กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย (เขากะลา)

วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ระบบ

ในความหลากหลายของงานระบบ ที่ต้องวางโครงการเพื่อช่วยเหลือมนุษย์โลกนั้น มิได้มีการเตรียมการเฉพาะมนุษย์เท่านั้น แต่มีการรับรู้ทั้ง 3 ภพ ทั้งดวงดาราอื่น ๆ ที่มาจากทั้งจักรวาลนี้ และต่างจักรวาล ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับงานช่วยเหลือภัยพิบัติในครั้งนี้ ซึ่งมีหลายครั้งที่ข้อมูลจากระบบต่างดาวได้เคยอธิบายไว้ ซึ่งขอนำบางส่วนมาให้รับทราบเพื่อเทียบเคียงในสิ่งที่กำลังสงสัยนั้น

มนุษย์ ต่างดาว ก็จะเทียบเคียงให้ฟังว่า เรื่องของภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้น จึงต้องมีผู้ที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือมนุษย์โลกในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเทพ เป็นพรหม เป็นเทวดา หรือเป็นจิตวิญญาณชั้นสูงใด ๆ ก็ตาม ที่ได้รับรู้และมีส่วนที่จะช่วยเหลือมนุษย์โลกให้เหลือรอดต่อไปนั้น ท่านก็ทำหน้าที่ของท่าน แต่ละแห่ง แต่ละจุด มีปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งหนึ่งที่เราควรจะรับทราบก็คือ

จิตวิญญาณนั้น ๆ ท่านได้ละสังขารกายเนื้อไปแล้ว ดังนั้น การที่จะช่วยเหลือมนุษย์โลกได้ จึงต้องใช้กายหยาบของมนุษย์บนโลก เป็นตัวขับเคลื่อนในการเตรียมการ การเตือนภัย การปฏิบัติการ การช่วยเหลือ โดยที่จิตวิญญาณนั้น ๆ ท่านจะเป็นผู้ชี้แนะ ให้ข้อมูล และแนะนำในเรื่องต่าง ๆ ที่มนุษย์ยังไม่อาจทราบได้

ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจ ที่มีการรวมกลุ่มกันขึ้นในหลายสถานที่ มีการเตรียมการเรื่องของการรับมือกับภัยพิบัติกระจายไปหลายแห่งทั่วประเทศ มีการปฏิบัติธรรม ฝึกจิตกันอย่างเข้มข้นในหลายจุด หลายสถานที่

ซึ่ง ในแต่ละสถานที่นั้น ก็จะได้รับการชี้แนะจากเทพ จากเทวดา จากพระปฏิบัติที่เป็นครูบาอาจารย์ ที่ท่านได้ละสังขารไปแล้ว ท่านได้บอกข้อมูลเรื่องของภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นให้รับรู้และให้เตรียม พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นให้เร่งปฏิบัติธรรม ปฏิบัติจิต ปฏิบัติสมาธิ เน้นการปล่อยวางแทบทั้งสิ้น

ดังนั้น ถ้ามองในมุมกว้างของภาพรวม จะเห็นได้ว่า เรื่องของภัยพิบัติเป็นเรื่องใหญ่ ที่ไม่ว่าผู้รู้ ที่จะอยู่ในภพภูมิใดก็ตาม ก็ยังมิอาจนิ่งเฉยอยู่ได้ แม้ท่านจะไม่มีกายเนื้อที่จะปฏิบัติการได้ด้วยตนเองก็ตาม

ดังนั้น จึงต้องเป็นหน้าที่ของมนุษย์ ที่ยังมีกายเนื้อ สามารถปฏิบัติงานได้จริงนั้น เป็นผู้ทำงาน เป็นผู้ดำเนินการตามขั้นตอนของมนุษย์ โดยบางแห่งเตรียมการเรื่องสร้างสถานที่หลบภัย บางแห่งเตรียมการเรื่องอุปกรณ์ บางแห่งให้ข้อมูลและข่าวสาร บางแห่งเน้นการปฏิบัติธรรม ฝึกสมาธิจิต ซึ่งแต่ละแห่งย่อมเตรียมการเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นทั้งสิ้น โดยมีผู้รู้ที่ไม่มีกายเนื้อ ท่านจะเป็นผู้ชี้แนะ ให้ข้อมูลข่าวสาร วิธีการเตรียมการ และนำพากลุ่มต่าง ๆ ไปยังจุดที่ปลอดภัยในเวลาที่คับขันนั้น

นี่คือการทำงานร่วมกัน ในงานใหญ่ที่มิได้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นงานของโลกใบนี้ งานเกี่ยวกับภัยพิบัติจึงต้องมีกลุ่มเล็ก กลุ่มน้อย กลุ่มย่อย กลุ่มใหญ่มากมายกระจายไปทั่วประเทศ ทั่วโลก และแต่ละกลุ่ม ก็จะวิธีการปฏิบัติไม่เหมือนกัน หลากหลายรูปแบบ ตามแต่ผู้รู้จะสื่อมาให้ปฏิบัติ แม้จะต่างรูปแบบ แต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือเรื่องของภัยพิบัติทั้งสิ้น คือมีการเตรียมการก่อนเกิด ขณะเกิด และหลังจากเกิดภัยพิบัติแล้ว

ก็คงพอมองภาพรวมของกลุ่มต่าง ๆ ที่กระจายเกิดขึ้นทั่วประเทศไทย หรือทั่วโลกได้บ้างแล้ว ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมการรูปแบบใด ปฏิบัติแบบไหน จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องทั้งสิ้น

มนุษย์ต่างดาว ...ก็ เป็นผู้รู้เรื่องของภัยพิบัติอีกกลุ่มหนึ่งเช่นกัน ที่มาทำหน้าที่เตรียมการเพื่อช่วยเหลือมนุษย์บนโลกใบนี้ แต่อาจจะแตกต่างไปบ้างตรงที่ มีทั้งกายละเอียด และยังมีกายเนื้อด้วย แต่ในขั้นปฏิบัติงานก็ต้องใช้กายมนุษย์โลกเป็นผู้ขับเคลื่อน เป็นผู้ปฏิบัติการสื่อสารกับมนุษย์ด้วยกัน เพราะมนุษย์ย่อมไว้ใจมนุษย์ด้วยกัน หากลงมาในรูปร่างของมนุษย์ต่างดาว ยากที่มนุษย์จะเข้าใจว่าเขามาเพื่อช่วยเหลือ

ดังนั้น จึงต้องเตรียมการจัดหากลุ่มบุคคลรองรับไว้ เพื่อส่งข้อมูลข่าวสารผ่านกลุ่มบุคคลเหล่านี้ที่ได้มีการวางไว้แล้ว ดังนั้นการเตรียมการจึงค่อนข้างซับซ้อน หลากหลาย เพราะต้องมีการฝึกหลายรูปแบบ ทั้งการปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าใจกฎของธรรมชาติ ฝึกสติ ฝึกสมาธิ เพื่อการปล่อยวาง ฝึกสื่อสารฯ เพื่อแยกข้อมูลที่มาจากต่างดาว และฝึกการประมวลพลังเพื่อรับรู้เทคโนโลยีไฮเทค ในรูปแบบพลังงานที่ใช้งานได้จริง ดังนั้น จึงต้องมีการเตรียมการฝึกล่วงหน้าหลายปี ก่อนที่จะเข้าสู่ระบบทำงานจริง

แต่ ทุกอย่างก็ไม่ได้แตกต่างไปจากกลุ่มอื่น ๆ ก็คือการทำงานเรื่องของภัยพิบัติเช่นเดียวกัน มีการเตรียมการเหมือนกัน และมีผู้รู้เรื่องของภัยพิบัติเป็นผู้ดำเนินการสื่อสารข้อมูลมาให้เหมือนกัน ดังนั้น จึงไม่ได้มีความแตกต่างกันในจุดมุ่งหมาย การที่แต่ละกลุ่มมาพบเจอ มาสนิทสนม มาช่วยเหลือซึ่งกันและกันในงานเกี่ยวกับภัยพิบัตินั้น จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง

ผู้ที่ทำงานเรื่องของภัยพิบัติ จึงต้องเปิดใจให้กว้าง มองให้เห็นในภาพรวม เพราะทุกกลุ่ม ทุกจุด การเตรียมการจะไม่มีผิด ไม่มีถูก จะไม่มีใครดีกว่าใคร จะไม่มีการเปรียบเทียบ เพราะเป็นงานคนละอย่าง คนละรูปแบบ

เหมือน เช่นเครื่องยนต์ ทุกชิ้นสำคัญหมด ลูกสูบ จานจ่าย เบรก คลัช ทุกอย่างสำคัญ แต่ถ้าไม่มีหัวเทียน รถก็วิ่งไม่ได้ หรือแม้กระทั่งน๊อต ถ้าไม่มีน๊อตยึดทุกอย่างเข้าด้วยกัน ก็หลุดเป็นชิ้น ๆ ใช้งานไม่ได้เท่าเทียมกัน ดังนั้น แม้แต่น๊อต ก็มีความสำคัญในงานของน๊อตเช่นกัน

การเตรียมการเรื่องภัยพิบัติก็ เช่นกัน จะมีความหลากหลาย จะมีการทำงานในรูปแบบที่ไม่เหมือนกันทั้งหมด เพียงแต่รับทราบไว้ว่ากลุ่มนี้เตรียมการเรื่องนี้ กลุ่มนี้ปฏิบัติอย่างนี้ กลุ่มนี้ช่วยเหลือด้านนี้ กลุ่มนี้สื่อสารด้านนี้ แล้วสิ่งที่ทุกกลุ่มดำเนินการเตรียมงานไว้จะมารวมกันเองเมื่อถึงเวลา

ก็ เป็นข้อมูลเพื่อให้มองเห็นภาพโดยรวมในมุมกว้างของเรื่องภัยพิบัติ ที่มนุษย์ต่างดาวได้สื่อสารข้อมูลมาให้ เพื่อที่เมื่อมีความเห็นถูกต้อง ก็จะลดการเปรียบเทียบว่า กลุ่มเราเตรียมการอย่างนี้ดีกว่ากลุ่มเขา กลุ่มนั้นสร้างสถานที่ใหญ่โตกว่ากลุ่มเรา กลุ่มเรามีคนมากกว่ากลุ่มเขา กลุ่มนั้นไม่เห็นเตรียมอะไรเลยรับข้อมูลอย่างเดียว กลุ่มนั้นฝึกอะไรไม่รู้จะรอดกันไหมเนี่ย

ถ้าเห็นผิด ความทุกข์ก็หาโอกาสหลอกกินได้ตลอดเวลา ถ้าเราเป็นโรงงานผลิตน๊อต เราก็ผลิตน๊อตของเราให้ดีที่สุด นั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ต้องไปสนใจว่าแล้วชิ้นส่วนตัวถังรถยนต์มันจะผลิตดีไหม ลูกสูบ เฟืองท้ายจะได้มาตรฐานหรือไม่ เพราะถึงห่วงไป เราก็ไม่ใช่ผู้ผลิตชิ้นส่วนเหล่านั้นอยู่ดี ทำน๊อตของเราให้ดีที่สุดนั่นแหละถูกต้องแล้ว เพราะเมื่อประกอบเป็นรถยนต์ขึ้นมา ชิ้นส่วนในโรงงานเราก็เป็นส่วนหนึ่งของรถยนต์คันนั้นและมีประสิทธิภาพเสีย ด้วย

ดังนั้น คนส่วนใหญ่ที่เถียงกันไม่จบไม่สิ้น ก็เพื่อจะบอกว่า ของฉันดีกว่าของเธอ ฝึกอย่างฉันดีกว่าฝึกอย่างเธอ ก็เพราะทุกคนตั้งอยู่ในความเห็นของตนเองว่า สิ่งที่เราทำดีที่สุด ถูกที่สุด นั่นเอง

ถ้ามาลองมองในมุมกว้างดูบ้าง ก็จะเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของแต่ละกลุ่ม แต่ละจุดที่ต้องเตรียมการไม่เหมือนกัน แต่ก็สามารถมาร่วมรับรู้ รับทราบ และประสานงานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกัน และหากข้อมูลใดมีประโยชน์ ก็สามารถนำมาวิเคราะห์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในเตรียมการนั้น ๆ ของแต่ละกลุ่มได้ เมื่อมองเช่นนี้ ก็จะไม่มีการแบ่งแยก เปรียบเทียบ ความคิดที่จะคอยยุแหย่ให้เกิดอคติกับกลุ่มต่าง ๆ ก็จะน้อยลง มองเห็นการทำงานของแต่ละกลุ่มด้วยความเข้าใจ ซึ่งก็เป็นการสร้างเกราะป้องกันความทุกข์จากความคิดได้ในระดับหนึ่งด้วย

ก็ด้วยความเห็นที่ว่า .... ทุกคนทำงานเดียวกัน คืองานเรื่องของภัยพิบัติ....นั่นเอง

ดัง นั้น ในส่วนของการเตรียมการส่วนอื่น ๆ กลุ่มอื่น ๆ ที่มีรูปแบบเฉพาะของกลุ่มนั้น ๆ พี่สุดใจคงไม่ขอกล่าวถึง เพราะเป็นการทำหน้าที่ที่ถูกต้องสำหรับกลุ่มงานเตรียมการเรื่องของภัยพิบัติ กลุ่มนั้น ๆ อยู่แล้ว แต่ก็คงขอกล่าวถึงโครงการเฉพาะกิจของระบบต่างดวงดาว ที่ได้มาเตรียมการวางโครงสร้างไว้ล่วงหน้านานแล้วเท่านั้น

เพราะใน ยุคนี้ เป็นยุคที่วิทยาศาสตร์เจริญมาก ดังนั้น การที่มนุษย์ต่างดาว จะนำสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาให้มนุษย์โลกได้รับรู้ในเรื่องของอุปกรณ์ในการช่วย เหลือนั้น อาจจะล้ำหน้าเกินกว่าที่มนุษย์จะเข้าใจได้ แต่ถึงหากบอกไปทั้งหมด มนุษย์ก็มิอาจเข้าใจได้อยู่ดี จึงต้องนำมาให้เห็นเฉพาะในสิ่งที่มนุษย์พอสามารถเทียบเคียงได้กับวิทยา ศาสตร์ที่มนุษย์เคยพบเจอมาแล้ว และพอที่จะนำไปพิจารณาดูว่า เป็นไปได้หรือไม่เท่านั้น

อย่าง เมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยา ต้องสู้รบกับพม่านั้น ในยุคที่วิทยาศาสตร์ยังไม่เจริญ ถ้ามีคนบอกว่า ไม่ต้องยกทัพไปรบกับพม่าหรอก เดี๋ยวจะเอาเครื่องบินไปทิ้งระเบิดตรงจุดที่ข้าศึกอยู่ก็ตายหมดแล้ว คนยุคนั้นก็คงมองหน้า แล้วคิดว่าบ้าหรือเปล่าเอาเรื่องไร้สาระมาพูด ก็เพราะเขาไม่สามารถนำสิ่งอื่นที่พบเจอมาเทียบเคียงได้ ถ้าแค่พูดถึงรถยนต์ที่มาใช้แทนเกวียนก็ยังนึกไม่ออกแล้ว จะให้คิดว่าเหล็กบินได้ ก็เหลือวิสัยที่จะนึก

แต่ถ้ามาในยุคนี้ เรื่องที่จะให้ยกทัพใช้ดาบไปสู้รบกัน ก็แทบจะนึกไม่ได้เหมือนกัน เพราะจะใช้แต่รถถัง เครื่องบินทิ้งระเบิด ยิงขีปนาวุธปรมณูข้ามประเทศด้วยซ้ำ นี่คือการพัฒนาเทคโนโลยีก้าวล้ำขึ้นไปเรื่อย ๆ จนแทบจะไม่มีขอบเขตจำกัดอยู่แล้ว ดังนั้น ใครที่ครอบครองเทคโนโลยี จึงมีอำนาจเหนือกว่าประเทศที่ไม่มีเทคโนโลยี โอกาสที่จะเบียดเบียน เอารัดเอาเปรียบประเทศด้อยกว่าย่อมมีอยู่มาก หากผู้นำประเทศนั้นไม่มีศีลธรรม จริยธรรมเพียงพอ

ดังนั้น การยกทัพไปรบกันด้วยดาบ ด้วยม้า ด้วยช้าง ก็ไม่มีให้เห็นอีกในยุคปัจจุบัน

ที่ กล่าวมานี้ ก็เพื่อที่จะให้ทราบว่า มนุษย์ต่างดาวที่มาบอกว่า หากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจะนำเทคโนโลยีมาให้ เพื่อให้มนุษย์โลกช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจานบินที่จะนำมาให้ใช้ในการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นใยแก้วกันรังสี ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ปลอดภัยในต่างมิติ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าปรับอุณหภูมิได้ อาหารในรูปแบบพลังงานเพื่อการดำรงชีพ หรือพลังงานในรูปแบบอื่น ๆ อุปกรณ์ที่ใช้ในการสื่อสารทำให้สามารถมองเห็นภาพสถานการณ์ต่าง ๆ ทั่วโลกได้ด้วยตาเนื้อ การเห็นล่วงหน้า การเห็นอดีต การเดินทางโดยผ่านมิติ หรือการเดินทะลุกำแพงสิ่งกีดขวางอื่น ๆ ได้ การเดินบนน้ำ การหายตัวด้วยการสลายมวลสาร ไปประกอบกันใหม่ยังจุดหมายปลายทาง เหมือนแฟ๊กซ์ของเรา หรือเดินบนน้ำ เดินในอากาศ เป็นไปได้ทั้งสิ้น แม้แต่การใช้พลังธรรมชาติรักษาอาการต่าง ๆ ให้หายโดยฉับพลัน หรืออุปกรณ์การเชื่อมต่อกระดูกของผู้ประสบภัยโดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นในยุคของภัยพิบัตินั้น หากได้รับการบอกกล่าวจากมนุษย์ต่างดาวเช่นนี้ ก็ย่อมเป็นเรื่องที่เหลือวิสัยที่มนุษย์จะเชื่อได้เช่นกัน

นั่นก็ เพราะว่า วิทยาศาสตร์ของเรายังไปไม่ถึง การเทียบเคียงจึงทำได้ยาก การที่จะเห็นว่านำเรื่องไร้สาระมากล่าวให้ฟัง จึงมีมากตามไปด้วย

เหมือน เราเจริญอยู่ตอนนี้ แล้วไปบอกคนสมัยก่อนว่า สามารถเดินทางจากเชียงใหม่มากรุงเทพฯ โดยใช้เวลา 1 - 2 ชั่วโมงเท่านั้น คนยุคนั้นเขาก็เชื่อเราไม่ได้เหมือนกัน เพราะเขาต้องเดินด้วยเท้าเป็นเวลานับเดือน นั่นก็ เพราะเขาไม่เคยเห็นเครื่องบิน ไม่เคยเห็นรถยนต์ เห็นเฉพาะช้าง กับม้าเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องทุ่นแรงนำพาไปได้ จึงเหลือวิสัยที่จะเทียบเคียง

แต่สิ่งที่คนสมัยนั้นคิดว่าเป็นไปไม่ ได้ นึกไม่ออก กลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของคนในสมัยนี้ไปแล้ว การเดินทางไป – กลับ กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ในวันเดียว ไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป เพราะอาศัยเครื่องทุ่นแรงที่เป็นเครื่องบิน หรือรถยนต์ ดังนั้นสิ่งที่เคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้ในสมัยนั้น ก็กลับเป็นไปได้ง่ายมากของคนสมัยนี้ เมื่อเวลาผ่านพ้นไปนั่นเอง

ก็ ไม่ต่างกับเราตอนนี้ เพราะมนุษย์ต่างดาว ที่มีความเจริญก้าวหน้าไปมากกว่าเราเป็นร้อยเท่า เขาได้พัฒนาเทคโนโลยีก้าวล้ำไปจนเรานึกไม่ถึง เมื่อเขาเดินทางผ่านมิติเวลา นำจานบินเข้าออกโลกใบนี้เป็นว่าเล่น เดี๋ยวมา เดี๋ยวกลับ โดยใช้ระยะเวลาไม่นานนั้น เราควรแปลกใจ และคิดว่าเป็นไปไม่ได้ .... จริง ๆ หรือ ?

เพราะก็คงไม่ต่างอะไรกับอีก 400 ปีข้างหน้า เราก็อาจจะพัฒนาไปถึงจุดนั้น และก็สามารถเดินทางข้ามมิติเวลาไปยังกาแลคซี่อื่น ๆ ได้เช่นกัน เพราะเมื่อถึงเวลานั้น คนรุ่นนั้นก็จะไม่แปลกใจ เพราะเป็นเรื่องปกติของเขา เหมือนกับเราที่ไม่แปลกใจ ที่มีเครื่องบินใช้ในปัจจุบัน

ดังนั้น มนุษย์ต่างดาว จึงต้องใช้เวลาในการที่จะค่อย ๆ เปิดเผยอุปกรณ์ทีละชิ้น ทำตัวอย่างให้เห็น นำมาให้ดู แล้วอธิบายเทียบเคียงกับวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันให้เข้าใจไปทีละเรื่อง ทีละเรื่อง จนมนุษย์ค่อย ๆ ทำความเข้าใจ ยอมรับ และทำความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีเหล่านั้น จนสามารถเข้าใจได้ว่า เทคโนโลยีเหล่านี้มีจริง และสามารถใช้งานได้จริงในเวลาที่เกิดภัยพิบัติขึ้น

เพราะ มนุษย์ต่างดาวมีความเข้าใจในสิ่งที่มนุษย์โลกยังไม่เข้าใจ เหมือนที่เราเคยมองคนสมัยก่อนที่เขายังไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน เขาไม่ได้มองว่ามีใครโง่ ใครฉลาด แต่เขามองด้วยความเข้าใจ ว่าวิวัฒนาการของมนุษย์โลกยังไปไม่ถึง นั่นเอง

ดังนั้น การที่จะต้องฝึกกลุ่มบุคคลมารองรับการเรียนรู้อุปกรณ์เหล่านี้ จึงเป็นเรื่องที่ต้องเตรียมการค่อนข้างซับซ้อน และเป็นการเข้าใจยากสำหรับคนโดยทั่วไป เพราะยังไม่มีสิ่งใดเทียบเคียงให้เห็นได้ ดังนั้นการ “ แจ้งเพื่อทราบ” จึงเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด เพราะเมื่อเหตุการณ์นั้นยังไม่เกิดขึ้น ท่านก็แค่รับทราบไว้เฉย ๆ หากเมื่อมีการปรากฏขึ้นจริงดังที่มนุษย์ต่างดาวได้เคยแจ้งเพื่อทราบไว้ใน เวลาที่เกิดวิกฤติการณ์ข้างหน้า ท่านจะได้ไม่แปลกใจ เพราะเขาได้แจ้งไว้นานแล้ว

ก็เป็นการบอกกล่าวในแผนงานส่วนหนึ่งของ โครงการ ที่กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) รับทราบมาจากระบบ ที่ถูกถ่ายทอดโดยมนุษย์จากดวงดาวอื่น ซึ่งรับผิดชอบในโครงการนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น