กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย (เขากะลา)

วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ระบบ/ทำงานเหมือนไม่ได้ทำ

การทำงานกับระบบ คือการทำงานตามสถานการณ์ที่ระบบเป็นผู้วางไว้ โดยที่เราไม่ได้เป็นผู้ทำ เป็นผู้คิด เป็นผู้วางโปรเจ็คใด ๆ

เพราะถึงอยากจะทำ ก็ทำไม่ได้

แต่ระบบจะต้องเป็นผู้ทำเอง เป็นผู้จัดวาง เป็นผู้จัดหา เป็นผู้จัดเตรียมสถานการณ์ต่าง ๆ ไว้เอง

แล้วผลักดัน ให้ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกของการจัดวาง เรียกได้ว่า คอนโทรลเป็นวินาทีต่อวินาทีเลยทีเดียว

ทุกอย่างจะต้องตรงตามที่ระบบต้องการ จนเห็นว่าทุกอย่างมันช่างบังเอิญบ่อยเหลือเกิน บังเอิญเหมือนจงใจ เหมือนเล่นละคร เหมือนมีใครจัดฉากไว้ แล้วต้องบังเอิญเจอกันในฉากนั้น

แต่เปล่าเลย ทุกอย่างระบบได้วางแนวทางไว้หมดแล้ว แค่เพียงตัวละครแต่ละตัวละคร จะมาเข้าฉากเท่านั้น ถูกต้องตรงตามเวลา พอดีทุกจังหวะเหมือนบังเอิญ

แต่ถ้าเราดูละคร เราจะรู้ว่า พระเอก นางเอก มาเจอกันไม่ใช่บังเอิญที่มาเจอกัน แต่เรารู้ว่า เขาต้องมาเจอกันตามเนื้อเรื่อง ตามฉากที่ผู้กำกับเขาวางไว้ แม้ว่าพระเอกนางเอก จะทำเป็นเหมือนตกใจ ที่เจอกันโดยบังเอิญก็ตาม

ผู้แสดงเป็นพระเอก จะรู้ว่า ไม่ได้เจอกันโดยบังเอิญหรอก แต่ผู้กำกับบอกให้เข้าฉากไปยืนตรงนี้นะ เดี๋ยวนางเอกจะออกมาจากร้านหนังสือ แล้วก็เจอกัน

เจอกันแล้ว บังเอิญพ่อนางเอกมาธุระแถวนั้นเห็นพอดี มาเห็นสองคนพบกัน เลยทำร้ายพระเอก

นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แม้นักแสดงในเรื่องจะทำเหมือนเป็นการบังเอิญเหลือเกิน

แต่นักแสดงแต่ละคนที่เข้าฉาก จะรู้ว่า มาเข้าฉากแบบเล่นบทบังเอิญเจอกัน

การแสดงของระบบก็เช่นกัน ทุกอย่างถูกจัดวางเพื่อให้งานของระบบดำเนินไปได้ เพื่อการประสานงานอย่างมีประสิทธิภาพ

เพียงแต่ว่า นักแสดงแต่ละคนที่มาเข้าฉากให้กับระบบ ส่วนใหญ่จะไม่รู้ตัวว่ากำลังมาแสดงอยู่ มาเข้าฉากอยู่ แม้จะไม่รู้ ไม่เข้าใจ แต่ก็เล่นตามบทได้อย่างถูกต้องตามที่ระบบวางไว้

ดังนั้น ผู้ที่ทำงานกับระบบ แบบรู้โครงสร้าง รู้การจัดวาง รู้กลไกของระบบ ก็จะวางใจในระบบ
จะจัดฉากอย่างไร ต้องไปเข้าฉากตอนไหน ระบบต้องเป็นผู้จัดวาง แล้วพาผู้แสดงไปเข้าฉากนั้น

เรียกว่า จัดสถานการณ์มาให้ แล้วพาไปเข้าฉากตามสถานการณ์นั้น หรือ สถานการณ์พาไป นั่นเอง

เมื่อรู้แล้วจะต้องไปลุ้น ไปเอาใจช่วยทำไม เพราะฉากต่อไปเขาก็วางไว้แล้วเช่นกัน

ผู้ทำงาน จึงมีหน้าที่อย่างเดียวคือ ทำประโยชน์ตน คือดูว่าแต่ละวินาที ความคิดจะทำอะไร ความรู้สึกเป็นอย่างไร พอใจ ไม่พอใจ ฟุ้งซ่าน หรือสงบ กระทบกระทั่งสถานการณ์ต่าง ๆ แล้วเกิดอาการอย่างไรในกลไกของขันธ์ห้า

ตามเห็น ตามดู ตามรู้ให้เท่าทันในอารมณ์ ขณะที่มันต้องไปทำงาน ไปเข้าฉากแต่ละฉากตามที่ระบบวางไว้

พอใจ ไม่พอใจ ในการเข้าฉากนั้น ๆ ไม่ต้องไปดูการแสดง ให้ดูแค่ขันธ์ห้าเท่านั้น ให้รู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น ณ ขณะเข้าฉากนั้น ๆ

รู้ เข้าใจ แล้วปล่อยวาง

การตามรู้ ตามดูอารมณ์เหล่านั้น โดยไม่เข้าไปแทรกแซง เข้าไปบังคับบัญชาให้มันเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ไม่ไปยึดว่าอารมณ์เหล่านั้นเป็นตัวเรา ของเรา ดูให้เห็นว่ามันก็เป็นของมันอย่างนั้นแหละ เป็นไปตามเหตุปัจจัยที่มากระทบ แล้วมันก็ปรุงแต่งความคิด ปรุงไปทางใดแล้วมันก็เกิดอารมณ์ไปทางนั้น เป็นเรื่องธรรมดาของขันธ์ห้า

เมื่อเห็น เมื่อรู้เท่าทัน มันจะปรุงอะไร ปรุงสุข ปรุงทุกข์ ก็เรื่องของมัน ไมมีใครไปรับ ไปยึด ไปเกาะอารมณ์เหล่านั้น

คือเมื่อไม่มีใครเป็นผู้อุปาทานสุข อุปาทานทุกข์ ก็จะไม่มีตัวใคร เป็นผู้สุข ผู้ทุกข์

นั่นคือความว่าง ว่างจากความเป็นตัวตน ของตนนั่นเอง

นี่เป็นการวางโครงการของระบบ ที่จะต้องจัดวางทุกขั้นตอน ทุกแง่ทุกมุม ของผู้ที่ขันอาสาลงมาในโครงการนี้ 5,000 คนทั่วโลก

แต่ละคนก็เล่นแต่ละบทบาทแตกต่างกันไป แต่มันเป็นเรื่องเดียวกัน เรื่องของ การเตรียมการเพื่อช่วยเหลือภัยพิบัติบนโลกใบนี้

ดังนั้น ผู้อาสามาทำงานนี้ ก็จะทำแค่ประโยชน์ตน คือเรียนรู้ขันธ์ห้าตามความเป็นจริง มีสติรู้เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และรู้เท่าทันอุปาทานขันธ์ห้า ตลอดเวลา

นี่คือสิ่งเดียวที่เกี่ยวเนื่องกับเรา และต้องทำอย่างต่อเนื่อง เรียกว่า "ประโยชน์ตน" นั่นคือ การเรียนรู้การละวางจากอุปาทานขันธ์ห้า เรียนรู้วิชชาการละอัตตาตัวตน เพื่อหลุดพ้นจากอุปาทานทั้งปวง

นอกนั้น ระบบจัดวาง จัดสถานการณ์ จัดหาสถานที่ จัดหาบุคคล จัดหาสถานการณ์เข้ามาเอง แล้วกลุ่มผู้อาสาในโครงการ ก็ไปประสานงานตามฉากที่ระบบได้วางไว้ เรียกว่า"ประโยชน์ท่าน" อันนี้ระบบต้องรับผิดชอบเอง

ผู้ประสานงานให้กับระบบจึง......ทำงานกับระบบเหมือนคำของระบบที่ว่า

ทำงานเหมือนไม่ได้ทำ

ไปทำงานเหมือนไปเที่ยว

กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554

NASA Hiding Approaching Doomsday Space Event

Super solar flare [Photo courtesy of NASA]

NASA and the European Space Agency have been warning the world for two years about the approaching catastrophes that may unfold during late 2011 through 2012.

Few have been listening.

Calling it a “once in a lifetime super solar storm event,” NASA warns that killer solar flares can slam the Earth knocking out the Northern Hemisphere’s technological infrastructure and kicking everything back to the level of the late 1800s.

Russia too has voiced concern. And now the eminent astrophysicist, Alexey Demetriev ["PLANETOPHYSICAL STATE OF
THE EARTH AND LIFE
"] claims what is happening is worse—much worse—than what NASA and the ESA have admitted:

Our entire solar system is entering an immense, deadly, interstellar energy cloud.

The unknown, alien Photon Belt

World defenseless against unknown, alien cloud

Terrified scientists at NASA discovered on July 14, 2010 that our system is passing through an interstellar energy cloud. This highly energized, electrified cloud of gas is disturbing and disrupting the sun. In conjunction with Earth’s weakening and moving magnetic shield, the world is becoming defenseless against massive solar flares and intense radiation.

NASA, the ESA and the National Academy of Science have isued an unprecedented solar storm warning for 2012. But what NASA and the federal government are hiding, according to Demetriev, is that the sun—and everything in our solar system—has plunged into an alien, unknown photon cloud…a belt of danger that could precipitate gigantic solar explosions, magnetic anomalies, careening cometary masses and destabilize the orbits of some asteroids.

Entire solar system at risk

Dr. Demetriev has revealed that both Voyager 1 and Voyager 2 probes report that the entire solar system is at risk. Worse, Merav Opher, a NASA Heliophysics Guest Investigator from George Mason University says this interstellar energy cloud is unstable and turbulent.

The Russian scientist further claims this cloud of energy is exciting the atmospheres of our planets and especially our sun. As this interstellar energy cloud continues to excite/charge the sun, it causes the sun to become more active, resulting in greater output from the sun. [Source: Coup Media Group]

Deadly supermassive flares affect weather

The bottom line is bigger and more frequent solar storms and coronal mass ejections (CME’s) resulting in the Carrington Effect, named after 19th Century scientist Richard Carrington . The Carrington effect predicts the generation of supermassive flares that affect the Earth in ways that are very unpleasant.

This interstellar cloud of electrical energy is also absorbed by the Earth, and scientist have found that it results in more earthquakes, all while dramatically affecting the weather.

Super solar flare destroying the ISS space station

Global catastrophe

Demetriev warns to prepare for the worst. “Global catastrophe! Not in tens of years from now, but in ones of years.”

What to expect? The strong possibility of the loss of high technology, increasing superstorms, an encroaching Ice Age, more frequent and massive earthquakes and volcanic activity, tsunamis and Earth exposed to deadly radioactive baths.

In short, the 2012 fearmongers may not have been far from the truth after all. If Alexey Demetriev is correct, the events occuring in 2012 will be just short of Doomsady…

Believe 2011 (Prepare for UFO Disclosure) **FULL HD**

ระบบ

ระบบ ... ไม่มีอะไรให้ใคร
นอกจาก....ให้ปัญญา
ปัญญา...เห็นธรรม หรือเห็นธรรมชาติ...ตามความเป็นจริง..

ระบบ/เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย อะไรก็เกิดขึ้นได้ อย่าตีกรอบ



เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย อะไรก็เกิดขึ้นได้ อย่าตีกรอบ

สำหรับ สมาชิกของกลุ่มประสานงานฯ ในรุ่นก่อน ๆ นี้ ได้เคยพบเจอ ได้เคยมีประสบการณ์ต่าง ๆ ทั้งในเรื่องของเทคโนโลยีไฮเทคที่ล้ำยุคมากกว่าของมนุษย์โลกมากนัก พบเจอทั้งเรื่องมิติ เรื่องอุปกรณ์ เรื่องราวแปลก ๆ มากมาย จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาของคนในกลุ่มไปแล้ว จึงได้มีการบอกกล่าวเรื่องราว ประสบการณ์ การพบเจอ และพิสูจน์ถึงความมีอยู่จริงของเทคโนโลยีจากต่างดาวนั้น ไว้ให้บุคคลรุ่นต่อ ๆ ไปได้รับทราบ และนำไปเทียบเคียง

สมาชิกเขากะลา รุ่น 1 รุ่น 2 หรือรุ่น 3 ต่างได้พบเจอ ได้รับรู้ ได้สัมผัสกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ดูเหมือนว่า น่ามหัศจรรย์ น่าพิศวง น่าแปลกใจ น่าสงสัย หรือน่าค้นหา กันมาแล้วทั้งนั้น

คำต่าง ๆ ที่ระบบได้กล่าวไว้ ต้องนำมาใช้ให้ทัน จะได้ไม่...จริงตาปลิ้น...ไปกับความมหัศจรรย์เหล่านั้น เพราะเทคโนโลยีของโลกมนุษย์ยังเหมือนของเด็ก ๆ ในโลกของเขา

ดัง นั้น การข้ามมิติ การย้อนเวลา การเห็นภาพไปมา หรือรับรู้ทางเทคโนโลยี มีให้เห็นจนเป็นปกติแล้ว จนกลายเป็นศูนย์รวมความแปลกไปแล้ว

แต่ไม่ว่าจะแปลกอย่างไร น่าพิศวงงงงวยแค่ไหน ระบบก็ไม่เคยให้หวั่นไหวไปกับสิ่งที่น่าอยากได้เหล่านั้น แค่รู้ เข้าใจ แล้วก็ปล่อยวางให้ได้ เช่นเดิม

ซึ่งความจริงแล้ว เทคโนโลยีไม่ว่าจะก้าวล้ำนำยุคไปสักแค่ไหน มันก็เป็นเพียงแค่เอาธรรมชาติมาปรับแต่งให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่า นั้น

เพียงแต่ว่า มนุษย์ต่างดาวเขาก้าวล้ำไปในในอนาคตมากกว่าเรา เขาจึงรู้วิธีเอาธรรมชาติมาปรับแต่ง ทำใช้งานได้มากกว่าเรา แค่นั้น

เพียงแค่เรายังคิดไปไม่ถึง จึงเหมือนมหัศจรรย์ น่าแปลกใจ ทำได้ยังไง

ถ้าจะเปรียบเทียบง่าย ๆ


เหมือน ชาวบ้านธรรมดา ที่เห็นแต่ไร่แต่นา ถ้าได้เข้าไปเห็นการทำงานในองค์การนาซ่า ก็คงจะตื่นตาตื่นใจ ทุกอย่างไฮเทคไปหมด เห็นทุกอย่างน่าอัศจรรย์ใจไปหมด

เห็นมนุษย์ออกไปลอยตัวในอากาศได้ ก็ประหลาดใจสุดขีดแล้ว

แต่คนในนาซ่า เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา ไม่เห็นน่าตื่นเต้นอะไร

เทคโนโลยีไฮเทคอีกเยอะแยะมากมาย ที่ไม่เคยพบเคยเห็นนั้น จะต้องตื่นตาตื่นใจกันไปอีกมากน้อยเท่าไรนะ

เทคโนโลยีเจริญไปถึงแค่ไหน ความมหัศจรรย์ใจก็จะหายไปแค่นั้น

แค่คุยกันได้ข้ามประเทศ แค่เห็นหน้ากันผ่านโทรศัพท์มือถือ ก็มหัศจรรย์สุด ๆ แล้ว ในสมัยกรุงศรีอยุธยา

แต่ว่าไม่ได้เป็นความมหัศจรรย์ในยุคปัจจุบันนี้


ถ้า ต้องอยู่กับสิ่งที่คนทั่วไปคิดว่าเป็นความมหัศจรรย์ ผู้พบเจอ....ผู้ต้องใช้เทคโนโลยีเหล่านั้น...ก็ต้องให้รู้เท่าทัน จึงจะไม่ยึดมั่นถือมั่นในอัตตา



คนเขากะลา ที่ต้องอยู่กับอุปกรณ์ไฮเทคมากมาย เทคโนโลยีที่ก้าวไกลจนนึกไม่ถึงนั้น มีอะไรอยู่บ้าง ก็คงบอกไม่ได้ทั้งหมด

ดังนั้น การทำตัวอย่างให้ได้รู้ ได้เห็น เพื่อไม่ให้จริงตาปลิ้นจนเกินไปนั้น ระบบจึงถือเป็นเรื่องจำเป็น...สำหรับมนุษย์โลก

ผู้ที่ผ่านมาในแต่ละรุ่น ก็จะได้รับรู้ตัวอย่างในแต่ละมุม แต่ละเหตุการณ์ จนเห็นว่า เป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว

อ๋อ...อย่างนี้ก็มี อ๋อ...อย่างนี้ก็มี

รู้เข้าใจ แล้วก็วางลงไว้อย่างเดิม อย่าไปแบก อย่าไปยึด อย่าไปตกใจ

เพราะเหตุการณ์ความวุ่นวายในอนาคตต่อไปข้างหน้า จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีล้ำยุคเหล่านี้ในสิ่งที่จำเป็น

วันนี้ จึงขอนำตัวอย่างบางเรื่อง ที่ได้เคยมีการบอกเล่าไว้แล้ว ที่ได้พบได้เห็นมาแล้วหลายปีนั้น มาเป็นตัวอย่างให้รุ่นใหม่ ๆ ได้รับรู้ ได้ทำความเข้าใจ จะได้ไม่ไปจินตนาการให้มากมาย เกินจำเป็น

ในเรื่องของโทรศัพท์ ในเรื่องพลังงานไฟฟ้า ในเรื่องของมิติ เรื่องของเวลา ซึ่งมีมากมายหลายตัวอย่าง

ดัง นั้น ในวันนี้ สิ่งที่พี่สุดใจและกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) มีประสบการณ์มากมายที่ได้พบเจอมาแล้วนั้น จะนำมาเล่าให้ฟังในบางเรื่องเพื่อเป็นการเทียบเคียงนะคะ

สำหรับเรื่องเทคโนโลยีที่พบเจอนั้น ส่วนมากก็จะเป็นเครื่องไฟฟ้าเครื่องโทรศัพท์ เป็นส่วนใหญ่ ที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้

อย่าง เครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุคเครื่องประจำ ที่พี่สุดใจใช้สำหรับโพสข้อความ เมื่อใช้เสร็จแล้ว ก็ปิดเครื่อง ถอดปลั๊กไฟออกหมด แต่ตอนกลางคืนเครื่องก็จะเปิดขึ้นมาเอง เข้าหน้าจอเองเปลี่ยนไปเรื่อย ทั้ง ๆ ที่แบตเตอรี่ก็ไม่มี ไฟก็ไม่ได้เสียบ เป็นบ่อย ๆ จนเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้สนใจเท่าไรปล่อยไปจนเช้า ตื่นเมื่อไร ปิดเมื่อนั้น

เครื่อง โทรศัพท์ ปิดเครื่องก่อนนอนกลางดึกก็เปิดเอง มีเสียงเรียกเข้าแต่ไม่มีคนโทรเข้ามา หรือเราปิดเครื่องไว้พอมีคนโทรเข้ามาหา เครื่องก็เปิดเองได้...ให้รับสาย จนเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้สนใจเท่าไรเพราะจะเปิดเอง ปิดเองตลอดเวลา

เรียกว่า อยู่กับความแปลก มีเรื่องมากมายให้เห็นทุกวัน

แต่ ที่ไม่ค่อยแปลกใจเท่าใดนักนั้น.....เพราะในช่วงการฝึกได้มีการทำตัวอย่างให้ เห็นอยู่เสมอ เพื่อว่าในเวลาข้างหน้าผู้อื่นที่ต้องพบเจอกับเรื่องต่าง ๆ แล้วสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้นจะได้มีตัวอย่างเพื่อบอกกับท่านอื่น ๆ ได้

มนุษย์ต่างดาวเคยบอกว่าไม่ต้องกังวลว่าข่าวสารที่จะติดต่อกับผู้อื่นนั้น จะติดต่อกันไม่ได้เพราะเขาจะเป็นผู้เชื่อมต่อให้เองในกรณีจำเป็น เราก็ได้แต่ฟังไว้แต่เมื่อเริ่มมีตัวอย่างมากขึ้น เราก็เริ่มรู้ว่า มันเป็นไปได้จริงๆ


ใน ช่วงการฝึก ผู้รับผิดชอบแผนกทั้ง 4 ท่าน คุณวาสนา คุณสุดใจ คุณสมจิตรและคุณโสภา ยังถูกฝึกเฉพาะกิจ สำหรับผู้รับผิดชอบแผนก 4 คน ในขณะที่ผู้ฝึกท่านอื่นๆ เสร็จสิ้นการฝึกแล้ว แยกย้ายกันไปทำงานยังจุดต่าง ๆและตัวอย่างนี้เกิดขึ้นในช่วงประมาณปี 2546 ที่สันคูนครสวรรค์

ระบบ สั่งเรียกประชุม 4 คน ประมาณ ห้าทุ่มครึ่ง เมื่อมาพร้อมกันแล้วนั่งเป็นวงกลม และมีการประชุมเรื่องอื่น ๆ เล็กน้อย อีก 10 นาทีจะเที่ยงคืนคุณวาสนาก็ได้หยิบโทรศัพท์ซึ่งมีซิมวันทูคอล และหมายเลขเก่าที่ไช้มาตลอดมาวางกลางวง พร้อมวางกล่องซิมโทรศัพท์ที่เพิ่งซื้อมาใหม่เมื่อเย็นนี้ให้เขาเปิดเบอร์มา เลย ยี่ห้อ ดีแทค ไว้ข้าง ๆ โทรศัพท์

พอเที่ยงคืนตรง ระบบสั่งให้ถอดซิมโทรศัพท์อันเดิมออก
แล้วให้ใส่ซิมดีแทคอันใหม่เข้าไป
โดยที่ทุกคนยังไม่รู้เลยว่าเบอร์ใหม่นี้หมายเลขอะไร ?


ทุกคนเป็นพยานร่วมกัน คือถอดซิมเก่าวันทูคอลหมายเลขที่ใช้ประจำออก แล้วนำไปใส่ไว้ในกระดาษ ห่อไว้อย่างดีและให้พี่สุดใจเป็นคนไปเก็บไว้ในกระเป๋าที่ห้อยไว้ในห้อง

หลังจากนั้นก็ใส่ซิมดีแทค เข้าไปแทน บอกว่าเบอร์นี้ยังไม่มีใครรู้เบอร์มาก่อนเลย รวมทั้งเราสี่คนด้วย ให้เป็นพยานร่วมกันแล้วเลิกประชุม แยกย้ายกันไปนอน

พอ ตอนเช้าประมาณสิบโมงเช้ามีเสียงโทรศัพท์เรียกเข้ามาเครื่องที่ถูกเปลี่ยนซิ มแล้ว เราก็มองหน้ากันว่าใครจะโทรเข้ามาเป็นคนแรกนะ เพราะเบอร์ใหม่ยังไม่ได้บอกใครเลย คุณวาสนาเป็นผู้รับสายเราสามคนเป็นพยานคอยฟังอยู่ด้วย

ซึ่งคนที่โทร มาก็เป็นหลานสาวออกไปตลาดแล้วให้ไปรับด้วย ซึ่งคุณวาสนาก็ถามว่า รู้เบอร์นี้ได้อย่างไรหลานสาวก็บอกว่า อ้าว ก็เบอร์ที่น้าใช้อยู่ตั้งเป็นปีแล้ว หนูโทรเป็นประจำน่ะซิทำไมจะไม่รู้ ก็เลยถามว่าเบอร์อะไรลองบอกมาหลานก็บอกเบอร์เดิมที่ได้ถอดซิมออกไปแล้วนั่น เอง

คุณวาสนาจึงให้ไปหยิบซิมเดิมที่ให้ไปเก็บไว้ออกมา พี่สุดใจจึงไปเอาจากในกระเป๋าในห้องทุกคนก็อยู่พร้อมกันเพื่อดูว่าซิมยัง อยู่หรือไม่ พี่สุดใจแกะห่อกระดาษออก ปรากฏว่าซิมวันทูคอล หมายเลขเดิม ยังอยู่ในห่อกระดาษนั่นเอง

แต่ผู้ที่โทรเข้ามาในซิมเดิมหมายเลขเดิม ก็ถูกโอนเข้าไปในซิมใหม่ หมายเลขใหม่ทั้งหมด
ซึ่งในความเป็นจริง ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะซิมคนละอัน เป็นคนละเบอร์ แถมยังเป็นคนละระบบอีกด้วย

แต่อะไรก็เป็นไปได้ ในระบบต่างดาว

หลังจากนั้น ก็มีโทรศัพท์เพื่อนคุณวาสนามาอีก 2 - 3 ครั้งก็โทรมาเบอร์เดิมทุกคน แต่ก็ได้ไปติดในหมายเลขใหม่ โดยมีการโอนย้ายให้เสร็จ

โทรศัพท์คนละหมายเลข คนละระบบ และซิมเดิม เบอร์เดิม ก็ถืออยู่ในมือย่อมไม่มีโอกาสโทรเข้าเบอร์เก่าได้เลย

ระบบ ให้ใช้หมายเลขนี้อยู่หลายวันเหมือนกันซึ่งมีผู้ที่โทรเข้ามาหลายสิบครั้ง นั้น โทรเบอร์เก่าทั้งสิ้นและหลังจากนั้นระบบก็ให้ถอดซิมใหม่ออกเอาซิมเก่าไปใส่ ไว้ตามเดิม

และ ตัวอย่างนี้ได้มีการทำให้เห็น เมื่อปลายเดือนตุลาคม 2550 กับคุณ สุชนพนธ์ มณีเลิศ (คุณเอ๊ด) จากเชียงใหม่ ซึ่งเป็น webmaster.palungjit.com เวอร์ชั่นเดิม และ UFOatKAOKALA.com

พี่สุดใจ ไม่ได้ติดต่อกับคุณเอ๊ด มาปีกว่าแล้วหลังจากเวปไซด์ได้ปิดไป แต่ตอนนี้ต้องการที่จะนำเวปไซด์ทั้งหมดของเขากะลามาไว้รวมกันในเวปไซ ด์www.UFOThailand.org จึงได้ค้นเบอร์โทรศัพท์ที่ได้เคยติดต่อกันไว้เมื่อปี 2548 เพื่อโทรหาคุณเอ๊ดค้นเจอเบอร์โทร 089-xxxxxxx จึงได้โทรไปหา


แฟนคุณเอ๊ดรับสาย และส่งต่อคุณเอ๊ดก็ได้สนทนากันหลายเรื่อง และในช่วงท้าย ๆ การสนทนาคุณเอ๊ดถามว่า

พี่สุดใจรู้เบอร์ผมได้ยังไง
อ้าว ก็เอ็ดให้พี่สุดใจไว้ตั้งนานแล้วตั้งแต่ปี 48 ที่คุยกันเรื่องเวปไซด์ไงล่ะ


เบอร์นั้นผมไม่ได้ใช้แล้วเพราะผมย้ายบ้านแล้วสัญญาณไม่มี ผมเลยเปลี่ยนระบบใหม่ และก็ได้เบอร์ใหม่มา เบอร์นี้ผมเพิ่งเปลี่ยนเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเอง มีคนที่บ้านผมรู้แค่ 3 คนเองผมก็งงว่า พี่สุดใจรู้เบอร์ผมได้ยังไง

พี่ก็โทรเบอร์เก่า 089-xxxxxxx ที่เคยให้ไว้น่ะ

เบอร์ที่ผมกำลังพูดกับพี่อยู่นี่ เป็นเบอร์ 086-xxxxxxx นะครับ ส่วนเบอร์เก่าผมยังไม่ได้คืนเบอร์ แต่ถอดซิมห่อกระดาษไว้ที่บ้าน

พี่โทรเข้าเบอร์เก่าแล้วมาเข้าเบอร์นี้ได้ยังไง?

พี่ สุดใจก็เลยเล่าเรื่องการถอดซิมเก่าออก ใส่ซิมใหม่และต่างระบบกันแต่คนที่โทรเข้ามาเบอร์เก่า จะถูกลิงค์เข้ามาเบอร์ใหม่ เล่าให้คุณเอ๊ดฟังซึ่งคุณเอ๊ดก็ยังคงตื่นเต้น เพราะเจอกับตัวเอง และกลับไปบ้าน ก็ยังโทรมาบอกว่าซิมเก่ายังห่อกระดาษอยู่ที่บ้านเลยก็เป็นเรื่องที่เพิ่ง ผ่านมาเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง

เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ระบบบอกไว้ก่อนแล้วว่า เทคโนโลยีเขาเชื่อมต่อให้ได้ไม่ต้องกลัวว่าจะพลาดการติดต่อข่าวสาร เพราะแบตหมดก็ชาร์ทให้ได้ ซิมหายก็เชื่อมต่อให้ได้ ปิดเครื่องก็เปิดได้ และกดเบอร์อื่น ก็ลิงค์มาให้เบอร์นี้ก็ทำได้

มีตัวอย่างหลายเรื่อง เกี่ยวกับโทรศัพท์ จะไปรวบรวมมาเล่าให้ได้รับทราบในโอกาสต่อไปค่ะ
...

เทคโนโลยี ของมนุษย์โลกเป็นสิ่งที่เทียบไม่ได้กับความเจริญของเขา ดังนั้นบางครั้งเราอาจไม่เข้าใจได้ทั้งหมด ว่ามนุษย์ต่างดาวทำได้อย่างไรเพราะอาจเป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานแบบอื่นที่ เรายังไปไม่ถึงก็ได้

พี่สุดใจได้เคยเล่าไปแล้วในกระทู้พลังจิตก่อน หน้านี้ ก็คือเรื่องที่คุณรวิชย์ ซึ่งเป็นวิศวกรได้พบเจอกับเหตุการณ์ที่น่าแปลกใจหลายเรื่อง ก็คือ ไฟฟ้าภายในบ้านจะเปิดเองปิดเองได้ ขนาดถอดปลั๊กไฟในห้องออกทั้งหมด ไฟก็ติดเองได้ ถอดปลั๊กไฟทีวีออกแล้วทีวีก็เปิดเองได้ โดยไม่ได้เสียบไฟฟ้าเลย

คุณรวิชย์เป็นนักวิทยาศาสตร์ก็พยายามคิดว่า น่าจะมีไฟฟ้าสถิตย์จากที่ไหนสักแห่งลงมาในห้องก็พยายามจะหาสาเหตุให้เป็น วิทยาศาสตร์ แต่ล่าสุด นอนเล่นอยู่บนพื้นกลางห้องปลั๊กไฟยาว ๆ ที่อยู่ปลายเท้า ก็ลอยขึ้นจากพื้นอย่างช้า ๆ ลอยขึ้นไปในอากาศก็นอนมองดูพร้อมหาสาเหตุว่าลอยขึ้นไปได้ยังไง สูงสักประมาณ 50 เซ็นติเมตรก็ร่วงลงมากับพื้นอย่างเดิม

ซึ่ง ตัวอย่างในรุ่นที่ 2 เกี่ยวกับพลังงานทดแทนไฟฟ้านี้ อาจารย์จักษวัชร์ ท่านก็ได้พบเจอด้วตัวเอง คือใช้คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ ที่ไม่มีเครื่องสำรองไฟ แต่เปิดคอมใช้มาได้ครึ่งวัน พอคอมดับ....เลยสำรวจสายไฟดูว่า ทำไมไฟเดินไม่สะดวก ปรากฏว่าไม่ได้เสียบปลั๊กไฟคอมมาตั้งแต่ทีแรก (เรื่องเล่าจากอาจารย์จักษวัชร์)



จาก จุดนั้นเรื่อยมา คุณรวิชญ์ ก็พบเจอเรื่องแปลก ๆ หลายอย่างทั้งเรื่องมิติ ขับรถเข้าไปในมิติ ระยะทาง 35 กิโลเมตร จากอ่างทอง ไปสิงห์บุรีสายเอเซียนี่แหละ ขับทั้งคืนยังไม่ถึง ไปถึงตอนเช้า เข้าไปมิติไหนก็ไม่รู้กว่าจะออกมาก็เช้าพอดี จึงถึงสิงห์บุรี จึงเริ่มค้นหาว่าสาเหตุมาจากไหนก็ยังไม่ทราบคำตอบ จึงสงสัยเรื่อยมา

จน มาพบพี่สุดใจเมื่องานวิทยาศาสตร์ทางจิตนานาชาติครั้งที่ 11 เมื่อปลายปีที่ผ่านมา และสนใจที่พี่สุดใจบรรยายเรื่อง "เครื่องมือของมนุษย์ต่างดาว"หลังจากได้สอบถามรายละเอียด ในสิ่งที่พี่สุดใจและกลุ่มได้พบมาก็บอกว่าคล้ายกับที่ท่านได้สัมผัสมาเช่น กัน จึงได้เดินทางไปสัมผัสกับพลังงานจากต่างดาวที่เขากะลา...นครสวรรค์มาแล้ว.

ใน ส่วนเรื่องราวของเขากะลารุ่น 2 และรุ่น 3 ได้มีการพบเจอเรื่องราวแปลก ๆ มากมาย ทั้งเรื่องอุปกรณ์เทคโนโลยี เรื่องโทรศัพท์ เรื่องมิติ เรื่องการย้อนเวลา การส่งภาพ การเห็นต่างมิติ และเรื่องแปลก ๆ อีกมากมาย

ซึ่ง ก่อนนี้ อาจารย์ทั้งหลาย ก็จริงตาปลิ้นกันมาระยะหนึ่ง จนเมื่อเห็นมากเข้า รู้มากเข้า ก็เลยต้องเอาประโยชน์ตนดีกว่า คือปล่อยวางทั้งขันธ์ 5 และอุปกรณ์ไฮเทคเหล่านั้นแต่ยิ่งปล่อยวางมากเท่าใด อุปกรณ์ต่างดาว กลับมีประสิทธิภาพใช้งานได้มากขึ้นเท่านั้น

สังเกตุให้ดี ในตอนนี้ หลายท่านกำลังถูกระบบทดสอบ ในบางเรื่องสำหรับบางท่านอยู่

เมื่อเป็นนักเรียน เรียนแล้วก็ต้องสอบ ต้อง test


เมื่อกระทบกับสถานการณ์ใด .... อุปาทานจะวิ่งเข้าไป...ห่วงใยตัวตน...โดยทันที

ความกลัว ความห่วงใยตัวตน เป็นเรื่องธรรมดาของขันธ์ 5 เรา เรา ท่าน ท่าน นี้

เพราะอวิชชา เห็นผิดตั้งแต่ต้น ว่านี่ตัวเรา นี่เรา นี่ของเรา

เมื่อมีตัวเรา.....จึงมีความห่วงใยของตัวตน

เมื่อรับรู้สิ่งใด ที่คิดว่าน่ากลัว ก็จะอุปาทานทันทีว่า ตัวเราจะไม่ปลอดภัย

นี่คือธรรมชาติ เป็นเรื่องธรรมดาของอุปาทาน ที่มันเข้าใจผิดคิดว่ามีตัวมัน มันเลยกลัวว่าตัวมันจะไม่ปลอดภัย

ถูกขังที่ใด ๆ ยังมีวันออกได้ แต่ถูกขังไว้ในขันธ์ 5 ด้วยอวิชชา ถูกขังไว้ในตัวตน ไม่มีวันที่จะหลุดพ้นได้เลย

ความกลัวของตัวตน ของอุปาทานจะตีกรอบขังเราไว้ ความไม่รู้จริง จะกดไว้ไม่ให้เงยหน้าขึ้นมาเห็นแสงสว่างได้เลย

ถ้าสิ่งใดก็ตามมากระทบที่ขันธ์ 5 ความกลัวจะวิ่งเข้ามา แล้วประมวลผลว่า เราอยู่ในอันตราย

จะพกเงินมาก ก็กลัว โจรปล้น
จะไปตลาด ก็กลัวอุบัติเหตุ
จะกินอาหาร ก็กลัวสารพิษ
จะทำสิ่งใด ก็กลัวว่าตัวเราจะเป็นอันตราย


แม้ว่าเราจะทำในสิ่งที่สมควร ระมัดระวัง หรือดูแลในสิ่งที่เหมาะสมปลอดภัยแล้วก็ตาม

ความคิดมันก็ยังคงคิดกลัวอยู่ดี

นี่แหละ ความกลัว ที่ขังเรามาเนิ่นนานนับภพนับชาติไม่ถ้วน

และจะคงยังขังเราต่อไป อีกนับภพนับชาติไม่ถ้วนเช่นกัน

อย่าไปกลัว ความกลัวนั้น

นี่คือสิ่งที่ระบบได้บอกมา และทำให้เห็นว่า อย่าไปกลัวไอ้ความกลัวนั้น

ทำไมอย่าไปกลัว

เพราะความกลัว มันคือความคิด ที่มันคิดว่า มันกลัว

มันก็แค่คิดว่า ... เรากลัวคนขโมยเงิน เรากลัวรถคว่ำ เรากลัวไฟไหม้

แม้จะยังไม่ได้ออกไปไหน แต่ความคิดว่ากลัวนั้น มันก็หลอกกินได้ทั้งคืน


ลองมองย้อนกลับไปที่ต้นสายของความกลัว มันมาจากอะไร

มาจากความคิด มันคิดว่า มันกลัวนั่น กลัวนี่ กลัวเรื่องนั้น กลัวเรื่องนี้

แล้วเราก็เลยไปยึดว่าเราคิด ....ความกลัวนั้น..เลยกลายเป็นของเรา
ความทุกข์ ความกังวลก็เลยเป็นของเราไปด้วย


เรากลัวนั่น เรากลัวนี่

เหมือนเวลาเราจะเที่ยวสักหน่อย กลัวขโมยขึ้นบ้าน กลัวไฟไหม้ กลัวเกิดอุบัติเหตุ



ใช้สติเป็นตัวนำ จึงจะเห็น...ความคิด
ลองยิ้มให้มันสักนิด แล้วบอกว่า ฉันไม่กลัวสิ่งที่แกคิดหรอก

แกทำอะไรไม่ได้หรอก เพราะแกแค่คิด....ว่ากลัว



อย่าไปกลัว ... ไอ้ความกลัวนั้น

ไอ้ความคิดที่ผลิตคำว่า ... กลัว ออกมาหลอกเรา


ถ้ามันคิดคำว่า...กล้า...เท่าไรเท่ากัน ฉันสู้ยิบตา ไม่กลัวตาย


แล้วมันก็ผลิตคำต่าง ๆ มากมาย ทุกอย่างล้วนเป็นเหตุปัจจัยเก่าที่เราเคยยึดมาแล้วทั้งนั้น


เรากลัวงู .... เราเคยกลัวงู เมื่อเห็นงู มันก็ต้องกลัวตามการบันทึกของสัญญา แล้วปรุงแต่งออกมาว่ากลัว

นี่คือเหตุปัจจัยเก่า พอเห็นงู เราก็ต้องกลัวว่าเราจะต้องตายเพราะงูกัด ตีมันก่อน ก่อนที่มันจะกัดเรา

มันยังไม่ได้ทำอะไรเลย ยังเลื้อยอยู่ตั้งไกล แล้วมันก็กำลังจะเลื้อยเข้าป่าไปแล้ว

ไม่ได้ต้องตีมันก่อน เดี๋ยววันหลังมันจะมากัดเราตาย

ซึ่งวันหลังนั้น งูตัวนี้อาจจะไปอยู่ป่าไหนแล้วก็ไม่รู้

แต่ห่วงใยว่า ตัวเราจะไม่ปลอดภัย ตีมันก่อนดีกว่า


นี่คือความคิด ที่มันปรุงแต่งว่ากลัว ทั้ง ๆ ที่เห็นมันกำลังเลื้อยไปที่อื่น ทั้ง ๆ ที่ตัวเองยังปลอดภัยในวันนี้

แต่ความคิด ก็คิด...กลัว...เผื่อวันหน้า

แต่เพราะเรารู้ไม่เท่าทัน ว่าความคิดกลัวนั้น มันเป็นแค่ความคิด แต่ก็ทำไปเลยเพราะคิดว่าเรากลัว

คือไม่เห็นว่ามันเป็นความคิด ที่กำลังคิดว่า...กลัว

ไอ้ความกลัว...ความจริงมันไม่ได้เป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะมันแค่คิด

ถ้ามีสติ เห็นความคิด ก็จะไม่กลัวความคิด

แม้ว่าความคิด มันจะคิดว่ามันกลัวก็ตาม
ก็จะไม่กลัว ไอ้ความกลัวนั้น

เพราะรู้เท่าทันความคิดนั่นเอง

ข้อความจากระบบ อย่าไปกลัว ไอ้ความกลัวนั้น


อาจจะมีประโยชน์กับใครบางคน ที่กำลังถูกความคิดหลอกให้กลัวอยู่ในขณะนี้ค่ะ












17 tuned/Snoop N Wiz Khalifa - CHEECH N CHONG THAT GOOD Official Music Video

วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ระบบ/มองให้เป็นจะเห็นความว่าง

เชื่อแน่ว่า ผู้ปฏิบัติธรรม ที่ได้เดินทางเข้าสู่สายแห่งธรรม ย่อมเป็นผู้ที่ปรารถนาจะหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งสิ้น เป็นผู้ปรารถนาที่จะพ้นจากกรรม วิบากกรรม พ้นจากการต้องมาเวียนว่ายตายเกิดทั้งสิ้น แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า จะมีปัญญาแยกแยะได้เท่าใด ว่าอันไหนของจริง อันไหนของปลอม ทางไหนตรง ทางไหนอ้อม ทางไหนเป็นแก่น ทางไหนเป็นกระพี้ เป็นเปลือก เป็นใบ

ก็ ต้องลองผิด ลองถูก ลองไปศึกษากันมานานาสำนัก ก็เพื่อหาทางที่จะค้นพบทางที่เป็นแก่น จะได้ปฏิบัติได้ตรง ได้เร็ว และพ้นจากทุกข์กันเสียที

นี่เป็นสิ่งที่ยากยิ่ง ต้องใช้ปัญญาอย่างยิ่งยวด เพราะการลวงล่อในรูปแบบที่น่าศรัทธาต่างๆนานา มีมากมาย ยากที่จะพิจารณาให้ถึงแก่นแท้ได้อย่างแท้จริง

แต่มิใช่ว่า การพิจารณาเลือกเดินในทางสายใดสายหนึ่ง วิชาใด วิชาหนึ่ง สำนักใดสำนักหนึ่ง เป็นสิ่งที่ผิด หรือถูก

นั่นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ตามอินทรีย์ที่แก่กล้า ตามพละกำลังปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง ของบุคคลนั้นๆต่างหาก ที่จะมีความพร้อมเท่าใด

ดัง นั้น การที่จะเข้าไปกลางแก่นของต้นไม้ ก็ต้องผ่านใบ ผ่านเปลือก ผ่านกระพี้ ของต้นไม้เหล่านั้นไปก่อน จึงจะมองเห็นแก่นของต้นไม้ได้ เราทั้งหลายก็เช่นกัน ต้องผ่านการลองผิดลองถูก ผ่านการก้าวขึ้นบันไดไปทีละขั้น ทีละขั้น จึงจะสามารถมองเห็นภาพรวมของเส้นทางที่เราเดินผ่านมาได้ ถ้าไม่มีบันไดขั้นที่ 1 ขั้นที่ 2 ขั้นที่ 3 เราก็ไม่อาจขึ้นมาสู่ขั้นที่ 4 ขั้นที่ 5 ได้เลย

บันไดแต่ละขั้น ธรรมะแต่ละศาสตร์ แต่ละสาย แต่ละวิธี ก็เป็นบันไดพื้นฐาน เพื่อการก้าวไปหาแก่นแท้ หาการปล่อยวางทั้งสิ้น

อย่าได้ไปมองคนที่กำลังก้าวขึ้นมาขั้นที่ 1 ขั้นที่ 2 ว่ายังหลง ยังยึด ยังไม่ถูกทาง นั่นเป็นการมองที่จะทำให้เกิดการเปรียบเทียบ จะทำให้ตนเองเป็นทุกข์ ดังนั้น

ทุกสิ่งทุกอย่าง จึงถูกต้อง (ตามเหตุปัจจัยนั้นๆ) ซึ่งเป็นการป้องกันการมองโดยการเปรียบเทียบ

ว่า เราดีกว่าเขา เขาดีกว่าเรา หรือเราเสมอกับเขา เพราะทุกคนมีเหตุปัจจัยต่างกัน จึงมีปัญญา มีการพิจารณา มีการไตร่ตรอง มีภูมิธรรมไม่เท่ากัน

แต่มิได้หมายความว่า เขาเหล่านั้น จะยังวนเวียนอยู่แต่ตรงจุดนั้นตลอดไป

เหมือนกับเมื่อเราอยู่ชั้น ป.2 เราอาจจะบวกเลข ลบเลขพอได้ แต่เรายังเพิ่งหัดใช้การคูณเลข เรายังไม่เป็น เรายังทำไม่คล่อง
หากพี่เราที่อยู่ชั้น ป.5 มาสอนเรา ก็จะบอกว่า ทำไมสอนไม่จำ ทำอย่างนี้ คูณอย่างนี้ ไม่เห็นยากเลย ง่ายจะตายไป

แต่สำหรับเรา สำหรับเด็ก ป.2 มันยากมากเลย

เด็ก ป.5 ก็กำลังยากในการเรียนสูตร เรียนตรีโกณ ถอดสแควรูท หรืออะไรต่อมิอะไรที่ครูเพิ่งเริ่มสอน จึงยากสำหรับเด็ก ป.5 คนนั้น

แต่ถ้าพี่อีกคน ที่เรียนชั้นมัธยม ก็อาจจะบอกว่า ไม่เห็นยากเลย แค่ทำอย่างนี้ อย่างนี้ แค่นี้ก็ทำไม่ได้

จะ เห็นได้ว่า สามคนนี้ อยู่ในสภาวะที่ต่างกันโดยพื้นฐาน ตามสภาวะทางโลก ที่กำลังดำเนินอยู่ มีสภาวะของการศึกษาที่ต่างกัน แต่น่าแปลก ..ที่มีมุมมองเหมือนกัน

นั่นคือมองว่า เราดีกว่าเขา เราฉลาดกว่าเขา เรารู้มากกว่าเขา ซึ่งเป็น

การ มองโดยมีตัวเองเป็นตัวตั้ง ยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง แล้วเอาผู้อื่นมาเทียบ ถ้าเรารู้มากกว่า เราดีกว่าเขา ก็จะมีความหยิ่ง ดูถูกคนอื่น

ถ้าเขารู้มากกว่าเรา ก็จะหดหู่หม่นหมอง เพราะสู้เขาไม่ได้ เสียใจ ริษยา อยากเอาชนะ

แต่ ทุกคนคิดถูกต้อง ตามกำลังปัญญา ตามการยึดมั่นถือมั่นแต่ละคน และทุกคนก็จะได้รับความทุกข์ ความน้อยใจ เป็นของแจกของแถม ตรงไปตรงมาเช่นกัน

แต่ถ้ามองให้เป็น จะเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง ว่าน้องคนเล็กอยู่ ป.2 เขายังคูณเลขไม่ค่อยได้ นั่นเพราะเขายังอยู่ ป.2 เขายังไม่ได้เรียนถึงชั้น ป.5 เขาจึงยังไม่เข้าใจการคูณเลขนั่นเอง ไม่ใช่เขาโง่ แต่เพราะเขายังเรียนไม่ถึงชั้น ป.5 ถ้าเขาเรียนถึง ป.5 เขาอาจจะเรียนเก่งเลขมากกว่าพี่ในขณะนี้ก็ได้ คนที่อยู่ ป.5 แม้จะเก่งกว่า ป.2 แต่ก็ยังทำการถอดสูตร ถอดสแควรูทไม่ได้ ก็ถูกพี่ที่เรียนมัธยมดูถูกเอา หาว่าโง่ ไม่จำ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเด็ก ป.5 จะโง่กว่าคนเรียนมัธยม แต่เพราะเขายังเรียนไปไม่ถึง เขาจึงยังไม่รู้นั่นเอง

หรือคนที่เรียนมัธยม ชั้นสูงที่สุดในบ้าน เขาก็อาจมีความทุกข์ที่ถูกรุ่นพี่ปริญญากระทบเอา ว่าสอนไม่จำก็เป็นได้

ที่กล่าวมานี้ ก็เพื่อให้มองให้รอบว่า ไม่มีใครโง่ ไม่มีใครฉลาด ไม่มีใครเก่งกว่าใคร แต่เป็นเพราะแต่ละคนอยู่ในสภาวะที่ไม่เท่ากัน

มี ความรู้มีการศึกษาที่ไม่เท่ากัน และเพราะความไม่รู้ จึงไปหลงยึดในความไม่รู้นั้นว่า เป็นตัวเรานั่นเอง ที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เกิดการเปรียบเทียบ เกิดอัตตาตัวตนขึ้นมา

การเปรียบเทียบอย่าง นี้ ก็พอจะมองออก พอจะเห็นภาพได้ แต่หากเป็นผู้ปฏิบัติธรรมด้วยกัน จะมองยาก เพราะแต่ละคน ไม่อาจรู้ภูมิธรรมของอีกคนหนึ่งได้ อย่างดีก็ได้แค่ประมาณเอา จึงไม่ควรอย่างยิ่ง ที่จะไปคาดคะเน ไปนึกคิดเอาเอง แต่ถ้าเห็นว่า เขาก็เป็นของเขาอย่างนั้นเอง ตามเหตุปัจจัยของเขาเหล่านั้น ก็จะตัดความวุ่นวาย ในการไปพิจารณาคนอื่น แทนที่จะมาพิจารณาขันธ์ห้าของตนเอง

คนเดียวก็เสียเวลาไปมากแล้ว ในการไปเอาเขามาพิจารณา แล้วถ้ามี 2 คน 5 คน 10 คน 20 คน หรือมากกว่านั้น จะยิ่งเสียเวลาในการพิจารณาขันธ์ห้าคนอื่นมากขึ้นไปอีก

ดังนั้น การที่จะบอกธรรมะ การที่จะยื่นห่วงไปให้แก่ขันธ์ใดๆ หากบอกไปแล้วเขาเชื่อ หรือบอกไปแล้วเขาไม่เชื่อ ก็ให้วางลงเสีย อย่าได้เยื่อใย ยื่นห่วงไปให้เขาเหล่านั้น

เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับปัญญาในการไตร่ตรองของแต่ละภูมิธรรมนั้นๆ ซึ่งก็ไม่พ้นจากบัว 4 เหล่าไปได้

ดัง นั้น สิ่งที่เรากำลังสงสัยว่า คนนั้นทำไมเป็นอย่างนี้ คนนี้ทำไมเป็นอย่างนั้น คนนั้นทำไมใจดี คนนี้ทำไมใจดำ จึงควรหมดข้อสงสัย เพราะทุกอย่างมีเหตุปัจจัยส่งเข้ามาเป็นอย่างนั้น เพราะความไม่รู้ที่ยังไม่ได้ถูกขัดเกลาด้วยธรรม เขาจึงเป็นอย่างนั้นตามเหตุที่ทำไว้นั่นเอง

ถ้ามองผิดมุม ความทุกข์ก็ถามหา ความริษยาก็เกาะกิน ถ้ามองถูกมุม ก็จะเห็นความเป็นอย่างนั้นเองของทุกสรรพสิ่ง การที่จะส่งจิตออกนอกไปตัดสินใคร จะเริ่มน้อยลง

จะเริ่มอยู่ภายในมาก ขึ้น ก็เท่ากับได้ธรรมะไป 1 ข้อ คือ ไม่ส่งจิตออกนอก เพราะไม่รู้จะส่งออกไปทำไม ทุกอย่างล้วนถูกต้องตามเหตุปัจจัยนั้นๆอยู่แล้ว

เพราะ การมุ่งแต่ไปพิจารณาขันธ์ห้าของผู้อื่น ก็จะมีแต่ความอึกอัด ขัดข้อง ไม่ถูกอกถูกใจ เสียเวลาไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งเราๆท่านๆได้เคยเสียเวลาเช่นนี้มานับกัปนับกัลป์แล้ว ก็ด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา ที่มุ่งแต่ไปพิจารณาขันธ์ห้าอื่นๆรอบตัวนั่นเอง.

กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Bio Station Alpha on Mars. The latest discovery by David Martines. Orig...

AREA 51 SECRET FOOTAGE

UFOs & Area 51 Exposed - Bullet Version

คำระบบ

คำระบบ มีมากมายหลายคำ แต่ละคำมีความหมายเพื่อหลอกให้อุปาทานที่หลงยึดในคำสมมุติเหล่านั้น งง .... !

เพราะคำที่ไม่เคยได้ยิน ก็เลยไม่ทันยึด เพราะอุปาทานกำลังงงอยู่ว่ามันหมายถึงอะไร?

พออุปาทานงง .... ก็ช่วงชิงด้วยปัญญา บันทึกเข้าไปใหม่ที่ประกอบด้วยปัญญา ไปแทนที่อวิชชาที่เห็นผิดนั่นเอง

เพราะว่าอุปาทาน มันหลงยึดแบบโง่ ๆ ตามอวิชชา มันยึดแบบตรงไปตรงมา อวิชชารู้มาอย่างไร มันยึดอย่างนั้น

เมื่อก่อนไม่รู้จักคำว่า....โง่

พอมีคนบอก มีการสมมุติ มีการรับรู้ สัญญาบันทึก แล้วอุปาทานยึดเกาะเรียบร้อยว่า โง่...หมายถึงอะไร

พอพูดว่า แกโง่

ขันธ์ ห้าส่งต่อมาทันที ตีคำสมมุตินี้ว่า โง่คือ หมายถึงปัญญาอ่อน ไม่ฉลาด ไม่ทันคน สมองทึบ แล้วแต่จะบันทึกความหมายไว้แค่ไหน

คำว่าแก ก็คือหมายถึงตัวเรา มันว่าตัวเรา

ถ้าพูดขึ้นลอย ๆ ... โง่
แม้ได้ยินก็ยังไม่ทุกข์ เพราะไม่มีการเอ่ยถึงใครเป็นผู้รับ

แต่ถ้าหันมาหาแล้วบอก.....แกโง่


มีผู้รับทันที อุปาทานไปรับปั๊บ ว่าหมายถึงเรา

หรือหากแค่หันมามองหน้าแล้วพูดว่า...โง่

ก็ตีความหมายได้ว่า หมายถึงเรา

เพราะมองเราแล้วพูดว่าโง่ นั่นคือว่าเราโง่ ตีความหมายที่สมมุติไว้ โง่คือ หมายถึงปัญญาอ่อน ไม่ฉลาด ไม่ทันคน สมองทึบ

ประมวลผลทันที มันว่าเราโง่

เจ็บปวดขึ้นมาทันที เป็นเรื่องในทันใด ทุกข์มากมายแค่คำเดียว

และนี่คือ การมีชั้นเดียว คือไม่มีสติรู้เท่าทันการปรุงแต่งตามการกระทบของขันธ์ห้า จึงอุปาทานว่า ความทุกข์นั้นเป็นของเรา

ซึ่งมีบุคคลมากมายที่ยังคงเผชิญอยู่ในชีวิตประจำวัน คือทุกข์....ทุกวัน

ก็คือไปรับทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในขันธ์ห้า ที่อุดมไปด้วยอวิชชา แล้วอุปาทานว่าเป็นเรา ทุกข์ของเรานั่นเอง

กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)