กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย (เขากะลา)

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ระบบ/เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย อะไรก็เกิดขึ้นได้ อย่าตีกรอบ



เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย อะไรก็เกิดขึ้นได้ อย่าตีกรอบ

สำหรับ สมาชิกของกลุ่มประสานงานฯ ในรุ่นก่อน ๆ นี้ ได้เคยพบเจอ ได้เคยมีประสบการณ์ต่าง ๆ ทั้งในเรื่องของเทคโนโลยีไฮเทคที่ล้ำยุคมากกว่าของมนุษย์โลกมากนัก พบเจอทั้งเรื่องมิติ เรื่องอุปกรณ์ เรื่องราวแปลก ๆ มากมาย จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาของคนในกลุ่มไปแล้ว จึงได้มีการบอกกล่าวเรื่องราว ประสบการณ์ การพบเจอ และพิสูจน์ถึงความมีอยู่จริงของเทคโนโลยีจากต่างดาวนั้น ไว้ให้บุคคลรุ่นต่อ ๆ ไปได้รับทราบ และนำไปเทียบเคียง

สมาชิกเขากะลา รุ่น 1 รุ่น 2 หรือรุ่น 3 ต่างได้พบเจอ ได้รับรู้ ได้สัมผัสกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ดูเหมือนว่า น่ามหัศจรรย์ น่าพิศวง น่าแปลกใจ น่าสงสัย หรือน่าค้นหา กันมาแล้วทั้งนั้น

คำต่าง ๆ ที่ระบบได้กล่าวไว้ ต้องนำมาใช้ให้ทัน จะได้ไม่...จริงตาปลิ้น...ไปกับความมหัศจรรย์เหล่านั้น เพราะเทคโนโลยีของโลกมนุษย์ยังเหมือนของเด็ก ๆ ในโลกของเขา

ดัง นั้น การข้ามมิติ การย้อนเวลา การเห็นภาพไปมา หรือรับรู้ทางเทคโนโลยี มีให้เห็นจนเป็นปกติแล้ว จนกลายเป็นศูนย์รวมความแปลกไปแล้ว

แต่ไม่ว่าจะแปลกอย่างไร น่าพิศวงงงงวยแค่ไหน ระบบก็ไม่เคยให้หวั่นไหวไปกับสิ่งที่น่าอยากได้เหล่านั้น แค่รู้ เข้าใจ แล้วก็ปล่อยวางให้ได้ เช่นเดิม

ซึ่งความจริงแล้ว เทคโนโลยีไม่ว่าจะก้าวล้ำนำยุคไปสักแค่ไหน มันก็เป็นเพียงแค่เอาธรรมชาติมาปรับแต่งให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่า นั้น

เพียงแต่ว่า มนุษย์ต่างดาวเขาก้าวล้ำไปในในอนาคตมากกว่าเรา เขาจึงรู้วิธีเอาธรรมชาติมาปรับแต่ง ทำใช้งานได้มากกว่าเรา แค่นั้น

เพียงแค่เรายังคิดไปไม่ถึง จึงเหมือนมหัศจรรย์ น่าแปลกใจ ทำได้ยังไง

ถ้าจะเปรียบเทียบง่าย ๆ


เหมือน ชาวบ้านธรรมดา ที่เห็นแต่ไร่แต่นา ถ้าได้เข้าไปเห็นการทำงานในองค์การนาซ่า ก็คงจะตื่นตาตื่นใจ ทุกอย่างไฮเทคไปหมด เห็นทุกอย่างน่าอัศจรรย์ใจไปหมด

เห็นมนุษย์ออกไปลอยตัวในอากาศได้ ก็ประหลาดใจสุดขีดแล้ว

แต่คนในนาซ่า เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา ไม่เห็นน่าตื่นเต้นอะไร

เทคโนโลยีไฮเทคอีกเยอะแยะมากมาย ที่ไม่เคยพบเคยเห็นนั้น จะต้องตื่นตาตื่นใจกันไปอีกมากน้อยเท่าไรนะ

เทคโนโลยีเจริญไปถึงแค่ไหน ความมหัศจรรย์ใจก็จะหายไปแค่นั้น

แค่คุยกันได้ข้ามประเทศ แค่เห็นหน้ากันผ่านโทรศัพท์มือถือ ก็มหัศจรรย์สุด ๆ แล้ว ในสมัยกรุงศรีอยุธยา

แต่ว่าไม่ได้เป็นความมหัศจรรย์ในยุคปัจจุบันนี้


ถ้า ต้องอยู่กับสิ่งที่คนทั่วไปคิดว่าเป็นความมหัศจรรย์ ผู้พบเจอ....ผู้ต้องใช้เทคโนโลยีเหล่านั้น...ก็ต้องให้รู้เท่าทัน จึงจะไม่ยึดมั่นถือมั่นในอัตตา



คนเขากะลา ที่ต้องอยู่กับอุปกรณ์ไฮเทคมากมาย เทคโนโลยีที่ก้าวไกลจนนึกไม่ถึงนั้น มีอะไรอยู่บ้าง ก็คงบอกไม่ได้ทั้งหมด

ดังนั้น การทำตัวอย่างให้ได้รู้ ได้เห็น เพื่อไม่ให้จริงตาปลิ้นจนเกินไปนั้น ระบบจึงถือเป็นเรื่องจำเป็น...สำหรับมนุษย์โลก

ผู้ที่ผ่านมาในแต่ละรุ่น ก็จะได้รับรู้ตัวอย่างในแต่ละมุม แต่ละเหตุการณ์ จนเห็นว่า เป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว

อ๋อ...อย่างนี้ก็มี อ๋อ...อย่างนี้ก็มี

รู้เข้าใจ แล้วก็วางลงไว้อย่างเดิม อย่าไปแบก อย่าไปยึด อย่าไปตกใจ

เพราะเหตุการณ์ความวุ่นวายในอนาคตต่อไปข้างหน้า จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีล้ำยุคเหล่านี้ในสิ่งที่จำเป็น

วันนี้ จึงขอนำตัวอย่างบางเรื่อง ที่ได้เคยมีการบอกเล่าไว้แล้ว ที่ได้พบได้เห็นมาแล้วหลายปีนั้น มาเป็นตัวอย่างให้รุ่นใหม่ ๆ ได้รับรู้ ได้ทำความเข้าใจ จะได้ไม่ไปจินตนาการให้มากมาย เกินจำเป็น

ในเรื่องของโทรศัพท์ ในเรื่องพลังงานไฟฟ้า ในเรื่องของมิติ เรื่องของเวลา ซึ่งมีมากมายหลายตัวอย่าง

ดัง นั้น ในวันนี้ สิ่งที่พี่สุดใจและกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) มีประสบการณ์มากมายที่ได้พบเจอมาแล้วนั้น จะนำมาเล่าให้ฟังในบางเรื่องเพื่อเป็นการเทียบเคียงนะคะ

สำหรับเรื่องเทคโนโลยีที่พบเจอนั้น ส่วนมากก็จะเป็นเครื่องไฟฟ้าเครื่องโทรศัพท์ เป็นส่วนใหญ่ ที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้

อย่าง เครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุคเครื่องประจำ ที่พี่สุดใจใช้สำหรับโพสข้อความ เมื่อใช้เสร็จแล้ว ก็ปิดเครื่อง ถอดปลั๊กไฟออกหมด แต่ตอนกลางคืนเครื่องก็จะเปิดขึ้นมาเอง เข้าหน้าจอเองเปลี่ยนไปเรื่อย ทั้ง ๆ ที่แบตเตอรี่ก็ไม่มี ไฟก็ไม่ได้เสียบ เป็นบ่อย ๆ จนเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้สนใจเท่าไรปล่อยไปจนเช้า ตื่นเมื่อไร ปิดเมื่อนั้น

เครื่อง โทรศัพท์ ปิดเครื่องก่อนนอนกลางดึกก็เปิดเอง มีเสียงเรียกเข้าแต่ไม่มีคนโทรเข้ามา หรือเราปิดเครื่องไว้พอมีคนโทรเข้ามาหา เครื่องก็เปิดเองได้...ให้รับสาย จนเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้สนใจเท่าไรเพราะจะเปิดเอง ปิดเองตลอดเวลา

เรียกว่า อยู่กับความแปลก มีเรื่องมากมายให้เห็นทุกวัน

แต่ ที่ไม่ค่อยแปลกใจเท่าใดนักนั้น.....เพราะในช่วงการฝึกได้มีการทำตัวอย่างให้ เห็นอยู่เสมอ เพื่อว่าในเวลาข้างหน้าผู้อื่นที่ต้องพบเจอกับเรื่องต่าง ๆ แล้วสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้นจะได้มีตัวอย่างเพื่อบอกกับท่านอื่น ๆ ได้

มนุษย์ต่างดาวเคยบอกว่าไม่ต้องกังวลว่าข่าวสารที่จะติดต่อกับผู้อื่นนั้น จะติดต่อกันไม่ได้เพราะเขาจะเป็นผู้เชื่อมต่อให้เองในกรณีจำเป็น เราก็ได้แต่ฟังไว้แต่เมื่อเริ่มมีตัวอย่างมากขึ้น เราก็เริ่มรู้ว่า มันเป็นไปได้จริงๆ


ใน ช่วงการฝึก ผู้รับผิดชอบแผนกทั้ง 4 ท่าน คุณวาสนา คุณสุดใจ คุณสมจิตรและคุณโสภา ยังถูกฝึกเฉพาะกิจ สำหรับผู้รับผิดชอบแผนก 4 คน ในขณะที่ผู้ฝึกท่านอื่นๆ เสร็จสิ้นการฝึกแล้ว แยกย้ายกันไปทำงานยังจุดต่าง ๆและตัวอย่างนี้เกิดขึ้นในช่วงประมาณปี 2546 ที่สันคูนครสวรรค์

ระบบ สั่งเรียกประชุม 4 คน ประมาณ ห้าทุ่มครึ่ง เมื่อมาพร้อมกันแล้วนั่งเป็นวงกลม และมีการประชุมเรื่องอื่น ๆ เล็กน้อย อีก 10 นาทีจะเที่ยงคืนคุณวาสนาก็ได้หยิบโทรศัพท์ซึ่งมีซิมวันทูคอล และหมายเลขเก่าที่ไช้มาตลอดมาวางกลางวง พร้อมวางกล่องซิมโทรศัพท์ที่เพิ่งซื้อมาใหม่เมื่อเย็นนี้ให้เขาเปิดเบอร์มา เลย ยี่ห้อ ดีแทค ไว้ข้าง ๆ โทรศัพท์

พอเที่ยงคืนตรง ระบบสั่งให้ถอดซิมโทรศัพท์อันเดิมออก
แล้วให้ใส่ซิมดีแทคอันใหม่เข้าไป
โดยที่ทุกคนยังไม่รู้เลยว่าเบอร์ใหม่นี้หมายเลขอะไร ?


ทุกคนเป็นพยานร่วมกัน คือถอดซิมเก่าวันทูคอลหมายเลขที่ใช้ประจำออก แล้วนำไปใส่ไว้ในกระดาษ ห่อไว้อย่างดีและให้พี่สุดใจเป็นคนไปเก็บไว้ในกระเป๋าที่ห้อยไว้ในห้อง

หลังจากนั้นก็ใส่ซิมดีแทค เข้าไปแทน บอกว่าเบอร์นี้ยังไม่มีใครรู้เบอร์มาก่อนเลย รวมทั้งเราสี่คนด้วย ให้เป็นพยานร่วมกันแล้วเลิกประชุม แยกย้ายกันไปนอน

พอ ตอนเช้าประมาณสิบโมงเช้ามีเสียงโทรศัพท์เรียกเข้ามาเครื่องที่ถูกเปลี่ยนซิ มแล้ว เราก็มองหน้ากันว่าใครจะโทรเข้ามาเป็นคนแรกนะ เพราะเบอร์ใหม่ยังไม่ได้บอกใครเลย คุณวาสนาเป็นผู้รับสายเราสามคนเป็นพยานคอยฟังอยู่ด้วย

ซึ่งคนที่โทร มาก็เป็นหลานสาวออกไปตลาดแล้วให้ไปรับด้วย ซึ่งคุณวาสนาก็ถามว่า รู้เบอร์นี้ได้อย่างไรหลานสาวก็บอกว่า อ้าว ก็เบอร์ที่น้าใช้อยู่ตั้งเป็นปีแล้ว หนูโทรเป็นประจำน่ะซิทำไมจะไม่รู้ ก็เลยถามว่าเบอร์อะไรลองบอกมาหลานก็บอกเบอร์เดิมที่ได้ถอดซิมออกไปแล้วนั่น เอง

คุณวาสนาจึงให้ไปหยิบซิมเดิมที่ให้ไปเก็บไว้ออกมา พี่สุดใจจึงไปเอาจากในกระเป๋าในห้องทุกคนก็อยู่พร้อมกันเพื่อดูว่าซิมยัง อยู่หรือไม่ พี่สุดใจแกะห่อกระดาษออก ปรากฏว่าซิมวันทูคอล หมายเลขเดิม ยังอยู่ในห่อกระดาษนั่นเอง

แต่ผู้ที่โทรเข้ามาในซิมเดิมหมายเลขเดิม ก็ถูกโอนเข้าไปในซิมใหม่ หมายเลขใหม่ทั้งหมด
ซึ่งในความเป็นจริง ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะซิมคนละอัน เป็นคนละเบอร์ แถมยังเป็นคนละระบบอีกด้วย

แต่อะไรก็เป็นไปได้ ในระบบต่างดาว

หลังจากนั้น ก็มีโทรศัพท์เพื่อนคุณวาสนามาอีก 2 - 3 ครั้งก็โทรมาเบอร์เดิมทุกคน แต่ก็ได้ไปติดในหมายเลขใหม่ โดยมีการโอนย้ายให้เสร็จ

โทรศัพท์คนละหมายเลข คนละระบบ และซิมเดิม เบอร์เดิม ก็ถืออยู่ในมือย่อมไม่มีโอกาสโทรเข้าเบอร์เก่าได้เลย

ระบบ ให้ใช้หมายเลขนี้อยู่หลายวันเหมือนกันซึ่งมีผู้ที่โทรเข้ามาหลายสิบครั้ง นั้น โทรเบอร์เก่าทั้งสิ้นและหลังจากนั้นระบบก็ให้ถอดซิมใหม่ออกเอาซิมเก่าไปใส่ ไว้ตามเดิม

และ ตัวอย่างนี้ได้มีการทำให้เห็น เมื่อปลายเดือนตุลาคม 2550 กับคุณ สุชนพนธ์ มณีเลิศ (คุณเอ๊ด) จากเชียงใหม่ ซึ่งเป็น webmaster.palungjit.com เวอร์ชั่นเดิม และ UFOatKAOKALA.com

พี่สุดใจ ไม่ได้ติดต่อกับคุณเอ๊ด มาปีกว่าแล้วหลังจากเวปไซด์ได้ปิดไป แต่ตอนนี้ต้องการที่จะนำเวปไซด์ทั้งหมดของเขากะลามาไว้รวมกันในเวปไซ ด์www.UFOThailand.org จึงได้ค้นเบอร์โทรศัพท์ที่ได้เคยติดต่อกันไว้เมื่อปี 2548 เพื่อโทรหาคุณเอ๊ดค้นเจอเบอร์โทร 089-xxxxxxx จึงได้โทรไปหา


แฟนคุณเอ๊ดรับสาย และส่งต่อคุณเอ๊ดก็ได้สนทนากันหลายเรื่อง และในช่วงท้าย ๆ การสนทนาคุณเอ๊ดถามว่า

พี่สุดใจรู้เบอร์ผมได้ยังไง
อ้าว ก็เอ็ดให้พี่สุดใจไว้ตั้งนานแล้วตั้งแต่ปี 48 ที่คุยกันเรื่องเวปไซด์ไงล่ะ


เบอร์นั้นผมไม่ได้ใช้แล้วเพราะผมย้ายบ้านแล้วสัญญาณไม่มี ผมเลยเปลี่ยนระบบใหม่ และก็ได้เบอร์ใหม่มา เบอร์นี้ผมเพิ่งเปลี่ยนเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเอง มีคนที่บ้านผมรู้แค่ 3 คนเองผมก็งงว่า พี่สุดใจรู้เบอร์ผมได้ยังไง

พี่ก็โทรเบอร์เก่า 089-xxxxxxx ที่เคยให้ไว้น่ะ

เบอร์ที่ผมกำลังพูดกับพี่อยู่นี่ เป็นเบอร์ 086-xxxxxxx นะครับ ส่วนเบอร์เก่าผมยังไม่ได้คืนเบอร์ แต่ถอดซิมห่อกระดาษไว้ที่บ้าน

พี่โทรเข้าเบอร์เก่าแล้วมาเข้าเบอร์นี้ได้ยังไง?

พี่ สุดใจก็เลยเล่าเรื่องการถอดซิมเก่าออก ใส่ซิมใหม่และต่างระบบกันแต่คนที่โทรเข้ามาเบอร์เก่า จะถูกลิงค์เข้ามาเบอร์ใหม่ เล่าให้คุณเอ๊ดฟังซึ่งคุณเอ๊ดก็ยังคงตื่นเต้น เพราะเจอกับตัวเอง และกลับไปบ้าน ก็ยังโทรมาบอกว่าซิมเก่ายังห่อกระดาษอยู่ที่บ้านเลยก็เป็นเรื่องที่เพิ่ง ผ่านมาเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง

เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ระบบบอกไว้ก่อนแล้วว่า เทคโนโลยีเขาเชื่อมต่อให้ได้ไม่ต้องกลัวว่าจะพลาดการติดต่อข่าวสาร เพราะแบตหมดก็ชาร์ทให้ได้ ซิมหายก็เชื่อมต่อให้ได้ ปิดเครื่องก็เปิดได้ และกดเบอร์อื่น ก็ลิงค์มาให้เบอร์นี้ก็ทำได้

มีตัวอย่างหลายเรื่อง เกี่ยวกับโทรศัพท์ จะไปรวบรวมมาเล่าให้ได้รับทราบในโอกาสต่อไปค่ะ
...

เทคโนโลยี ของมนุษย์โลกเป็นสิ่งที่เทียบไม่ได้กับความเจริญของเขา ดังนั้นบางครั้งเราอาจไม่เข้าใจได้ทั้งหมด ว่ามนุษย์ต่างดาวทำได้อย่างไรเพราะอาจเป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานแบบอื่นที่ เรายังไปไม่ถึงก็ได้

พี่สุดใจได้เคยเล่าไปแล้วในกระทู้พลังจิตก่อน หน้านี้ ก็คือเรื่องที่คุณรวิชย์ ซึ่งเป็นวิศวกรได้พบเจอกับเหตุการณ์ที่น่าแปลกใจหลายเรื่อง ก็คือ ไฟฟ้าภายในบ้านจะเปิดเองปิดเองได้ ขนาดถอดปลั๊กไฟในห้องออกทั้งหมด ไฟก็ติดเองได้ ถอดปลั๊กไฟทีวีออกแล้วทีวีก็เปิดเองได้ โดยไม่ได้เสียบไฟฟ้าเลย

คุณรวิชย์เป็นนักวิทยาศาสตร์ก็พยายามคิดว่า น่าจะมีไฟฟ้าสถิตย์จากที่ไหนสักแห่งลงมาในห้องก็พยายามจะหาสาเหตุให้เป็น วิทยาศาสตร์ แต่ล่าสุด นอนเล่นอยู่บนพื้นกลางห้องปลั๊กไฟยาว ๆ ที่อยู่ปลายเท้า ก็ลอยขึ้นจากพื้นอย่างช้า ๆ ลอยขึ้นไปในอากาศก็นอนมองดูพร้อมหาสาเหตุว่าลอยขึ้นไปได้ยังไง สูงสักประมาณ 50 เซ็นติเมตรก็ร่วงลงมากับพื้นอย่างเดิม

ซึ่ง ตัวอย่างในรุ่นที่ 2 เกี่ยวกับพลังงานทดแทนไฟฟ้านี้ อาจารย์จักษวัชร์ ท่านก็ได้พบเจอด้วตัวเอง คือใช้คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ ที่ไม่มีเครื่องสำรองไฟ แต่เปิดคอมใช้มาได้ครึ่งวัน พอคอมดับ....เลยสำรวจสายไฟดูว่า ทำไมไฟเดินไม่สะดวก ปรากฏว่าไม่ได้เสียบปลั๊กไฟคอมมาตั้งแต่ทีแรก (เรื่องเล่าจากอาจารย์จักษวัชร์)



จาก จุดนั้นเรื่อยมา คุณรวิชญ์ ก็พบเจอเรื่องแปลก ๆ หลายอย่างทั้งเรื่องมิติ ขับรถเข้าไปในมิติ ระยะทาง 35 กิโลเมตร จากอ่างทอง ไปสิงห์บุรีสายเอเซียนี่แหละ ขับทั้งคืนยังไม่ถึง ไปถึงตอนเช้า เข้าไปมิติไหนก็ไม่รู้กว่าจะออกมาก็เช้าพอดี จึงถึงสิงห์บุรี จึงเริ่มค้นหาว่าสาเหตุมาจากไหนก็ยังไม่ทราบคำตอบ จึงสงสัยเรื่อยมา

จน มาพบพี่สุดใจเมื่องานวิทยาศาสตร์ทางจิตนานาชาติครั้งที่ 11 เมื่อปลายปีที่ผ่านมา และสนใจที่พี่สุดใจบรรยายเรื่อง "เครื่องมือของมนุษย์ต่างดาว"หลังจากได้สอบถามรายละเอียด ในสิ่งที่พี่สุดใจและกลุ่มได้พบมาก็บอกว่าคล้ายกับที่ท่านได้สัมผัสมาเช่น กัน จึงได้เดินทางไปสัมผัสกับพลังงานจากต่างดาวที่เขากะลา...นครสวรรค์มาแล้ว.

ใน ส่วนเรื่องราวของเขากะลารุ่น 2 และรุ่น 3 ได้มีการพบเจอเรื่องราวแปลก ๆ มากมาย ทั้งเรื่องอุปกรณ์เทคโนโลยี เรื่องโทรศัพท์ เรื่องมิติ เรื่องการย้อนเวลา การส่งภาพ การเห็นต่างมิติ และเรื่องแปลก ๆ อีกมากมาย

ซึ่ง ก่อนนี้ อาจารย์ทั้งหลาย ก็จริงตาปลิ้นกันมาระยะหนึ่ง จนเมื่อเห็นมากเข้า รู้มากเข้า ก็เลยต้องเอาประโยชน์ตนดีกว่า คือปล่อยวางทั้งขันธ์ 5 และอุปกรณ์ไฮเทคเหล่านั้นแต่ยิ่งปล่อยวางมากเท่าใด อุปกรณ์ต่างดาว กลับมีประสิทธิภาพใช้งานได้มากขึ้นเท่านั้น

สังเกตุให้ดี ในตอนนี้ หลายท่านกำลังถูกระบบทดสอบ ในบางเรื่องสำหรับบางท่านอยู่

เมื่อเป็นนักเรียน เรียนแล้วก็ต้องสอบ ต้อง test


เมื่อกระทบกับสถานการณ์ใด .... อุปาทานจะวิ่งเข้าไป...ห่วงใยตัวตน...โดยทันที

ความกลัว ความห่วงใยตัวตน เป็นเรื่องธรรมดาของขันธ์ 5 เรา เรา ท่าน ท่าน นี้

เพราะอวิชชา เห็นผิดตั้งแต่ต้น ว่านี่ตัวเรา นี่เรา นี่ของเรา

เมื่อมีตัวเรา.....จึงมีความห่วงใยของตัวตน

เมื่อรับรู้สิ่งใด ที่คิดว่าน่ากลัว ก็จะอุปาทานทันทีว่า ตัวเราจะไม่ปลอดภัย

นี่คือธรรมชาติ เป็นเรื่องธรรมดาของอุปาทาน ที่มันเข้าใจผิดคิดว่ามีตัวมัน มันเลยกลัวว่าตัวมันจะไม่ปลอดภัย

ถูกขังที่ใด ๆ ยังมีวันออกได้ แต่ถูกขังไว้ในขันธ์ 5 ด้วยอวิชชา ถูกขังไว้ในตัวตน ไม่มีวันที่จะหลุดพ้นได้เลย

ความกลัวของตัวตน ของอุปาทานจะตีกรอบขังเราไว้ ความไม่รู้จริง จะกดไว้ไม่ให้เงยหน้าขึ้นมาเห็นแสงสว่างได้เลย

ถ้าสิ่งใดก็ตามมากระทบที่ขันธ์ 5 ความกลัวจะวิ่งเข้ามา แล้วประมวลผลว่า เราอยู่ในอันตราย

จะพกเงินมาก ก็กลัว โจรปล้น
จะไปตลาด ก็กลัวอุบัติเหตุ
จะกินอาหาร ก็กลัวสารพิษ
จะทำสิ่งใด ก็กลัวว่าตัวเราจะเป็นอันตราย


แม้ว่าเราจะทำในสิ่งที่สมควร ระมัดระวัง หรือดูแลในสิ่งที่เหมาะสมปลอดภัยแล้วก็ตาม

ความคิดมันก็ยังคงคิดกลัวอยู่ดี

นี่แหละ ความกลัว ที่ขังเรามาเนิ่นนานนับภพนับชาติไม่ถ้วน

และจะคงยังขังเราต่อไป อีกนับภพนับชาติไม่ถ้วนเช่นกัน

อย่าไปกลัว ความกลัวนั้น

นี่คือสิ่งที่ระบบได้บอกมา และทำให้เห็นว่า อย่าไปกลัวไอ้ความกลัวนั้น

ทำไมอย่าไปกลัว

เพราะความกลัว มันคือความคิด ที่มันคิดว่า มันกลัว

มันก็แค่คิดว่า ... เรากลัวคนขโมยเงิน เรากลัวรถคว่ำ เรากลัวไฟไหม้

แม้จะยังไม่ได้ออกไปไหน แต่ความคิดว่ากลัวนั้น มันก็หลอกกินได้ทั้งคืน


ลองมองย้อนกลับไปที่ต้นสายของความกลัว มันมาจากอะไร

มาจากความคิด มันคิดว่า มันกลัวนั่น กลัวนี่ กลัวเรื่องนั้น กลัวเรื่องนี้

แล้วเราก็เลยไปยึดว่าเราคิด ....ความกลัวนั้น..เลยกลายเป็นของเรา
ความทุกข์ ความกังวลก็เลยเป็นของเราไปด้วย


เรากลัวนั่น เรากลัวนี่

เหมือนเวลาเราจะเที่ยวสักหน่อย กลัวขโมยขึ้นบ้าน กลัวไฟไหม้ กลัวเกิดอุบัติเหตุ



ใช้สติเป็นตัวนำ จึงจะเห็น...ความคิด
ลองยิ้มให้มันสักนิด แล้วบอกว่า ฉันไม่กลัวสิ่งที่แกคิดหรอก

แกทำอะไรไม่ได้หรอก เพราะแกแค่คิด....ว่ากลัว



อย่าไปกลัว ... ไอ้ความกลัวนั้น

ไอ้ความคิดที่ผลิตคำว่า ... กลัว ออกมาหลอกเรา


ถ้ามันคิดคำว่า...กล้า...เท่าไรเท่ากัน ฉันสู้ยิบตา ไม่กลัวตาย


แล้วมันก็ผลิตคำต่าง ๆ มากมาย ทุกอย่างล้วนเป็นเหตุปัจจัยเก่าที่เราเคยยึดมาแล้วทั้งนั้น


เรากลัวงู .... เราเคยกลัวงู เมื่อเห็นงู มันก็ต้องกลัวตามการบันทึกของสัญญา แล้วปรุงแต่งออกมาว่ากลัว

นี่คือเหตุปัจจัยเก่า พอเห็นงู เราก็ต้องกลัวว่าเราจะต้องตายเพราะงูกัด ตีมันก่อน ก่อนที่มันจะกัดเรา

มันยังไม่ได้ทำอะไรเลย ยังเลื้อยอยู่ตั้งไกล แล้วมันก็กำลังจะเลื้อยเข้าป่าไปแล้ว

ไม่ได้ต้องตีมันก่อน เดี๋ยววันหลังมันจะมากัดเราตาย

ซึ่งวันหลังนั้น งูตัวนี้อาจจะไปอยู่ป่าไหนแล้วก็ไม่รู้

แต่ห่วงใยว่า ตัวเราจะไม่ปลอดภัย ตีมันก่อนดีกว่า


นี่คือความคิด ที่มันปรุงแต่งว่ากลัว ทั้ง ๆ ที่เห็นมันกำลังเลื้อยไปที่อื่น ทั้ง ๆ ที่ตัวเองยังปลอดภัยในวันนี้

แต่ความคิด ก็คิด...กลัว...เผื่อวันหน้า

แต่เพราะเรารู้ไม่เท่าทัน ว่าความคิดกลัวนั้น มันเป็นแค่ความคิด แต่ก็ทำไปเลยเพราะคิดว่าเรากลัว

คือไม่เห็นว่ามันเป็นความคิด ที่กำลังคิดว่า...กลัว

ไอ้ความกลัว...ความจริงมันไม่ได้เป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะมันแค่คิด

ถ้ามีสติ เห็นความคิด ก็จะไม่กลัวความคิด

แม้ว่าความคิด มันจะคิดว่ามันกลัวก็ตาม
ก็จะไม่กลัว ไอ้ความกลัวนั้น

เพราะรู้เท่าทันความคิดนั่นเอง

ข้อความจากระบบ อย่าไปกลัว ไอ้ความกลัวนั้น


อาจจะมีประโยชน์กับใครบางคน ที่กำลังถูกความคิดหลอกให้กลัวอยู่ในขณะนี้ค่ะ












ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น