กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย (เขากะลา)

วันจันทร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2554

ข้อมูลของดาวโลกุกะตาปากะดิกอง

-มนุษย์ต่างดาวที่กลุ่มประสานงานเพื่อ การเตือนภัย(เขากะลา) ติดต่อสื่อสารด้วยนั้นมี 2 ดวงดาว เป็นหลัก คือดาวโลกุกะตะปากะดิกอง และ ดาวพลูโต

-ดาว โลกุกะตาปากะดิกองเป็นดาวดวงหนึ่งที่อยู่คนละจักรวาลกับเรา มีความเจริญทางจิตและวิทยาศาสตร์ควบคู่กันไป มีเทคโนโลยี่ที่ก้าวหน้าล้ำยุค เป็นมนุษย์ที่อยู่อีกจักรวาลหนึ่ง ซึ่งในวงโคจรของจักรวาลนั้น ก็มีหลายดวงดาว และดาวของเขาก็มีขนาดใหญ่เกือบ 3 เท่าของโลกเรา โลกของเขาหมุนรอบตัวเองวันหนึ่ง 60 ชั่วโมง

- ภูมิประเทศ เป็นดาวที่อยู่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์ จึงมีอากาศหนาวเย็น มนุษย์จากดาวโลกุกะตาฯ จึงต้องสวมใส่ชุดรัดรูปที่สามารถปรับอุณหภูมิได้ อุณหภูมิภายในชุดที่สวมใส่จะปรับเองตามความสูงขึ้น หรือลดลง ของอุณหภูมิภายนอก เพื่อคงสภาพอุณหภูมิภายในร่างกายให้คงที่

- บนดาวของเขา ก็มีภูมิประเทศคล้ายโลกเรา มีภูเขา มีแม่น้ำ มีทะเล แต่ไม่มีเรือ(เพราะยานฯของเขาแล่นบนน้ำได้) ไม่มีรถยนต์ ไม่มีรถไฟ ดังนั้นโลกของเขาจึงไม่มีมลพิษ ไม่ต้องมีถนนตัดผ่านให้วุ่นวาย แต่มีจุดจอดยานเป็นแห่งๆสำหรับขนส่งสิ่งของ

- ไม่มีทางเดินที่เป็นถนนสร้างยาวอย่างโลกของเรา แต่เขามีทางกระโดดซึ่งอยู่ห่างเป็นจุดๆ เพราะโลกของเขามีแรงดึงดูดน้อย จะเดินไม่ได้เพราะตัวเบา จึงต้องกระโดด เขากระโดดได้ไกลประมาณ 5 – 6 เมตร จึงสร้างจุดรองรับเป็นช่วงๆระยะห่างประมาณ 5 เมตร

- ในโลกของเขา ก็มีการเกิดภัยพิบัติเหมือนกัน ในช่วงของการเกิดมรสุม มีการเกิดพายุอย่างหนัก แต่จะไม่เกิดความเสียหาย กับทรัพย์สิน และชีวิต
เพราะเขาพักอยู่ในยานฯ เมื่อเกิดพายุเขาก็จะนำยานฯไปลอยอยู่ในอากาศข้างบนก่อน เมื่อพายุสงบ จึงขับยานฯ กลับลงมาจอด ส่วนที่พักที่อยู่บนพื้นโลกบนดาวนั้น ก็จะสร้างเป็นเพียงฐานสี่เหลี่ยมเตี้ยๆ โผล่ไว้เหนือพื้นดิน มีทางลงไปในใต้ดิน และเป็นที่สำหรับนำยานลงจอด จะมีทางลงไปใต้ดินด้านล่างซึ่งเป็นที่สำหรับพักอาศัยภายในครอบครัว
ซึ่งแต่ละครอบครัวจะมีสมาชิกไม่ เกิน 4 คน คือ พ่อ แม่ และมีลูกได้ไม่เกิน 2 คน ถ้ามีเกินกว่านั้นก็จะผิดกฏ จะต้องโดนไล่ออกจากจักรวาลนั้น
ข้อมูลของดาวพลูโต
“ดาวพลูโต” เป็นดาวที่อยู่ในระบบสุริยะจักรวาลของเรา เป็นดาวที่อยู่ห่างไกลมาก และมีอากาศที่หนาวเย็นติดลบหลายร้อยองศา

-มนุษย์ ที่อยู่บนดาวพลูโต มีอายุยืนหลายหมื่นปี มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของสมาธิมาก ซึ่งเขากล่าวว่า เพราะอายุยืนมาก และอยู่กับสมาธิตลอดเวลา ก็ย่อมต้องเชี่ยวชาญเป็นธรรมดา ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

- มนุษย์ที่อยู่บนดาวพลูโตนั้น จะอยู่ในกันรูปแบบของพลังงานเป็นส่วนใหญ่ คืออยู่ในสมาธิเป็นหลัก จึงไม่ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิที่หนาวเย็น กายหยาบก็มี ซึ่งประกอบด้วยธาตุที่เหมาะสมและทนได้กับสภาพอากาศของดาวนั้น และในการปฏิบัติภารกิจในแต่ละคราว เช่นเมื่อมาปฏิบัติภารกิจในโลกมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือเรื่องของภัยพิบัติ ก็จะใช้กายหยาบมาร่วมปฏิบัติงานด้วย


- “ ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต” เป็นผู้นำในการฝึกฯ บุคคลกลุ่มหนึ่งบนโลกมนุษย์ เพื่อรับการสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวอย่างมีประสิทธิภาพ และมุ่งเน้นเกี่ยวกับการยกระดับจิตใจของมนุษย์เป็นหลัก
ดังนั้น จึงได้มีการฝึกบุคคลกลุ่มหนึ่งในชื่อ กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ขึ้นมาจำนวนหนึ่ง ให้รับรู้ในระบบการทำงานร่วมกับมนุษย์ต่างดาว ให้เรียนรู้เรื่องเครื่องมือของมนุษย์ต่างดาว และมอบอุปกรณ์เทคโนโลยีให้ เพื่อที่จะนำไปช่วยเหลือมนุษย์โลกด้วยกัน
มนุษย์จากดาวพลูโต เชี่ยวชาญในเรื่องของมิติมาก จะมีการเดินทางผ่านมิติไปมา มีการเข้าออกมิติ เปิด ปิดมิติ ให้เห็นเป็นตัวอย่างอยู่เสมอ และยังนำมนุษย์เข้า-ออกมิติ โดยที่บุคคลนั้นไม่รู้ตัวเลยมาแล้วหลายครั้ง

- มีการนำตัวอย่าง เครื่องมือของมนุษย์ต่างดาว และอุปกรณ์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีจากต่างดาว มาให้เรียนรู้ มาให้ทดลองใช้ มาให้ทดสอบ
โดยนำมาทำการรักษาผู้ป่วย ทำการใช้อุปกรณ์สแกนเรื่องต่าง ๆ ได้ ทั้งเห็นภาพล่วงหน้า และย้อนหลังได้ ซึ่งขณะนี้ได้มีการนำมาทดลองใช้ในบุคคลจำนวนหนึ่ง ซึ่งเรียกกันว่า "คณะแพทย์แผนอนาคต"
แต่จุดมุ่งหมายหลัก มุ่งเน้นการฝึกจิตเป็นสำคัญ ฝึกการปล่อยวางขันธ์ห้า เพื่อเข้าถึงกฏของธรรมชาติ สอนเรื่องทุกข์ การดับทุกข์ ซึ่งเป็นการสอนในกฏของธรรมชาติ
แต่มีการนำอุปกรณ์ซึ่งเป็น เทคโนโลยีมาประกอบการสอน จึงเป็นการสอนการปล่อยวางที่เข้าใจง่าย และเบื่อหน่ายขันธ์ห้าได้จริง กลุ่มผู้ฝึกฯ ได้มีโอกาสเรียนรู้ พบเห็นเทคโนโลยีของเขามามากมาย จนแน่ใจว่า เรื่องของภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จะต้องได้รับการช่วยเหลือด้วยเทคโนโลยีจากมนุษย์ต่างดาวอย่างแน่นอน

การเดินทางจากดาวพลูโตมายังโลก จึงมาได้ 2 ช่องทาง

- เดินทางด้วยยานอวกาศฯ โดยผ่านมิติมา และร่วมปฏิบัติภารกิจ กับดวงดาวอื่น ๆ บนโลกมนุษย์ สามารถมองเห็นร่างของดาวพลูโตที่เรืองแสงสว่างได้ด้วยตาเปล่า

- เดินทางมาในรูปแบบพลังงาน เป็นกลุ่มแสงขนาดใหญ่เกิดขึ้นก่อน แล้วจึงเป็นพลังงานลงมา มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เป็นการมาปฏิบัติภารกิจ ที่ไม่ต้องอาศัยกายหยาบ ดังนั้นแม้จะอยู่สถานที่เดียวกันก็มองไม่เห็นเขา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น