กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย (เขากะลา)

วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ระบบ 3

ดังนั้น จากการประเมินแล้วว่า มนุษย์ไม่อาจเข้าใจกลไกของระบบได้อย่างถูกต้อง ได้อย่างชัดแจ้ง ด้วยการมีกรอบความคิดที่ไม่อาจเปิดกว้างได้ หากสภาวะจิตไม่สามารถเข้าถึงกลไกของธรรมชาติได้อย่างแท้จริง

คือ สภาวะที่ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ เป็นกลไกของเหตุปัจจัยตามธรรมชาติ ที่ยังมีความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า ที่มันปรุงแต่งตามธรรมชาติอย่างนั้นเอง แต่ไปอุปาทานว่ามันเป็นตัวเรา เป็นของเรา มันไปยึดว่ามีตัวเราเสียแล้ว ทุกอย่างเลยแคบหมด แคบอยู่แค่ตัวเรา และของเราเท่านั้น และเห็นว่ามีตัวเขา มีของเขาทั้งหลายอยู่รอบตัว

ดังนั้น การแก่งแย่งชิงดี จึงเกิดขึ้น แย่งจากของเขามาเป็นของเรา ด้วยความเห็นผิด คิดว่ามีตัวเรานั่นเอง

แม้ พระพุทธองค์ ทรงตรัสรู้ในกฏธรรมชาติ กฏของจักรวาล แล้วมาตรัสสอน ในกฏของธรรมชาติ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันไม่มีอะไรที่เที่ยงเลย มันต้องแปรปรวน มันคือความทุกข์ที่บังคับบัญชาไม่ได้ และ เพราะมันไม่ได้เป็นตัวตนจริงๆ มันเป็นเพียงธรรมชาติ มันเป็นการปรุงแต่งไปตามเหตุปัจจัยนั้น ๆ นั่นเอง

พระพุทธองค์ทรง เห็นแก่นแท้ของธรรมชาติ ท่านก็หลุดพ้นจากอุปาทาน หลุดพ้นจากการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า เข้าสู่ธรรมชาติ ไม่ต้องเวียนมาเกิด มาตายอีกแล้ว

ท่านรู้ท่านเห็น และท่านก็ได้ตรัสสอนไว้ หากบุคคลใดทำตามที่ท่านตรัสสอน ตรงไปตรงมา ไม่เบี่ยงเบนไปทางหนึ่งทางใด

ก็ย่อมหลุดพ้นตามท่านได้เช่นกัน

ดัง นั้น เมื่อการช่วยเหลือภัยพิบัติในครั้งนี้ เป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องที่จะให้แต่ละบุคคลที่ยังมีความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตนอย่าง เข้มข้น มารับผิดชอบในงานระบบนั้น ย่อมยากอย่างยิ่ง
เพราะความมีอัตตา ความมีตัวตน ย่อมเห็นว่าเราดีกว่าเขา เขาดีกว่าเรา อยู่ตลอดเวลา

การที่จะสละด้วยความเข้าใจว่าไม่ได้มีผู้ให้ และมีผู้รับ มันเป็นธรรมชาติที่เกื้อกูลกันเท่านั้น ย่อมเข้าใจไม่ได้เลย

จึง ต้องมีการวางโครงการ คัดเลือกผู้ต้องร่วมงานกับระบบไว้ก่อน วางไว้ตามจุด แล้วมีการฝึกให้มีความเข้าใจในกลไกของธรรมชาติ ให้รู้ถึงกลไกของจักรวาล รู้ถึงที่มาที่ไปตามกลไกของธรรมชาติ

น่าแปลก ที่เราเป็นมนุษย์ เดินยืนนั่งนอนอยู่บนโลกใบนี้ ยังไม่รู้กลไกของขันธ์ห้าของตนเอง ได้ดีเท่ากับผู้รู้ที่อยู่ในจักรวาล ต้องมาชี้ให้เห็น มาทำให้ดู มาให้เรียนรู้เพื่อปล่อยวาง ให้ละการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่มันไม่ได้เป็นตัวตนของใคร ให้เข้าใจถึงธาตุต่างๆ สารเคมีที่มีอยู่เองตามธรรมชาติ ที่มันทำงานไปตามกลไกเกี่ยวเนื่องกับขันธ์ห้า

คือสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ แล้วตรัสสอนไว้

แต่เมื่อกาลเวลาที่ผ่านไป การที่จะเข้าใจและเห็นจริงตามนั้น มันจึงเริ่มพร่ามัว และไม่สามารถเข้าใจในกลไกของธรรมชาติได้อย่างแท้จริง

เรียกว่า มาเรียนรู้ขันธ์ห้า กับอุปาทานนั่นเอง

ดังนั้น จึงมีการวางแผน วางโครงการ แล้วเริ่มดำเนินการฝึกในรูปแบบต่าง ๆ ทั่วโลก โดยพร้อม ๆ กัน

แต่ต่างรูปแบบ ตามที่แต่ละพื้นที่ แต่ละประเทศ แต่ละสังคม จะสามารถเข้าใจได้

ถ้านับถือสิ่งใด ๆ ศรัทธาสิ่งใด ๆ และสามารถทำให้เชื่อได้ในพื้นที่นั้น ๆ

ก็จะมาในรูปแบบที่ประเทศนั้น ๆ กลุ่มชนนั้น ๆ สามารถเข้าใจได้

จึงจะประสานงานไปได้ในทั่วโลก ไม่แบ่งชนชั้น ไม่แบ่งประเทศ ไม่แบ่งกลุ่ม ไม่แบ่งชาติ ไม่แบ่งศาสนา

เพราะภัยพิบัติ เป็นเรื่องใหญ่ ไม่ได้เป็นการช่วยเหลือใครคนใดคนหนึ่ง ชาติใดชาติหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

แต่เป็นการช่วยเหลือกันตามธรรมชาติ ที่ทุกชาติ ทุกศาสนา

ย่อมมีสิทธิ์รอดจากภัยพิบัติได้เท่าเทียมกัน

หากท่านอยู่ในเงื่อนไขของจักรวาล

หรือเรียกว่า กรรม วิบากกรรม ของแต่ละท่านจะจัดสรรนั่นเอง


กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น