กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย (เขากะลา)

วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ระบบ/ อยู่กับสมมุติได้ โดยไม่ทุกข์

ต้นไม้ กี่ต้น กี่ต้น ที่ขึ้นมา มันก็เป็นของมันอย่างนั้น มันมีคุณสมบัติแต่ละอย่างแตกต่างกันไป ให้ผล ให้ดอก แตกต่างกันไป มันก็ไม่ได้รู้ว่ามันชื่ออะไร

แล้วแต่ใครจะเรียกมันว่าต้นอะไร ผลอะไร มันก็ไม่ได้รุงรังไปกับสมมุติที่ไปตั้งให้มัน

แล้วทำไม เรา...ก็อยู่ในโลกสมมุติเช่นกัน ยังรุงรังไปด้วยสมมุติมากมาย ที่ใครๆเขาตั้งให้ เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นป้า เป็นอา เป็นนักเรียน เป็นอาจารย์ เป็นคนดี เป็นคนเลว เป็นคนสวย เป็นคนไม่สวย

สมมุติใดๆ ถ้าเข้าใจก็จะไม่ติดในสมมุตินั้นๆ ทำหน้าที่ทุกอย่างได้อย่างไม่ยึดมั่นถือมั่น เป็นพ่อ ก็ทำหน้าที่พ่อไปตามความเหมาะสม เป็นสามี เป็นภรรยา เป็นพี่ เป็นน้อง ก็ทำหน้าที่ไปตามความเหมาะสม เป็นเด็ก เป็นผู้ใหญ่ เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นครู เป็นหัวหน้า เป็นลูกน้อง หรือจะเป็นอะไร ต่ออะไร ก็ทำหน้าที่ตามที่ได้เกิดมาในสมมุตินั้นๆอย่างเหมาะสม

ธรรมะคือหน้าที่...นี่เป็นเรื่องถูกต้อง

ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นสมมุติ แต่ก็ยังยึดติดในสมมุติ ยังทุกข์ ยังห่วงหาอาทรกับสมมุตินั้นๆ ไม่เพียรเร่งทำความเข้าใจ ทุกข์ทรมานมากมาย

เมื่อหมดเวลา เพราะต้องตายจากชาตินี้ไป คืนดินน้ำลมไฟสู่ธรรมชาติ ก็จะต้องไปสมมุติใหม่ ไปมีพ่อ มีแม่ มีพี่ มีน้อง มีลูกเมีย ในชาติถัดๆไปกันอีก

ก็ยึดกันใหม่ สมมุติกันใหม่ ทุกข์สุขกันใหม่ ในภพชาติต่อๆไปทั้งสิ้น

ครอบครัวใหม่ๆ กับภพชาติใหม่ๆ ที่ต่อเนื่องยาวนานกันมาแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้

แล้วทุกข์กับเรื่องสมมุติกันมาเท่าไร

ถ้าเข้าใจให้ตรงกับความเป็นจริง ทุกข์จากสมมุติ...ก็หลอกกินเราไม่ได้...เพราะความเข้าใจและรู้เท่าทันนั่นเอง

อย่างเช่น คนที่ยึดติดรูปลักษณ์ ความสวย ความงาม ความหล่อ ของร่างกาย

อยู่กับสมมุติได้ แต่ต้องเข้าใจสมมุติให้ถูกตรง

ถ้ายืนคนเดียว เราก็เป็นอย่างนี้แหละ สบายๆ

แต่มีคนใหม่มายืนข้างๆ คนเดินผ่านมา ซุบซิบว่า เราหน้าตาดีกว่าอีกคน

ยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่ มีความสุข เพราะเราสวยกว่า หล่อกว่า

แต่พอคนนี้เดินไป คนใหม่เดินมายืนข้างๆ รูปร่างสวยงาม คนเดินผ่านมาแล้วซุบซิบกันว่า คนนั้นสวยจัง

ตอนนี้เรากลายเป็น...ไม่สวย...ไปแล้วตอนนี้

เมื่อมีของสองสิ่งคู่กัน เมื่อนั้นย่อมมีการเปรียบเทียบ

แล้วก็ต้องสมมุติสิ่งหนึ่งขึ้นมาเปรียบเทียบกัน

สวย ไม่สวย หล่อ ไม่หล่อ หนุ่มกว่า แก่กว่า เด็กกว่า ก็ไม่ได้มีจริง มันเป็นสมมุติเพื่อเปรียบเทียบนั่นเอง

หน้าตาอย่างนี้ ก็คือหน้าตาอย่างนี้แหละ ใครจะเรียกอะไรก็ตามที

ถ้ายังขึ้นลงไปกับสมมุติภาษา ที่เรียกขานกันว่าอย่างนั้นอย่างนี้แล้ว

จะรุงรัง มากมาย จะทุกข์อีกเท่าไร หากต้องเร่งขนขวาย ตะเกียกตะกายเพื่อให้สวย ให้หล่อได้ตามที่ใครๆสมมุตินั้น

ซึ่งแม้แต่ทางธรรมะ ยังไม่ให้เปรียบเทียบเลยว่า เราดีกว่าเขา เขาดีกว่าเรา หรือเราเสมอเขา

เพราะการเปรียบเทียบ ก็ย่อมต้องมี 2 สิ่งมาเปรียบเทียบกัน จึงต้องมี ดีกว่า สวยกว่า หล่อกว่า ใหญ่กว่า ขาวกว่า หนักกว่า แล้วแต่จะเปรียบเทียบกับอะไร

ซึ่งความจริง ทุกสิ่งมันก็เป็นของมันอย่างนั้น มันก็ตั้งอยู่ในปัจจุบันขณะนั้นๆแหละ แล้วแต่ใครจะสมมุติให้มันเป็นอะไร สมมุติให้เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นหมา เป็นแมว เป็นนก เป็นสิ่งนั้น เป็นสิ่งนี้ เป็นชื่อนั้น เป็นชื่อนี้

ทั้งๆที่ธรรมะก็บอกอยู่แล้วว่า ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ได้เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ทุกอย่างเป็นสมมุติทั้งสิ้น

ยืนอยู่ เดินอยู่ นั่งอยู่ นอนอยู่ ยังไม่ได้เป็นตัวตนเลย

แล้วนับประสาอะไร กับสมมุติมากมายที่ใครต่อใครตั้งให้ มันจะเป็นของตนแน่หรือ?

ควรหรือ? ที่จะไปยึดมั่นถือมั่น กับสมมุตินั้นๆ ที่ตั้งกันขึ้นมา

ยังต้องเดินทางกันอีกยาวไกล จะต้องแบกสมมุติมากมายไปด้วย...มันจะเดินไหวไหม

เพราะโลกนี้ เป็นของว่าง ว่างโดยสมมุติอยู่แล้ว

หากยังไม่พ้นจากอวิชชา คือเห็นผิดคิดว่าเป็นตัวตนแล้วนั้น ก็ยังคงต้องอยู่กับโลกสมมุติกันร่ำไป

เราเกิดมาก็มากด้วยสมมุติมากมาย ชื่อ นามสกุล พ่อ แม่ พี่ น้อง ลุง ป้า น้า อา พอจากกันไป แต่ละคนก็แยกย้าย ไปสมมุติกันใหม่ ในภพภูมิถัดไป

เราจึงมีพ่อแม่ พี่น้อง ลูกเมีย เพื่อนพ้องกันมาเป็นแสนๆชาติ

แล้วก็สมมุติกันมาอย่างนี้ไม่รู้กี่กัปป์ กี่กัลป์

เรา ก็จะมีสมมุติสะสม มากขึ้นเรื่อยๆ สมมุติทั้งหลาย ก็ไม่ได้เลือกที่จะมี จะเป็น แต่มันเป็นเหตุปัจจัยตามธรรมชาติ ที่บังคับบัญชาไม่ได้

เราไม่ได้อยากเป็นป้า มันดูแก่มากเลย แต่ว่าน้องสาวแต่งงานแล้วมีลูก ลูกก็เรียกเราป้า

ฉันเพิ่ง 30 ยังสวยพริ้ง จะให้ฉันเป็นป้าได้ยังไง

นั่นแหละ ตัวตนจึงเกิดขึ้น ความทุกข์จึงเกิดขึ้น เพราะความไม่อยากเป็นนั่นเอง

แต่ก็ไปเปลี่ยนไม่ได้ เพราะมีน้อง และน้องมีลูก เราจึงต้องเป็นป้า ตามภาษาสมมุติ จะขอลาออกจากการเป็นป้าก็ไม่ได้ เพราะเขาสมมุติลำดับขั้นการนับญาติเช่นนี้ไปเรียบร้อยแล้ว

ดังนั้น ตัณหา จึงเป็นต้นเหตุให้เกิดทุกข์

กามตัณหา อยากได้

ภวตัณหา อยากมี อยากเป็น

และวิภวตัณหา ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น

เพราะไม่อยากเป็นป้า เลยต้องทุกข์ไปตามระเบียบ

นี่คือสมมุติ ทุกอย่างเป็นสมมุติ ที่มนุษย์ตั้งขึ้น เพื่อความเข้าใจในหมู่คนส่วนใหญ่ในสังคมนั้น จะได้เข้าใจตรงกัน เราต้องอยู่กับสมมุติทุกวัน ก็ไม่ได้หมายความว่า ต้องไปเปลี่ยนอะไร แต่ให้รู้จักสมมุติให้มาก เพื่อจะได้ไม่ไปยึดติดกับสมมุตินั้นๆ

แล้วเราก็จะอยู่กับสมมุติได้ โดยไม่ทุกข์นั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น