กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย (เขากะลา)

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ปรากฏการณ์สัมผัสห้วงอวกาศ / มาโคโลนี

Re: ปรากฏการณ์สัมผัสห้วงอวกาศ
เมื่อ: ตุลาคม 25, 2011, 01:51:57 pm

ต้อง เล่าที่มาก่อน...เทพราหูได้มาเตือนเรื่องน้ำ เตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนเฉื่อยอย่างข้าพเจ้าก็ทำไม่รู้ไม่ชี้เพราะไม่อยากจะสนใจเรื่องเคราะห์ซ้ำ กรรมซัดของคนอื่น เนื่องจากตนเองไม่ได้เดือดร้อนด้วย แต่ท่านเทพราหูก็มักจะสร้างเหตุให้ข้าพเจ้าต้องไปสอบถามท่านผู้มีญาณถึงการ แอบติดตาม จ้องมอง จากบางสิ่งบางอย่างที่มองไม่เห็นแต่รู้สึกได้ด้วยจิต เมื่อทราบว่าเป็นท่านเทพราหู ข้าพเจ้าก็ชักตงิด ๆ เริ่มรำคาญว่างั้นเถอะ ก็เลยถาม-ตอบผ่านท่านผู้มีญาณไปว่า ท่านมาตามข้าพเจ้าอยู่ทำไม ท่านตอบว่ามาเตือนเรื่องน้ำ ข้าพเจ้าก็...ฮึ่ม น้ำอะไรอีกล่ะ ก็มันกำลังท่วมอยู่นี่ไง ที่ภาคกลางน่ะ ท่านก็ว่าไม่ใช่ ข้าพเจ้าก็ 0.0 อ้าว ยังมีอีกเหรอ แล้วมันจะท่วมที่ไหนอีก ท่านก็บอกว่าที่เชียงใหม่ เอ...ข้าพเจ้าก็เริ่มลังเล นึกในใจว่าก็มันท่วมไปแล้วนี่นา รอบที่แล้วที่ท่านมาเตือนทราบก่อนน้ำจะท่วมเชียงใหม่เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 54 แต่ไม่ได้ออกข้อความเตือน เพราะไม่แน่ใจและไม่อยากสนใจ และทราบว่าถ้าน้ำจะท่วม มันจะท่วมในเมือง แต่บ้านตัวเองไม่ท่วมแน่ มั่นใจสุด ๆ ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ แต่รอบใหม่นี่มันจะท่วมยังไงหว่า ในเมื่อ เนสาด กับนาลแกก็ผ่านไปแล้ว ฝนทางภาคเหนือก็หยุดแล้ว พอถามท่านๆ ก็ตอบว่าน้ำมาจากน้ำโขง จึงเป็นที่มาของการตั้งกระทู้นี้เพื่อเตือนภัย รายละเอียดต่าง ๆ มีกระจัดกระจายอยู่ในกระทู้นี้แหละค่ะ

ในที่นี้จะกล่าวถึงคลื่น ยักษ์ที่จะเข้าถล่มปีหน้า 2555 คลื่นที่เข้ามามีหลายขนาด ความสูงของคลื่นอยู่ระหว่าง 26 – 65 เมตร และบางลูกอาจจะสูงเกือบ 100 เมตร เอาเฉพาะกรุงเทพฯ ก็แล้วกันนะ ภาคอื่น ๆ เอาไว้พูดทีหลัง เรื่องคลื่นยักษ์นี่จำไม่ค่อยได้ว่าถามท่านเทพราหูหรือท่านผู้ให้อภัยแล้ว ท่านผู้อ่านก็รับเอาแต่เนื้อ ๆ ไปก็แล้วกันนะคะ คลื่นยักษ์ที่จะเข้าถล่มกรุงเทพฯ มาจากทะเล ข้าพเจ้าถามแล้วถามอีกว่า น้ำมาจากทะเลหรือ? หรือว่ามาจากน้ำจืด? เขื่อนแตกหรือไง? ท่านก็ยืนยันว่ามาจากทะเล อ้าว 0.0 ถ้างั้นก็สึนามิน่ะสิ ท่านก็ตอบว่าใช่ ข้าพเจ้าถามทันทีว่าท่านผู้มีญาณรอดหรือเปล่า ท่านเห็นตัวเองลอยคออยู่ในน้ำ คือลอยอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ว่ายไม่ได้เกาะอะไรทั้งนั้น ข้าพเจ้าก็ อืม...(วิเคราะห์ด้วยสติปัญญาไปด้วย) ข้าพเจ้าถามถึงหลานชาย ลูกชายของท่านผู้มีญาณ ก็ทราบว่าได้รับการช่วยเหลือไปก่อนหน้าท่านผู้มีญาณแล้ว ข้าพเจ้าชักงง ใคร? อะไร? มาช่วยยังไง?

ท่านผู้มีญาณบอกว่าเห็นเรือ ข้าพเจ้าก็ถามว่าเรืออะไร ท่านผู้มีญาณก็ตอบว่าเรือไม้ ข้าพเจ้าก็...อืม ชักไม่ทันใจ การตั้งคำถามกับชาวโลกทิพย์ ถามคำเขาก็ตอบคำ ถามแค่ไหนเขาตอบแค่นั้น ไม่มีการอธิบายเพิ่มเติม เราต้องใช้สติปัญญาถามปัญหาเอาเอง เพราะเหตุนี้ท่านที่มานำเสนอการสื่อสารเกี่ยวกับข้อความต่าง ๆ แม้ว่าจะได้รับทราบมาเป็นเรื่องเดียวกัน แต่แตกประเด็นคำตอบไปหลากหลาย เพราะแต่ละคนเจาะถามปัญหาไม่เหมือนกัน แล้วแต่สติปัญญาของผู้ถามว่าจะสามารถถามได้ลึกซึ้งขนาดไหน บางทีคนอ่านก็สับสนกับข้อมูล ข้าพเจ้าจึงขออธิบายให้ทราบไว้ ณ ที่นี้

ข้าพเจ้า ถามว่าเรือไม้ที่ว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร ท่านผู้มีญาณตอบว่าเป็นเรือไม้สีน้ำตาล เป็นไงล่ะท่านผู้อ่าน ถามคำก็ตอบคำ ข้าพเจ้าก็ถามอีก ลักษณะคล้ายเรือสำเภาหรือเปล่า ท่านผู้มีญาณตอบว่าเรือที่เห็นนั้นไม่มีใบ เป็นเรือไม้สีน้ำตาล หัวเรือและท้ายเรือมีอะไรแหลม ๆ ยกขึ้นไป ทำให้ข้าพเจ้าชักงงใหญ่ มันเรืออะไรหว่า ถามท่านผู้มีญาณไปว่าเรือโนอาหรือเปล่า(ถ้าเขียนโนอาผิดก็ขออภัย ท่านก็ตอบว่าไม่ใช่ การถาม-ตอบนี้ท่านผู้มีญาณจะอาราธนาถามพระพุทธเจ้าตลอด) ข้าพเจ้าถามว่าเป็นเรือมนุษย์ใช่หรือเปล่า ท่านก็ว่าไม่ใช่อีก ถามว่าเป็นเรือมนุษย์ต่างดาวหรือเปล่า ท่านก็ว่าไม่ใช่อีก เอาใหม่ ขอให้ท่านผู้มีญาณรวบรวมกำลังจิตอาราธนาพระใหม่ แล้วถามว่าเป็นเรือเทวดาใช่ไหม โป๊ะเช๊ะ เลยท่าน ท่านผู้มีญาณตอบว่าใช่ กว่าจะเจอคำตอบก็ทำเอาข้าพเจ้าเกือบจะจนคำถาม

ข้าพเจ้ายังถามย้ำอีก สองสามครั้งว่าเรือเทวดาแน่นะ ท่านผู้มีญาณก็ตอบว่าใช่ ข้าพเจ้าขอให้ท่านผู้มีญาณดูผู้ควบคุมเรือ ท่านก็เห็นเทวดาทรงเครื่องเต็มยศ ยืนอยู่ในเรือ ข้าพเจ้าถามว่าท่านเทวดาช่วยหลานชายของข้าพเจ้าไปก่อนแล้วหรือ ท่านผู้มีญาณจึงหาเขาไม่เจอในตอนแรก เทวดาตอบว่าใช่ ข้าพเจ้าถามเทวดาผ่านผู้มีญาณว่าแล้วท่านจะช่วยท่านผู้มีญาณด้วยไหม เทวดาก็ตอบว่าช่วย ข้าพเจ้าถามว่าแล้วพ่อ แม่ กับน้องสาวอีกคนล่ะ ท่านจะช่วยพวกเขาไหม (เพราะท่านผู้มีญาณเห็นพวกเขาลอยคออยู่ในน้ำเหมือนกัน) เทวดาก็ตอบว่าช่วย ข้าพเจ้าถามย้ำอีกว่าช่วยทุกคนไหม ท่านก็ตอบว่าทุกคน ข้าพเจ้าก็พลอยยินดีไปกับพวกเขาด้วย พอถามถึงตัวเอง กลับไม่รอดแฮะเพราะหมดอายุขัยเสียก่อน แต่ถ้าจะอยู่ต่อต้องมาตั้งสัจจะกันใหม่ แบบว่าถ้าจะอยู่ต้องมีงานทำ แต่ต้องเป็นงานที่เป็นประโยชน์กับผู้อื่นและศาสนาเท่านั้น ต้องไม่ใช่งานที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนตน อันนี้ขอคิดดูก่อนนะ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ถามชื่อเทวดา เพราะไม่อยากรู้ ถึงรู้ชื่อข้าพเจ้าก็คงจะไม่รู้จักอีก ก็เลยไม่ถาม

ข้าพเจ้าถามต่อไป ว่าแล้วท่านจะช่วยคนอื่น ๆ ด้วยไหม ท่านก็ตอบว่าช่วย ข้าพเจ้าถามว่าถ้าช่วยพวกเขาไปแล้วท่านจะนำพวกเขาไปพักไว้ที่ไหน (แหงล่ะ มันคงไม่ใช่บนสวรรค์เป็นแน่) ท่านตอบสถานที่ให้ทราบ แต่ข้าพเจ้าจะไม่ขอเฉลยในที่นี้แต่หลายท่านอาจพอทราบมาบ้างแล้ว ขอให้สถานที่แห่งนั้นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่จะถูกนำไปพักไว้ที่นั่นสมควรจะเป็นผู้ที่รอดเท่านั้น ท่านผู้อ่านไม่ต้องกังวลไปว่าท่านจะเป็นผู้รอดหรือไม่ เพราะนี่คือกระบวนการคัดสรรคนดี คนดีจะลอยคออยู่ได้โดยที่ว่ายน้ำไม่เป็น และไม่จำเป็นต้องออกแรงว่ายให้เหนื่อยเปล่า ส่วนคนชั่ว(ไม่รักษาศีล) จะจมทันทีแม้ว่าท่านจะว่ายน้ำเป็น และแม้ว่าท่านจะออกแรงว่ายสักเท่าไรก็ไม่เป็นผล น้ำจะดูดท่านลงข้างล่าง ก็เลยทำให้เข้าใจในทันที และขอสรุปให้ทราบดังนี้ค่ะ

1. สวรรค์จะช่วยคนดีให้รอดพ้นอันตราย แต่มีเงื่อนไขว่าท่านต้องเป็นคนที่หนึ่งไม่หมดอายุขัย สองเป็นคนดี คือรักษาศีลห้าเป็นเบื้องต้น สำหรับคนที่ชอบให้ทาน และภาวนา แต่ไม่รักษาศีล ก็ต้องวัดดวงกันอีกที เพราะเมื่อท่านปราศจาก “สัจจะ” ในการยกเว้นการเบียดเบียนทั้งห้าข้อ ท่านอาจจะไม่รอดแต่ที่ไปของท่านก็ไม่เลว อย่างน้อยก็ขึ้นสวรรค์หรือพรหม

2. สิ่งที่ท่านจะนำติดตัวไปได้มีเพียงย่ามใบเดียวเท่านั้น ควรจะเป็นย่ามที่มีซิป เป้หรือกระเป๋าถ้าไม่มัดติดตัวให้แน่นหนา มันจะหลุดกระจุยกระจายหมด และการสะพายย่ามต้องสะพายเฉียง

3. สิ่งของที่ควรจะอยู่ในย่าม คือ เมล็ดพันธุ์พืชต่าง ๆ ที่ท่านชอบรับประทาน นอกนั้นไม่มีประโยชน์ จะรอบคอบอีกหน่อยก็อาจจะเอาน้ำดื่มใส่ขวดเล็ก ๆ ไว้ในย่ามสักขวด ไฟแช็ก กันน้ำได้ยิ่งดี และมีดพก จะเป็นมีดพับหรือมีดเข้าฝักอย่างไรก็แล้วแต่ที่ลงย่ามได้ เชือกสักเส้นก็ดี และแถมอีกนิดรองเท้าแตะเบา ๆ พอช่วยให้เดินได้บนป่าเขาลำเนาไพร

4. ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีเพื่อนร่วมทาง เพราะเรือแต่ละลำจะนำท่านไปเป็นกลุ่ม ๆ ไปทำความรู้จักกันที่โน่นก็แล้วกันนะคะ ส่วนคนที่พลัดพรากจากคนที่รักก็ไม่ต้องห่วง ถ้า ภรรยา/สามี พ่อ แม่ ลูก หลาน ญาติ พี่น้อง และเพื่อนของท่านได้รับการช่วยเหลือก็อาจจะไปเจอกันที่โน่น เป็นการผจญภัยที่น่าอัศจรรย์จริงเชียว

5. คลื่นยักษ์จะเข้าโจมตีเมืองหลวงในช่วงเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม 2555

ข้อ สรุปที่ข้าพเจ้านำเสนอให้ทราบ เหมาะสำหรับผู้ที่คิดจะปักหลักอยู่ในพื้นที่ สู้จนวินาทีสุดท้าย ส่วนท่านที่มีกลุ่มและมีเป้าหมายชัดเจนแล้ว ท่านก็คงจะอพยพไปก่อนที่ภัยจะมา คนที่เหลืออยู่ก็จะเป็นกลุ่มคนไม่รู้ กับกลุ่มคนที่รู้แต่ไม่ไป คือยอมตายว่างั้นเถอะ ก็สุดแท้แต่ท่านจะใช้สติปัญญาพิจารณาก็แล้วกันนะคะ ขอให้ทุกท่านโชคดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น