คำระบบ มีมากมายหลายคำ แต่ละคำมีความหมายเพื่อหลอกให้อุปาทานที่หลงยึดในคำสมมุติเหล่านั้น งง .... !
เพราะคำที่ไม่เคยได้ยิน ก็เลยไม่ทันยึด เพราะอุปาทานกำลังงงอยู่ว่ามันหมายถึงอะไร?
พออุปาทานงง .... ก็ช่วงชิงด้วยปัญญา บันทึกเข้าไปใหม่ที่ประกอบด้วยปัญญา ไปแทนที่อวิชชาที่เห็นผิดนั่นเอง
เพราะว่าอุปาทาน มันหลงยึดแบบโง่ ๆ ตามอวิชชา มันยึดแบบตรงไปตรงมา อวิชชารู้มาอย่างไร มันยึดอย่างนั้น
เมื่อก่อนไม่รู้จักคำว่า....โง่
พอมีคนบอก มีการสมมุติ มีการรับรู้ สัญญาบันทึก แล้วอุปาทานยึดเกาะเรียบร้อยว่า โง่...หมายถึงอะไร
พอพูดว่า แกโง่
ขันธ์ ห้าส่งต่อมาทันที ตีคำสมมุตินี้ว่า โง่คือ หมายถึงปัญญาอ่อน ไม่ฉลาด ไม่ทันคน สมองทึบ แล้วแต่จะบันทึกความหมายไว้แค่ไหน
คำว่าแก ก็คือหมายถึงตัวเรา มันว่าตัวเรา
ถ้าพูดขึ้นลอย ๆ ... โง่
แม้ได้ยินก็ยังไม่ทุกข์ เพราะไม่มีการเอ่ยถึงใครเป็นผู้รับ
แต่ถ้าหันมาหาแล้วบอก.....แกโง่
มีผู้รับทันที อุปาทานไปรับปั๊บ ว่าหมายถึงเรา
หรือหากแค่หันมามองหน้าแล้วพูดว่า...โง่
ก็ตีความหมายได้ว่า หมายถึงเรา
เพราะมองเราแล้วพูดว่าโง่ นั่นคือว่าเราโง่ ตีความหมายที่สมมุติไว้ โง่คือ หมายถึงปัญญาอ่อน ไม่ฉลาด ไม่ทันคน สมองทึบ
ประมวลผลทันที มันว่าเราโง่
เจ็บปวดขึ้นมาทันที เป็นเรื่องในทันใด ทุกข์มากมายแค่คำเดียว
และนี่คือ การมีชั้นเดียว คือไม่มีสติรู้เท่าทันการปรุงแต่งตามการกระทบของขันธ์ห้า จึงอุปาทานว่า ความทุกข์นั้นเป็นของเรา
ซึ่งมีบุคคลมากมายที่ยังคงเผชิญอยู่ในชีวิตประจำวัน คือทุกข์....ทุกวัน
ก็คือไปรับทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในขันธ์ห้า ที่อุดมไปด้วยอวิชชา แล้วอุปาทานว่าเป็นเรา ทุกข์ของเรานั่นเอง
กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น