยในระยะใกล้ ก็เป็นการฝึกให้รู้ว่า ไม่ต้องกังวล ระบบจะมีการแจ้งก่อน มีเวลาให้เตรียมตัวเสมอ

ดัง นั้น ในช่วงเวลานั้น ผู้รับคลื่นหลายท่านที่เริ่มมีตัวอย่างการรับข้อมูล ก็กำลังอยู่ในช่วงฝึกแยกข้อมูลทั้งสิ้น เป็นการทดสอบ ทดลองฝึกหัดแยกขันธ์ห้า แยกอุปกรณ์ และฝึกหัดใช้อุปกรณ์เหล่านั้นเพื่อให้เกิดความชำนาญ จะได้ไม่ไปยึดมั่นถือมั่นว่าอุปกรณ์เหล่านั้น เป็นตัวเรา เป็นของเรา จะทำให้เกิดอัตตาตัวตนมากขึ้นไปอีก ว่าเรารู้ เราเห็น เราวิเศษ ซึ่งเป็นการสวนทางกับการปล่อยวาง

เมื่อมีการปล่อยวางในระดับที่เพียง พอกับการไม่ยึดมั่นถือมั่นในอุปกรณ์ของมนุษย์ ต่างดาวแล้ว การติดตั้งอุปกรณ์ไฮเทคอื่น ๆ ในล็อตใหญ่ก็จะตามมา ตามภาวะจิตที่ปล่อยวางได้มากเท่าไร อุปกรณ์ก็จะไฮเทคมากขึ้นเท่านั้น

การช่วยเหลือผู้อื่นก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง


กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) Team.

ระบบ / ที่มาKAOKALA 2 T6

ระบบ

และจากวันนี้น ถึงวันนี้ 2551-2553 เป็นเวลาเกือบ 2 ปีเต็ม ที่อาจารย์หลาย ๆ ท่าน ได้มีความแม่นยำในการรับข้อมูล แยกข้อมูลจากมนุษย์ต่างดาวที่ได้รับมา และสามารถใช้อุปกรณ์ไฮเทคจากต่างดาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

พร้อม ๆ กับมีการพัฒนาความสามารถในการเห็นความว่าง ว่างจากการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 ในอัตตาตัวตนได้มากขึ้น

ดังนั้นการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์โลกกับมนุษย์ต่างดาว จึงเป็นเรื่องที่ไม่ได้เพ้อฝัน ไม่ได้จินตนาการไปเอง

แต่ มีหลักฐาน มีพยานบุคคลมากมาย ว่าอุปกรณ์เทคโนโลยีจากต่างดาว มีประสิทธิภาพ สามารถทำงานได้จริง รู้เห็นได้จริง รักษาผู้ป่วยได้จริง ดังตัวอย่างผู้มาสัมผัส มารับรู้ และมารับการรักษาแล้วหายจากอาการป่วยต่าง ๆ มากมาย จากการจัดกิจกรรมในจังหวัดต่าง ๆ หลายครั้ง เพื่อทดสอบอุปกรณ์แพทย์แผนอนาคต ในการรักษาโรค สแกนกรรม ที่ผ่านมา

รวม ถึงเรื่องของประสบการณ์อื่น ๆ ที่สมาชิกได้พบเจออย่างต่อเนื่อง และได้นำมาเล่าไว้อย่างมากมายนั้น ไม่ว่าเรื่องของการเข้า - ออก มิติต่าง ๆ การย้ายมวลสาร การเตรียมการสร้างใยแก้วป้องกันรังสี หรือการมาทดลองด้านชีวภาพเพื่อการ เติบโตของพืชอย่างรวดเร็ว หรือแม้แต่การเพิ่มสารอาหารให้กับร่างกาย จนทำให้ไม่เกิดการหิวอาหารไว้ช่วงระยะเวลาหนึ่งได้นั้น ซึ่งมนุษย์ต่างดาวบอกว่า เทคโนโลยีเหล่านี้จะนำมาช่วยเหลือ และอุปกรณ์ไฮเทคอีกมากมายที่มนุษย์จะได้พบเจอในช่วงเกิดภัยพิบัติ

สิ่ง ที่มนุษย์ต่างดาวเคยกล่าวไว้ ว่าต้องให้ความช่วยเหลือมนุษย์โลกในปัจจัย 4 ด้วยอุปกรณ์เทคโนโลยีจากต่างดาวนั้น จึงเริ่มมองเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้นในขณะนี้.....


กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) Team.

ระบบ / ที่มา KAOKALA 2 T5

ระบบ

สิ่งสำคัญ...ที่ระบบมุ่งหมายให้ท่านรับทราบก็คือ

การ " แจ้งเพื่อทราบ " เรื่องของเครื่องมือของมนุษย์ต่างดาว เรื่องของอุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาว ที่ติดตั้งให้กับมนุษย์แล้วสามารถนำไปใช้งานได้จริง ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นี่คือ ระบบต้องการให้ทราบว่า เครื่องมือของมนุษย์ต่างดาวมีจริง อุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาวมีจริง เรื่องของมิติที่เตรียมการเพื่อช่วยเหลือในยามวิกฤตินั้นมีการเตรียมพร้อม อยู่จริง และสามารถใช้งานช่วยเหลือเมื่อเกิดภัยพิบัติได้จริง

ก็ เพื่อให้ผู้ที่ทำงานร่วมกับระบบ ผู้ที่สัมผัสกับอุปกรณ์นั้นอยู่ ผู้ที่ใช้งานอุปกรณ์นั้นอยู่ จะได้หายคลางแคลงใจ และมั่นใจในระบบว่า สิ่งที่ระบบกล่าวมาทั้งหมดนั้น .... เป็นเรื่องจริง .. และเราเป็นผู้หนึ่งที่สามารถใช้อุปกรณ์เหล่านี้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้ จริง

ระบบจึงมีการ " แจ้งเพื่อทราบ " ให้กับมนุษย์โลกได้รับรู้.... ในโครงการของ "มนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา" มาถึงบัดนี้.. เป็นระยะเวลาเกือบ 13 ปีแล้ว ( 2 ธันวาคม 2540 - ตุลาคม 2553 )

และจะยังคงดำเนินการ...แจ้งเพื่อทราบ...ข้อมูลจากมนุษย์ต่างดาวต่อไป...พร้อม ๆ กับภัยพิบัติที่ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นในขณะนี้


กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) Team.

ระบบ / ที่มา KAOKALA 2 T4

ระบบ

เรื่องราวของจานบิน เรื่องราวของมนุษย์ต่างดาว เป็นเรื่องราวที่ไม่ใช่เป็นเรื่องใหม่ ในการมาปรากฏให้เห็นบนโลกใบนี้

มี หลักฐานบันทึกไว้ตามที่ต่าง ๆ มานานแล้ว ไม่ว่าจากการวาดภาพตามผนังถ้ำของคนสมัยโบราณนับพัน ๆ ปี หรือจากหลักฐานที่ค้นพบในยุคนี้ ทั้งในเรื่องของจานบิน ในเรื่องของวัตถุแปลก ๆ หรือภาพถ่ายต่าง ๆ ก็ตาม นั่นเริ่มมีการยอมรับมากขึ้นว่า มีดวงดาวมากมายที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ และผู้ที่มีความเจริญทางเทคโนโลยีนั้น ได้เดินทางมาโลกมนุษย์แล้ว

แต่การที่จะติดต่อสื่อสาร จะรับทราบวัตถุประสงค์ของเขานั้น เป็นเรื่องยาก

ดัง นั้น การที่กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ได้รับข้อมูลมามากกว่า 10 ปีนั้น เมื่อหลักฐานต่าง ๆ ยังไม่ปรากฏ ก็ย่อมเป็นเรื่องที่เชื่อได้ยาก ดังนั้น การที่จะให้บุคคลใด ๆ มาเชื่อนั้น จึงไม่อาจทำได้ นอกจากนำข้อมูลมาแจ้งให้ทราบไว้ก่อน เพื่อให้ท่านศึกษาวิเคราะห์ในเหตุและ ผล กับการเริ่มปรากฏขึ้นจริงในเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อเทียบเคียง

ดัง เช่นเรื่องราวที่มนุษย์ต่างดาวที่เขากะลามาวางโครงการเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ นั้น ได้มีการบอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในวัตถุประสงค์เรื่องเดียวนี้ มานับ 10 ปีแล้ว แต่ความชัดเจนในตอนนั้น ยังไม่ปรากฏ เพราะเป็นการบอกล่วงหน้า

ในเรื่องภัยพิบัติจะเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น ถี่ขึ้น โดยจะเริ่มมาจากต่างประเทศก่อน
ทั้งเรื่องของการมาเตรียมโครงการเพื่อฝึกบุคคลเข้าร่วมทำงานกับมนุษย์ต่างดาว จำนวน 5,000 คนทั่วโลก
การนำจานบินมาปรากฏให้มนุษย์เห็นเพื่อทำความคุ้นเคย
การสื่อสารผ่านบุคคลแบบ 1 ต่อ 1 เพื่อทำงานร่วมกัน
การถ่ายทอดเทคโนโลยีและอุปกรณ์ให้กับมนุษย์โลก
การติดตั้งอุปกรณ์ให้ผู้ทำงานเพื่อนำไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์
มนุษย์เดินทางด้วยจานบินในช่วงเกิดภัยพิบัติ โดยใช้เป็นพาหนะในการเดินทาง
การสร้างใยแก้วครอบพื้นที่จุดปลอดภัย เพื่อป้องกันรังสีนิวเคลียร์ยังจุดต่าง ๆ ทั่วโลก หากมีการระเบิดขึ้น
การสกัดกั้นนิวเคลียร์ในบางส่วน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตมนุษย์ในส่วนรวม

และอีกหลายข้อมูลที่ได้มีการแจ้งให้ทราบ และทุกสิ่งที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้นับ 10 ปีนั้น ได้เริ่มเปิดเผยให้เห็นมากขึ้น


กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)

ระบบ / ที่มา KAOKALA 2 T3

ระบบ

การใช้ขันธ์ห้า เป็นเครื่องมือในการรักษาผู้ป่วย ณ สถานที่ต่าง ๆ

การ ที่คณะแพทย์แผนอนาคต ได้ทำการรักษาผู้ป่วย จนหลายท่านอาการทุเลาเบาบาง และบางท่านหายจากอาการเจ็บป่วยเหล่านั้นเกือบจะในทันทีที่กำลังรักษา ก็ ตามนั้น

เนื่องด้วย มีเหตุปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน จึงสามารถเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้

อาจมิใช่เรื่องมหัศจรรย์ใด ๆ อย่างที่คนทั่วไปคิดกัน

เหมือนเราไม่สบาย อยู่ใกล้โรงพยาบาล ไปพบหมอ หมอฉีดยา เราก็หายป่วยได้

แต่หากอีกคนไม่สบายเหมือนกัน แต่อยู่กลางดงลึก ไม่สามารถมาหาหมอได้ เขาอาจไม่รอด

นั่นคือ เหตุปัจจัยเอื้ออำนวยต่อผู้ที่อยู่ใกล้โรงพยาบาล คือมาหาหมอทันก็มีโอกาสหาย

ผู้ที่อยู่ไกล เหตุปัจจัยไม่เอื้ออำนวย มาหาหมอไม่ได้ ก็มีโอกาสตาย

ดังนั้น ผู้ที่มีโอกาสได้เข้ามาหา มาถึงแพทย์แผนอนาคตได้

จะด้วยเหตุปัจจัยใด ๆ ก็ตาม เขาก็มีโอกาสที่จะหายได้เช่นกัน

บุคคลนั้น ก็ต้องมีเหตุปัจจัยเอื้ออำนวยให้มาพบเจอ

ดังนั้น อุปกรณ์ที่ใช้รักษาโรค และติดตั้งให้กับแพทย์แผนอนาคต
เพื่อนำไปใช้รักษาผู้ป่วย เพื่อเป็นการยังประโยชน์ผู้อื่นนั้น

บุคคลที่ได้รับการติดตั้งอุปกรณ์ ให้ทำหน้าที่เป็นหมอใช้อุปกรณ์นั้น ๆ ได้
ก็ต้องมีเหตุปัจจัยเพียงพอ คือมีต้นทุนเก่าเพียงพอที่จะขันอาสาเพื่อมาทำงานนี้

มาทำหน้าที่ยังประโยชน์ท่านทั้งหลายที่กำลังเจ็บป่วย ตามเหตุปัจจัยแต่ละท่าน
คณะแพทย์ฯ ก็เช่นกัน ขณะทำงานไป ก็ต้องปล่อยวางไป เพื่อได้ประโยชน์ตนไปพร้อม ๆ กัน

ผู้ ที่ได้รับการรักษา ก็ต้องมีต้นทุนเก่า เหตุปัจจัยพร้อมที่จะมารับการรักษา มีโอกาสได้รับการสแกนกรรม และมีโอกาสได้ขออโหสิกรรม แล้วความเจ็บป่วยเหล่านั้นหายไป

ไม่ใช่ความมหัศจรรย์ใด ๆ แต่เหตุปัจจัยผลักดันให้เป็นไปอย่างนั้น อย่างนั้น

จึง..... ถูกต้อง....ในทุกทุกอย่าง ตามเหตุปัจจัยนั้น ๆ

หายป่วย...ก็ถูกต้อง ไม่หายป่วย...ก็ถูกต้อง

เพราะไม่อาจไปทราบได้ ว่าเหตุปัจจัยของบุคคลนั้นเป็นอย่างไร

ผู้ที่ทำหน้าที่รักษาบุคคลอื่น ๆ ต่างหาก ที่ระบบมุ่งเน้นให้ทำการปล่อยวาง

ให้มองเห็นความว่าง....จากการไปยึดมั่น..ต้องเป็นอย่างนั้น..อย่างนี้

ฝึกความเห็นว่ามันเป็นอย่างนั้นเอง ตามเหตุปัจจัย

หายก็ถูกต้อง ไม่หายก็ถูกต้อง

เหมือนโรงพยาบาล มิใช่ว่าต้องหายทุกคน

บางคนหาย บางคนไม่หาย แล้วแต่เหตุปัจจัยของโรคนั้น ๆ

เพียงแต่ว่า ถ้ามีโอกาสเข้ามาถึงมือหมอ ก็จะมีโอกาสได้รับการวินิจฉัย และอาจมีโอกาสหายมากขึ้นเท่านั้น

ดังนั้น ผู้ที่ทำทำหน้าที่รักษาผู้ป่วย อย่าได้ไปคาดหวังว่า...ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้

เพราะนี่คือเหตุแห่งทุกข์

เพราะเมื่อคาดหวัง แล้วไม่สมหวัง ท่านนั่นแหละจะเป็นผู้ทุกข์

เพราะคนมารักษาอาจจะไม่ทุกข์ เพราะก่อนมาก็เป็นอย่างนี้ กลับไปหายก็ดีแล้ว ไม่หายก็เท่าเดิม

เพราะ...คุณหมอมีเพียงมือเปล่า ๆ

สองมือเปล่า รักษาหายได้ ก็มิใช่ต้องน่าปลื้มใจอะไรนัก

สองมือเปล่า รักษาไม่หาย ก็มิใช่ต้องเสียใจอะไรนัก

ให้เห็นความเป็นอย่างนั้นเอง ของเหตุปัจจัยแต่ละคนที่เข้ามากระทบ ทั้งดีใจ เสียใจ

ผู้ที่หายป่วย ก็ยินดีปรีดา ย่อมสรรเสริญ เยินยอ ก็เป็นเช่นนั้น ตามเหตุปัจจัยเมื่อหายป่วย

ผู้ที่ไม่หายป่วย ก็เสียใจ บ่นว่ากันไป ก็เป็นเช่นนั้นตามเหตุปัจจัย เมื่อไม่หายป่วย

ถ้าเข้าใจได้ว่า เขาหายเขาก็ต้องชื่นชม สรรเสริญ เป็นธรรมดา

ถ้าเขาไม่หาย เขาก็ต้องขุ่นข้องหมองใจ นินทา ก่นด่า เป็นธรรมดา

ควรหรือ จะไปยินดี ยินร้าย กับเหตุปัจจัยของบุคคลเหล่านั้น

เขาชม เขาด่า ถ้าเห็นได้ว่า มันเท่ากัน

ท่านนั่นแหละ ที่จะไม่เป็นทุกข์

การที่จะอยู่เหนืออารมณ์ เหนือสุข เหนือทุกข์ ได้

ก็ต่อเมื่อ เข้าใจในความเป็น "เช่นนั้นเอง" ของทุกสรรพสิ่ง

นี่คือ "ประโยชน์ตน"
สิ่งเดียว...ที่...ทำได้
และหลายท่าน...ได้ทำ...ไปบ้างแล้ว


กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)

ระบบ

การมาพบเจอเรื่องของระบบ เป็นคนของระบบ เป็นผู้ที่อาสามาทำงานร่วมกับระบบ ท่านย่อมต้องพบเจอกับเรื่องราวที่เหลือเชื่อมากมาย เรื่องราวที่หาคำอธิบายไม่ได้ แต่เกิดขึ้นจริง ดังนั้น การที่จะไปยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งที่ได้รับรู้ ผ่านอายตนะทั้ง 6 นั้น จึงจะไม่เป็นตรงไปตรงมาดังที่คาดหวัง

เมื่อมีความเข้าใจ แม้พบเจอเหตุการณ์ใด ๆ ก็จะมีสติรู้เท่าทัน จึงไม่รีบไปตัดสิน ไม่รีบไปคาดการณ์ ไม่รีบไปคาดหวังว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ในทันทีทันใด เพราะอาจจะไม่เป็นดังที่คิดไว้ก็เป็นได้

ความคาดหวัง ความคิดที่จะไปบังคับบัญชาให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็จะน้อยลง
การที่จะไปยึดมั่นถือมั่น ในความแปรปรวนนั้น ๆ ก็จะน้อยลงตามไปด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความทุกข์ที่เกิดจากความคาดหวัง ความผิดหวัง ความไม่ได้ดังใจหวัง ก็จะลดน้อยตามไปด้วยเช่นกัน

เพราะ สิ่งที่พบเจอ สิ่งที่สัมผัส สิ่งที่ได้รับรู้นั้น มันจะเป็นอย่างนั้น หรือไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้ อย่าไปยึดมั่นถือมั่น อย่าไปคาดคั้นว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะโดยแท้จริงแล้ว เราไม่อาจรู้ได้เลยว่า สิ่งที่เห็นจะเป็นอย่างนั้นหรือไม่

จึงต้องใช้การปล่อยวางเป็นพื้นฐาน ไม่ว่าเหตุการณ์นั้น ๆ จะเป็นอย่างไร

ดัง นั้น สมาชิกของกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ที่มีความเข้าใจในกลไกของขันธ์ 5 และเข้าใจการทำงานร่วมกับระบบแล้ว ก็จะไม่ไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 ในทุกสถานการณ์ที่พบเจอ เพราะในการทำงานกับระบบ จะมีทั้งประโยชน์ตน และประโยชน์ท่าน

ประโยชน์ตน คือเรียนรู้ขันธ์ 5 เพื่อละวางอัตตาตัวตน ออกจากอุปาทานทั้งปวง

และ ประโยชน์ท่าน คือการช่วยเหลือบุคคลอื่น ซึ่งในส่วนนี้ ต้องมีการประสานงานกับคณะบุคคลอื่น ๆ มากมาย และมีการใช้อุปกรณ์จากต่างดาวร่วมด้วย จึงไม่อาจที่จะไปยึดได้ว่านี่เป็นของเรา

ดังนั้น การทำงานเพื่อประโยชน์ท่านนั้น ก็จะแนบประโยชน์ตนไปพร้อมกันด้วย เพื่อไม่ให้ไปยึดว่า สิ่งที่ระบบกำลังทำนั้น อย่าไปยึดมั่นว่า...เป็นจริง เป็นจัง ดังที่เห็น ดังที่ได้ยิน ดังที่สัมผัส

เพราะอาจจะเป็นอย่างนั้น หรือไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้ ดังนั้น การที่จะไปเถียงกันหัวชนฝา ว่าข้าจริง ข้าถูก ข้าแน่ ก็จะน้อยลง เพราะจะไม่มีใครแน่ ใครจริง ใครถูก ใครผิด ในแต่ละเหตุการณ์ เพราะทุกอย่างเป็นการสมมุติขึ้นเพื่อการเรียนรู้ และให้ปล่อยวาง ในแต่ละสถานการณ์เท่านั้น

อยู่ที่ว่า สถานการณ์ใด ใครยึดมากก็ทุกข์มาก ใครยึดน้อย ก็ทุกข์น้อย ใครไม่ยึด ก็ไม่ทุกข์

ดัง นั้น ในรุ่น1 เรียกว่าเป็นรุ่นพบเจอเหตุการณ์เรื่องของมิติมากที่สุดก็ว่าได้ ก็เพื่อให้ได้รับรู้ รับทราบ และเป็นตัวอย่างให้กับเขากะลารุ่นที่ 2 ได้รับรู้ เพื่อที่เมื่อ ได้พบเจอเรื่องมิติ เรื่องอุปกรณ์ เรื่องการย้ายมวลสาร ก็จะได้ไม่ไปยึดมั่น ไม่ไปคาดคั้น ไม่ไปคาดหวัง ว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เพื่อง่ายต่อการปล่อยวาง

และ เขากะลารุ่นที่ 2 เมื่อพบเจอหลายครั้งเข้า ก็จะเข้าใจ และไม่ไปยึดมั่นถือมั่น ไม่ทุกข์กับสิ่งต่าง ๆ ที่พบเจอ ดังที่อาจารย์หลาย ๆ ท่านได้เล่าไว้ให้ฟังในหลาย ๆ บทความนั้น ก็เพื่อให้รุ่นที่ 3 ที่กำลังเข้ามารับงานต่อเนื่องนั้นได้เป็นตัวอย่าง และทำความเข้าใจ จะได้ไม่ไปทุกข์ฟรีกับสิ่้งที่กำลังทดสอบอยู่ในขณะนี้

นี่เป็นประโยชน์ตนอย่างเดียว ที่พึงได้จากระบบ คือให้ละการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5

ระบบจึงได้มีการทำความเข้าใจในทฤษฏีของระบบ เพื่อให้ผู้ร่วมงานเอาตัวรอดจากความทุกข์ขณะทำงานนั่นเอง


กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)

ระบบ / ที่มา KAOKALA 2 T2

ระบบ

งานเฉพาะกิจครั้งนี้ เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ และยากที่จะอธิบายให้บุคคลทั่วไปเข้าใจได้ ระบบจึงมุ่งหมายให้คนของระบบที่วางไว้ 5,000 คนทั่วโลกในโครงการนี้ ได้มาพบเจอกัน มารู้จัก มาเข้าใจ และทำงานร่วมกันก่อนในขั้นต้น

จะมาพบเจอ มารู้จักกันได้อย่างไร เพราะต่างคนต่างอยู่ หลากหลายสถานที่ หลายจังหวัด หลายประเทศ

ดังนั้น จึงต้องมีรูปแบบ จึงต้องมีการรวมกลุ่ม มีการทำกิจกรรมต่าง ๆ ขึ้นมา ให้คนทั่วไปได้รับรู้

มี การ...แจ้งเพื่อทราบ แจ้งข่าวผ่านทางสื่อมวลชน ทางทีวี ทางหนังสือพิมพ์ ทางนิตยสารมากมายหลายฉบับ เพื่อเป็นการส่งข่าวไปยังผู้ที่อาสาลงมาร่วมงานในโครงการเดียวกัน จะได้รับทราบ และเข้ามาพบเจอกัน

ดังนั้น หลายคนที่รู้จักเขากะลา รับรู้ความเป็นมา ก็เพราะดูจากรายการทีวี อ่านจากหนังสือ นี่คือสื่อ....ที่จำเป็น

แต่มิใช่ว่า เขากะลาจะอยากเด่น อยากดังใด ๆ แต่เพราะงานระบบ...ต้องดำเนินไปตามแนวทางอย่างนั้น

....มี "จานบิน" มากมาย มาปรากฏ เพื่อประกอบฉาก....เพื่อให้เกิดความสนใจ และเข้ามาศึกษาว่า...มนุษย์ต่างดาว...มาทำไม? บนโลกใบนี้

และ สุดท้าย เมื่อเข้ามาศึกษา ก็จะพบว่า จะมีทั้งเรื่องของต่างดาว และเรื่องธรรมะการละวางอัตตาตัวตน ควบคู่กันไปด้วย และเป็นประโยชน์ตนสูงสุด ของผู้ทำงาน

บุคคลของระบบท่านนั้น ๆ จะเข้าใจได้มากน้อยแค่ไหน ก็เป็นไปตามงานของแต่ละท่านที่ได้อาสาลงมา

ถ้ามีฉากร่วมกันนาน ก็จะเข้าใจ อยู่ร่วมกันไป ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันตามงาน
ถ้ามีฉากร่วมกันน้อย ก็ผ่านมา แวะทักทาย แล้วผ่านไปทำงานของแต่ละท่าน....ที่ได้รับมอบหมายมา

คนระบบอีกมากมาย ที่ไม่เคยได้พบเจอ ไม่เคยได้รู้จัก ไม่เคยได้พบหน้า แต่รับรู้ว่ากลุ่มนี้กำลังทำอะไร
เพราะรับรู้ผ่านอินเตอร์เน็ททางไกล นั่นเอง

ดังนั้น ระยะทางจึงไม่ใช่ปัญหาของการมาทำความเข้าใจ

เพราะการให้ข้อมูลข่าวสารผ่านอินเตอร์เน็ท ก็เป็นการทำงานของระบบอย่างหนึ่ง
อย่าง เช่นที่พี่สุดใจ กำลังให้ข้อมูลต่าง ๆ ผ่านเว็บไซด์แห่งนี้ ก็เป็นการทำงานกับระบบอย่างหนึ่ง คือการแจ้งเพื่อทราบ ในโครงการช่วยเหลือภัยพิบัติในครั้งนี้ ตามที่ได้รับการถ่ายทอดข้อมูลลงมา

ถ้าบุคคลคนนั้น เป็นคนที่ระบบได้วางไว้ เขาก็จะเข้าใจได้นั่นเอง

บาง ท่าน สนใจเรื่องภัยพิบัติ ก็ได้หาข้อมูลข่าวสารมาแบ่งปันให้เพื่อน ๆ ได้รับทราบ ให้ตระหนักถึงเหตุการณ์ที่เริ่มรุนแรงขึ้น บุคคลนี้อาจจะทำเช่นนั้นเป็นประจำตามความชอบ ตามความสนใจ อาจไม่ทราบด้วยซ้ำไป ว่านี่คือการทำงาน

จะทำงานแบบเข้าใจ หรือไม่เข้าใจ ก็ทำงานได้เช่นกัน

จึงถูกต้อง...ทุกงาน ทุกหน้าที่ ทุกวิธี...ที่มีการดำเนินกิจกรรมเพื่อการประสานงาน

ทุกท่านที่บังเอิญพบเจอ บังเอิญเข้ามาสนใจ ก็เรียกได้ว่า....มาตามงาน
ได้ เข้ามาอ่าน มารับรู้โครงการ มาทำความเข้าใจ มาเก็บเกี่ยวประโยชน์ตนกลับไป...สักวันหนึ่งท่านก็จะรู้ได้ว่า งานของท่านคืออะไร ?

เพราะถ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ก็ไม่อาจมาพบเจอ มาเข้าใจ หรือมาเชื่อถือในเรื่องเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน


กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)

วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ระบบ / ที่มาของKAOKALA 2 T1

ระบบ / แพทย์แผนอนาคต

การใช้ขันธ์ห้า เป็นเครื่องมือในการรักษาผู้ป่วย ณ สถานที่ต่าง ๆ

การ ที่คณะแพทย์แผนอนาคต ได้ทำการรักษาผู้ป่วย จนหลายท่านอาการทุเลาเบาบาง และบางท่านหายจากอาการเจ็บป่วยเหล่านั้นเกือบจะในทันทีที่กำลังรักษา ก็ ตามนั้น

เนื่องด้วย มีเหตุปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน จึงสามารถเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้

อาจมิใช่เรื่องมหัศจรรย์ใด ๆ อย่างที่คนทั่วไปคิดกัน

เหมือนเราไม่สบาย อยู่ใกล้โรงพยาบาล ไปพบหมอ หมอฉีดยา เราก็หายป่วยได้

แต่หากอีกคนไม่สบายเหมือนกัน แต่อยู่กลางดงลึก ไม่สามารถมาหาหมอได้ เขาอาจไม่รอด

นั่นคือ เหตุปัจจัยเอื้ออำนวยต่อผู้ที่อยู่ใกล้โรงพยาบาล คือมาหาหมอทันก็มีโอกาสหาย

ผู้ที่อยู่ไกล เหตุปัจจัยไม่เอื้ออำนวย มาหาหมอไม่ได้ ก็มีโอกาสตาย

ดังนั้น ผู้ที่มีโอกาสได้เข้ามาหา มาถึงแพทย์แผนอนาคตได้

จะด้วยเหตุปัจจัยใด ๆ ก็ตาม เขาก็มีโอกาสที่จะหายได้เช่นกัน

บุคคลนั้น ก็ต้องมีเหตุปัจจัยเอื้ออำนวยให้มาพบเจอ

ดังนั้น อุปกรณ์ที่ใช้รักษาโรค และติดตั้งให้กับแพทย์แผนอนาคต
เพื่อนำไปใช้รักษาผู้ป่วย เพื่อเป็นการยังประโยชน์ผู้อื่นนั้น

บุคคลที่ได้รับการติดตั้งอุปกรณ์ ให้ทำหน้าที่เป็นหมอใช้อุปกรณ์นั้น ๆ ได้
ก็ต้องมีเหตุปัจจัยเพียงพอ คือมีต้นทุนเก่าเพียงพอที่จะขันอาสาเพื่อมาทำงานนี้

มาทำหน้าที่ยังประโยชน์ท่านทั้งหลายที่กำลังเจ็บป่วย ตามเหตุปัจจัยแต่ละท่าน
คณะแพทย์ฯ ก็เช่นกัน ขณะทำงานไป ก็ต้องปล่อยวางไป เพื่อได้ประโยชน์ตนไปพร้อม ๆ กัน

ผู้ ที่ได้รับการรักษา ก็ต้องมีต้นทุนเก่า เหตุปัจจัยพร้อมที่จะมารับการรักษา มีโอกาสได้รับการสแกนกรรม และมีโอกาสได้ขออโหสิกรรม แล้วความเจ็บป่วยเหล่านั้นหายไป

ไม่ใช่ความมหัศจรรย์ใด ๆ แต่เหตุปัจจัยผลักดันให้เป็นไปอย่างนั้น อย่างนั้น

จึง..... ถูกต้อง....ในทุกทุกอย่าง ตามเหตุปัจจัยนั้น ๆ

หายป่วย...ก็ถูกต้อง ไม่หายป่วย...ก็ถูกต้อง

เพราะไม่อาจไปทราบได้ ว่าเหตุปัจจัยของบุคคลนั้นเป็นอย่างไร

ผู้ที่ทำหน้าที่รักษาบุคคลอื่น ๆ ต่างหาก ที่ระบบมุ่งเน้นให้ทำการปล่อยวาง

ให้มองเห็นความว่าง....จากการไปยึดมั่น..ต้องเป็นอย่างนั้น..อย่างนี้

ฝึกความเห็นว่ามันเป็นอย่างนั้นเอง ตามเหตุปัจจัย

หายก็ถูกต้อง ไม่หายก็ถูกต้อง

เหมือนโรงพยาบาล มิใช่ว่าต้องหายทุกคน

บางคนหาย บางคนไม่หาย แล้วแต่เหตุปัจจัยของโรคนั้น ๆ

เพียงแต่ว่า ถ้ามีโอกาสเข้ามาถึงมือหมอ ก็จะมีโอกาสได้รับการวินิจฉัย และอาจมีโอกาสหายมากขึ้นเท่านั้น

ดังนั้น ผู้ที่ทำทำหน้าที่รักษาผู้ป่วย อย่าได้ไปคาดหวังว่า...ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้

เพราะนี่คือเหตุแห่งทุกข์

เพราะเมื่อคาดหวัง แล้วไม่สมหวัง ท่านนั่นแหละจะเป็นผู้ทุกข์

เพราะคนมารักษาอาจจะไม่ทุกข์ เพราะก่อนมาก็เป็นอย่างนี้ กลับไปหายก็ดีแล้ว ไม่หายก็เท่าเดิม

เพราะ...คุณหมอมีเพียงมือเปล่า ๆ

สองมือเปล่า รักษาหายได้ ก็มิใช่ต้องน่าปลื้มใจอะไรนัก

สองมือเปล่า รักษาไม่หาย ก็มิใช่ต้องเสียใจอะไรนัก

ให้เห็นความเป็นอย่างนั้นเอง ของเหตุปัจจัยแต่ละคนที่เข้ามากระทบ ทั้งดีใจ เสียใจ

ผู้ที่หายป่วย ก็ยินดีปรีดา ย่อมสรรเสริญ เยินยอ ก็เป็นเช่นนั้น ตามเหตุปัจจัยเมื่อหายป่วย

ผู้ที่ไม่หายป่วย ก็เสียใจ บ่นว่ากันไป ก็เป็นเช่นนั้นตามเหตุปัจจัย เมื่อไม่หายป่วย

ถ้าเข้าใจได้ว่า เขาหายเขาก็ต้องชื่นชม สรรเสริญ เป็นธรรมดา

ถ้าเขาไม่หาย เขาก็ต้องขุ่นข้องหมองใจ นินทา ก่นด่า เป็นธรรมดา

ควรหรือ จะไปยินดี ยินร้าย กับเหตุปัจจัยของบุคคลเหล่านั้น

เขาชม เขาด่า ถ้าเห็นได้ว่า มันเท่ากัน

ท่านนั่นแหละ ที่จะไม่เป็นทุกข์

การที่จะอยู่เหนืออารมณ์ เหนือสุข เหนือทุกข์ ได้

ก็ต่อเมื่อ เข้าใจในความเป็น "เช่นนั้นเอง" ของทุกสรรพสิ่ง

นี่คือ "ประโยชน์ตน"
สิ่งเดียว...ที่...ทำได้
และหลายท่าน...ได้ทำ...ไปบ้างแล้ว


กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)

วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

17 tuned / Eurythmics Sweet Dreams

17 tuned / Trans X - Living on Video (Music Video) 1982

17 tuned / Taco - Puttin' On the Ritz (Original Uncensored 1982 Version) [HQ]

Real Alien ---- From Area 51 2010

The Universe Parallel Universes Clip 2 - Space Travel

ระบบ

มนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา ได้เคยบอกตั้งแต่เมื่อได้สื่อสารมาใหม่ ๆ นับ 10 ปีแล้วว่า ทำไมมนุษย์ต่างดาวจึงไม่ไปใช้ประเทศที่มีเทคโนโลยีมากมายนั้น เป็นฐานในการให้ความช่วยเหลือในเรื่องของภัยพิบัติที่จะเกิดบนโลกใบนี้

แล้วยังถามอีกว่า รู้ไหม? ทำไมประเทศไทยกับ ประเทศอเมริกา จึงอยู่ตรงข้ามกัน คนละซีกโลกกัน

ซึ่งเราก็ตอบไม่ได้ เพราะไม่ทราบในตอนนั้น

มนุษย์ต่างดาวกล่าวว่า เพราะว่า อีกซีกโลกหนึ่งมีความเจริญทางเทคโนโลยี อีกซีกโลกหนึ่งมีความเจริญทางด้านจิตใจ

ดังนั้น สองประเทศนี้ จึงอยู่ตรงข้ามกันคนละซีกโลก

ประเทศ ที่เจริญสูงสุดด้านเทคโนโลยี แต่ไม่มีความเจริญทางด้านจิตใจนั้น การถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ไป ก็มีแต่จะใช้ไปในการเบียดเบียนบุคคลอื่น ๆ ประเทศอื่น ๆ มากขึ้น ทำเพื่อปกป้องตัวเองตลอดเวลา ด้วยความกลัว ความหวาดระแวง ความไม่ไว้วางใจ ไม่ว่าจะเป็นจากมนุษย์โลกด้วยกัน หรือจากมนุษย์จากต่างโลกก็ตาม

กับอีกประเทศหนึ่ง ที่ไม่มีเทคโนโลยี ไม่มีความไฮเทคใด ๆ มากมาย แต่มีความเจริญทางด้านจิตใจ และอุดมไปด้วยความเมตตาซึ่งกันและกันในส่วนมาก มีความเอื้ออาทรต่อเพื่อนร่วมโลก ไม่เคยแบ่งแยกชาติใด ไม่เคยคิดเอาเปรียบใคร ดังจะเห็นว่า เมื่อก่อนนี้จะมีแต่ความสงบสุข มีแต่ความสงบร่มเย็นเป็นสุข จนเป็นประเทศที่เรียกว่ายิ้มสยาม

แม้ ว่าในตอนนี้ จะเกิดการกระทบกระทั่ง เกิดความไม่สามัคคีกันไปบ้างในบางส่วน แต่โดยรวมแล้ว คนไทยก็มีน้ำใจช่วยเหลือกันมาตลอดแม้ในยามคับขัน และยิ่งในช่วงที่จะเกิดภัยพิบัตินั้น จะมีกลุ่มผู้เสียสละมากมายหลายกลุ่ม หลายคณะ หลายบุคคลเกิดขึ้น มีการเตรียมการเพื่อให้ความช่วยเหลือคนอื่น เตรียมการเพื่อต้านภัยพิบัติ เตรียมการเพื่อยกระดับจิตให้มีการปฏิบัติจิตกันมากขึ้น และพร้อมช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความเสียสละ และจริงใจ

นี่คือสิ่งที่ ถูกตรงกับกฏธรรมชาติ ที่ผู้ทรงภูมิปัญญาจากจักรวาลต่าง ๆ ต้องลงมาให้ความช่วยเหลือ ตามสภาวะจิตในแต่ละกลุ่มนั้น ๆ ที่จะต้องอยู่รอดเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์มนุษย์โลกสืบต่อไป

เมื่อมีความ เข้าใจในกฏธรรมชาติ มีความปราถนาดีต่อมวลมนุษย์ด้วยกัน จิตที่มีฐานของความเมตตานี้ ก็สามารถใช้เทคโนโลยีสูงสุดจากต่างดาวได้ไม่มีข้อจำกัด เพราะถึงให้เทคโนโลยีไป ก็มีแต่จะเอาไว้ใช้เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น ไม่ได้ใช้เพื่อมุ่งหวังประโยนช์ใด ๆ จากเทคโนโลยีนั้นเลย

มนุษย์ต่าง ดาวบอกว่า การมายึดโลกนั้นง่าย ทำแป๊บเดียวก็ยึดได้แล้ว แต่การที่จะให้ความช่วยเหลือ ให้มนุษย์มีความเข้าใจในจุดมุ่งหมายนั้น....ยาก จึงต้องค่อย ๆ ทำความเข้าใจ ต้องค่อย ๆ บอกกล่าว ค่อย ๆ สอนให้เข้าใจในกฏธรรมชาติ ค่อย ๆ ให้พิจารณา และทำตัวอย่างให้รู้ให้เห็น และมอบเทคโนโลยีให้ทดลองใช้เพื่อยืนยันว่า สิ่งที่ได้มาวางโครงการไว้เพื่อช่วยเหลือภัยพิบัตินั้น เป็นเรื่องจริง

เมื่อ ผู้ที่ได้พบเจอ ได้สัมผัส ได้รับทราบจุดมุ่งหมาย และได้ไตร่ตรอง จนมีความเข้าใจในธรรมะ มีความเข้าใจในกฏธรรมชาติ ที่ต้องมีการให้ความช่วยเหลือกันตามธรรมชาติ แล้ว มนุษย์โลกที่ได้รับรู้ในกลุ่มนั้น ๆ จึงไม่ได้ตกอกตกใจ เมื่อมีผู้ที่มาจากดาวดวงไหน ๆ ก็ตาม ที่มาติดต่อสื่อสาร และมาเตรียมการให้ความช่วยเหลือ

ทำไม ผู้ทรงภูมิปัญญาจากต่างดาว ต้องมาอธิบายให้มนุษย์โลกเข้าใจในจุดมุ่งหมาย ที่ต้องมาทำการให้ความช่วย เหลือมนุษย์โลก...จากภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ นั่นก็ เพราะว่ามนุษย์โลกส่วนใหญ่....จะมีความเข้าใจไปในแนวทางของความรัก ตัวกลัวตาย ความกลัวอันตราย ไม่ไว้ใจทั้งประเทศใด ๆ รวมถึงมนุษย์จากนอกโลก ยิ่งไม่น่าไว้วางใจ

ดังนั้น การที่มนุษย์ต่างดาว มาติดต่อกับมนุษย์โลกทั่วโลกนั้น จึงมีการติดต่อกันในหลายระดับ ไม่เท่ากัน

มนุษย์ ต่างดาว ที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้ากว่าของมนุษย์โลกมากมายหลายร้อยเท่านั้น จึงไม่ได้ตื่นเต้นยินดีในเทคโนโลยีที่มนุษย์โลกในประเทศที่เจริญทางด้าน วัตถุผลิตขึ้นมา แต่กับให้ ความสำคัญกับประเทศที่ไม่มีเทคโนโลยีมากมาย แต่มีความเจริญทางด้านจิตใจเป็นหลัก ซึ่งมีความเห็นที่เป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล คือเมตตาสงสารเพื่อนร่วมโลก ร่วมชะตากรรมเดียวกัน จิตที่คิดช่วยเหลือนี้จึงมีกำลัง และมีความสำคัญที่สามารถทำงานร่วมกันกับผู้ที่มาช่วยเหลือได้

ดัง นั้น....จึงมีผู้ที่เชื่อ และเหลือรอดได้เข้ามาทำงานกับมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลาน้อยเต็มที เพราะ เป็นการยากที่จะเข้าใจ ยากที่จะเชื่อได้

ดังที่มนุษย์ต่างดาวได้กล่าวไว้ว่า "มนุษย์ต่างดาวไม่ได้เป็นความลับ แต่บอกไปก็ไม่มีใครเชื่อ จึงยังเป็นความลับต่อไป"

เรา กำลังทำเรื่องที่เชื่อได้ยาก แม้จะทำอย่างเปิดเผย บอกไปทุกอย่างเท่าที่มนุษย์ต่างดาวได้บอกไว้ให้มนุษย์ได้รับรู้ เปิดเผย ให้ทราบ แต่ก็ยังไม่มีใครเชื่ออยู่ดี...

จึงควรปล่อยวาง .... กับความไม่เข้าใจของบุคคลอื่น ๆ แล้วมุ่งปฏิบัติเพื่อยกระดับจิตใจ ปล่อยวางให้ได้มากที่สุด เพื่อละอัตตา ละการยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ 5 ให้ได้ จะได้เป็นฐานในการช่วยเหลือผู้อื่น

แม้บุคคลอื่น ๆ เขาจะเข้าใจ หรือไม่เข้าใจ....แต่โครงการของมนุษย์ต่างดาว...ก็ยังต้องให้ความช่วยเหลือมนุษย์โลก...อยู่นั่นเอง.


กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)