กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย (เขากะลา)

วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

มนุษย์ต่างดาว....กล่าวถึง....ภัยพิบัติ

กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) เป็นชื่อกลุ่ม ที่มนุษย์ต่างดาวสื่อสารข้อมูลมาให้ใช้ชื่อนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2547 เป็นต้นมา

เรียกว่า.....เป็นวันแรกของการเข้าสู่ระบบทำงาน.....ร่วมกับมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา

เพราะก่อนหน้านั้น อยู่ในขั้นตอนการเรียน การคัดเลือกบุคคล การฝึก
ซึ่งมีปฏิบัติธรรม การฝึกจิตเพื่อปล่อยวาง และการฝึกรับข้อมูลจากมนุษย์ต่างดาว ควบคู่กันไป
โดยการฝึกแบบเป็นกลุ่ม....เริ่มต้นที่เขากะลา
และการฝึกเดี่ยว....ของบุคคลมากมายที่ระบบวางไว้ กระจายอยู่ทั่วไปตามจุดต่าง ๆ ทั่วโลก


ชื่อ กลุ่มเขากะลา เริ่มมีการใช้มา ตั้งแต่ปี 2541 ซึ่งเป็นที่ตั้งของ กองบัญชาการมนุษย์ต่างดาว บนเขากะลา


มาเปลี่ยนใช้ชื่อเป็น กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2547


ประเดิมเริ่มแรก ของชื่อกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)


ปีแรกที่เปลี่ยนชื่อ คือเข้าสู่ระบบการเตือนภัย ก็เกิดสึนามิครั้งใหญ่ขึ้นมา


วันที่ 26 ธันวาคม 2547 เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ให้เห็น ในเอเซียนี่เอง

ทั้งในประเทศไทย และอีกหลายประเทศ มีการสูญเสียกันมากมาย

ซึ่ง ระบบ ให้กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ไปออกรายการ V.I.P. เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2547 ตามที่ได้ติดต่อมา พร้อมกับ ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน เรื่องการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา และการมาโลกมนุษย์เพื่อเตือนภัยพิบัติ และให้ความช่วยเหลือเรื่องภัยพิบัติบนโลกใบนี้


ตอนสัมภาษณ์นั้น ใครจะรู้บ้างว่า ภัยพิบัติทางน้ำครั้งใหญ่กำลังใกล้จะมาถึง


สัมภาษณ์และบันทึกรายการ 16 ธันวาคม 2547

สึนามิถล่มชายฝั่งอันดามัน 26 ธันาคม 2547

ห่างกันเพียง 10 วัน


การกล่าวถึงภัยพิบัตในวันนั้น จึงเป็นส่วนหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า

การรู้ล่วงหน้า ...... มิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้


เพียง แต่ การที่จะเข้าไปแทรกแซงในแรงกรรม ตามกาลเวลาที่ต้องเกิดขึ้น ณ ที่นั้น ๆ มันทำไม่ได้ มันช่วยกันไม่ได้ ไปขัดขวางไม่ได้ เพราะทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎแห่งกรรม ที่ยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด


กลไกของธรรมชาติ ของไกของจักรวาล เป็นกลไกที่ยิ่งใหญ่ ต้องเป็นไปตามกรรม วิบากกรรมนั้น ๆ


ซึ่ง ตอนนี้ แรงกรรมทั้งหลาย ได้กระจาย ได้ส่งผลไปทั่วโลกแล้ว ภัยพิบัติได้ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นมากมาย กรรมทั้งหลาย จึงให้ผล จึงมุ่งไปในประเทศที่สร้างแรงกรรมเหล่านั้น



แม้จะช่วยไม่ได้ เพราะมนุษย์โลกส่วนใหญ่ต้องไปตามกรรมเหล่านั้น


แต่ ยังมีผู้ที่มีบารมี ผู้ที่สร้างกรรมดีไว้อีกมากมาย ที่ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องสูญสลายไปกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น ยังมีบารมีมากพอที่จะอยู่ต้องอยู่ เพื่อดำรงรักษาเผ่าพันธ์ของมนุษยชาติไว้ และเริ่มเข้าสู่กลไกของธรรมชาติ ยกระดับจิตเพื่อการคืนสู่ธรรมชาติอีก ครั้ง


กฏของธรรมชาติ ก็ต้องดูแล รวมถึงเทพทั้งหลาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ก็ต้องดลใจให้บุคคลนั้น ๆ ระลึกรู้และ ตระหนักถึงเรื่องของภัยพิบัติ แล้วหันหน้าเข้าหาธรรมเป็นที่พึ่ง มาเรียนรู้กฏธรรมชาติ มาปฏิบัติตามบารมีเก่าที่สะสมมา เพื่อจะนำพากันเข้าสู่ยุคใหม่ เข้าสู่ยุคศิวิไล คือยุคทองอีกครั้งหนึ่ง


และ นับจากนั้นมา ภัยทางธรรมชาติเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เรื่อยมา จนหลายคนเริ่มตระหนักว่า ธรรมชาติที่เคยสงบ เคยร่มเย็น จะไม่กลับมาให้เห็นอีกแล้ว มีแต่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น มากขึ้น


จนถึงปัจจุบัน ภัยทั้งหลายในธาตุทั้ง 4 กลายเป็นภัยพิบัติรายวันไปแล้ว


มนุษย์ ต่างดาว เคยกล่าวถึงเรื่องของภัยพิบัติในภาพรวมของโลกใบนี้ไว้หลายครั้ง เมื่อมีผู้ถาม ว่าต่อไปเหตุการณ์ต่าง ๆ จะเกิดขึ้นมากมาย ตั้งแต่ในตอนที่ยังไม่เคยมีเหตุการแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด น้ำท่วม หรือทอนาโด พายุถล่มมากมายอย่างในวันนี้


จะขอนำการกล่าวถึงภัยพิบัติบนโลกใบนี้ ของมนุษย์ต่างดาว ที่ได้เคยกล่าวไว้ ในปี 2541 บนเขากะลา


และ บอกถึง ที่มาของเหตุภัยพิบัติ ว่าเกิดจากอะไร แรงกรรมมีอานุภาพมากแค่ไหน มนุษย์จึงต้องเผชิญกับมหันตภัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นนี้.


ขอให้ท่านผู้อ่าน ใช้วิจารณญาณในการอ่าน ในการรับรู้ข้อมูล แล้วไตร่ตรองในข้อมูลที่ได้รับมานี้ ควรเชื่อหรือไม่ อย่างใด


อย่าได้ตื่นตระหนกใด ๆ ควรทำความเข้าใจ ว่าเหตุใด ...ภัยพิบัติจึงต้องเกิดขึ้นกับโลกใบนี้


แล้วถามตัวเองว่า ถึงเวลาหรือยัง ทีเราจะหันมาปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังสักที.


กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)

THE MOST INCREDIBLE UFO VIDEO taken in MIXQUIC, MEXICO

Top 10 UFOs Of 2010 - AlienAddictions.com

Province 77 [2002]-Sample

Province77

ระบบ-ประโยชน์ตน

ขออนุโมทนา และเป็นกำลังใจให้กับสมาชิกหลาย ๆ ท่านด้วย ที่เข้ามาร่วมทำงานกับระบบแบบรู้ตัว และในช่วงนี้ หลายท่านก็เริ่มมีบททดสอบกันอย่างเข้มข้น เริ่มกระบวนการยกระดับจิต สั่นคลอนความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 มีการฟันฝ่าความทุกข์ในจิตใจ ในการทวนกระแสของสังคมปัจจุบัน คือพอรับงานไป ระบบก็จัดทุกข์ให้ก้าวข้ามทันที

เรียกว่า....ไม่รอช้า เวลามีไม่มาก

สิ่งที่มีอิทธิพลมากมายสำหรับผู้ที่ยังยึดมั่นถือมั่น นั่นก็คือ "ความกลัว"
คือ เมื่อมีอวิชชา เห็นผิดคิดว่าขันธ์ 5 นี้เป็นตัวตน เป็นของตนแล้ว ย่อมเกิดความห่วงใย เกิดความกลัว และต้องปกป้องในตัวตนขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

ต้องดูแล ต้องรักษา ต้องบริหารขันธ์ 5 อย่างดีที่สุด ให้ปลอดภัยที่สุด

กลัว จะแก่ กลัวจะเจ็บ กลัวจะตาย กลัวจะจน กลัวจะไม่ปลอดภัย กลัวตกงาน กลัวครอบครัวจะลำบาก กลัวจะทุกข์ยากวันข้างหน้า และความกลัวอีกมากมาย ที่มีอยู่ในแทบทุกคน

ความกลัว จึงเป็นสิ่งหนึ่ง ที่ขังมนุษย์ไว้ให้อยู่ในความทุกข์ทั้งปวง

นอก จากความกลัวที่จะเข้ามาถึงขันธ์ 5 ที่เป็นตัวตนแล้ว ยังแผ่ความกลัวไปยัง...ของของตนอีก เช่นพ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติมิตร เพื่อนฝูง ข้าวของเครื่องใช้ ชื่อเสียง วงศ์ตระกูล ยศฐาบรรดาศักดิ์มากมาย

จึงต้องใช้ชีวิตอยู่กับความหวาดระแวง ความกลัวกันเรื่อยมา

เมื่อยังอยู่ติดอยู่ในโลกธรรม 8 ย่อมถูกกักขังอยู่ในเรื่องของความกลัว กลัวเสื่อมลาภ กลัวเสื่อมยศ กลัวคนเขานินทา กลัวจะเป็นทุกข์

ดัง นั้นเมื่อมีลาภ ก็กลัวจะเสื่อมลาภ เมื่อมียศ ก็กลัวจะเสื่อมยศ เมื่อคนสรรเสริญ ก็กลัวจะมีคนนินทา เมื่อกำลังมีความสุข ก็กลัวว่าความสุขจะหมดไปเร็วแล้วจะกลายเป็นความทุกข์ ดังนั้น ทุกคนที่ยังอยู่ในโลกธรรม 8 จิตก็ย่อมจะหวั่นไหว ขึ้นลงไปด้วยความสุขความทุกข์ ความหวาดระแวงเช่นนี้ตลอดเวลา

ผู้ที่ ได้มีการปฏิบัติธรรมจนถึงขั้นละเอียดแล้ว ย่อมมีความเข้าใจในกฏแห่งกรรม มีความเข้าใจถูกต้องในกฏของธรรมชาติแล้ว จะมีความเข้าใจในขันธ์ห้าตามความเป็นจริง โดยไม่หลงยึดติดอยู่ในมายาดวงจิตที่หลอกล่อให้เข้าไปมีอุปาทานในขันธ์ห้า ไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า ท่านจึงสามารถที่จะอยู่เหนือโลกธรรม 8 ได้ โดยไม่หวั่นไหวในโลกธรรม 8 นั่นเอง

ดังนั้นแนวทางที่จะฟันฝ่ามายาดวง จิต ที่ถูกหลอกล่อให้ยึดติดอยู่ในโลกธรรม 8 นั้น จึงต้องใช้กำลังของดวงจิตในการฝ่าฟันสิ่งเหล่านี้อย่างมาก ซึ่งผู้ที่ฝึกโดยระบบ จึงต้องมีการถูกจัดบทเรียนในการฝึก เพื่อข้ามผ่านสิ่งเหล่านี้นั่นเอง ซึ่งระบบจะเรียกว่า "ประโยชน์ตน"

กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)

ระบบ-ธรรมมะอวกาศ

ทำไมมนุษย์ต่างดาวไม่ปรากฏตัวให้เห็นแบบเป็นทางการไปเลยล่ะ

ทำไมมนุษย์ต่างดาวไม่ปรากฏตัวให้เห็นแบบเป็นทางการไปเลยล่ะ

1.ไม่ สมเหตุสมผลเลยที่มนุษย์ต่างดาวเดินทางมายังโลกของเราเป็นระยะทางหลายล้านปี แสงเพื่อมาหลบๆ ซ่อนๆ มิสู้เปิดเผยตัวตน แสดงเจตนารมณ์ และติดต่อกันอย่างเป็นทางการดีกว่าหรือ?

จาก การที่ผมได้สัมผัส และรับรู้ข้อมูลจากทางกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) มานานพอสมควร จึงทำให้ทราบจุดประสงค์ที่แท้จริงของการที่มนุษย์ต่างดาวทำไมถึงต้องเดินทาง มายังดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงนี้

มนุษย์ต่างดาวที่สื่อสารมา ยังกลุ่ม นั้น ได้บอกวัตถุประสงค์ไว้ชัดเจนว่าต้อง การที่จะมาช่วยเหลือมนุษย์ในช่วงที่จะ เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ขึ้นในโลกใบนี้ ซึ่งตรงนี้ก็บังเอิญมาตรงกันกับพุทธทำนาย คำภีร์ไบเบิ้ล พระเกจิอาจารย์ที่ทรงอภิญญาหลายรูป หลายองค์ ว่าจะมีเหตุการณ์ดัง กล่าวเกิดขึ้นจริง อย่างน้อยก็เพื่อนๆ ในเว็ปพลังจิตนี้ ที่มีการรวมตัวกันตั้งเป็นกลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติกันขึ้น และมีการทำงาน มีการวางแผน รวมถึงการแจ้งเตือนด้านภัยพิบัติควบคู่กับธรรมะมา โดยต่อเนื่อง และเป็นรูปธรรมด้วย ในขณะที่แนวโน้มความหนักหน่วงของภัยธรรมชาติก็มีแต่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น แล้วยังขยายวงกว้างออกไปในเขตพื้นที่ที่ไม่เคยเกิดภัยพิบัติเช่นว่านั้นมา ก่อนด้วย

2.มนุษย์ต่างดาวรู้ว่าจะเกิดอะไรกับโลกใบนี้ แล้วทำไมไม่ใช้เทคโนโลยีทำให้มันไม่เกิดล่ะ

ก็ มันเป็นกฎธรรมชาติ การแปรปรวนของธรรมชาติมันเป็นเรื่องธรรมดา แล้วมันก็ใหญ่เกินกว่าที่มนุษย์ต่างดาวซึ่งก็ต้องอยู่ในกฎธรรมชาตินี้ด้วยจะ ไปทัดทานได้ ดาวของเขาเองก็ต้องมีเรื่องภัยธรรมชาติหรือการแปรปรวนของกฎธรรมชาติ แต่เขามีเทคโนโลยีที่จะเอาตัวรอดได้ เช่น อาศัยอยู่ในยานบิน แล้วบินหนีไปหลบให้ห่างหน่อย พอสงบดีแล้วก็กลับมาจอดมาอาศัยต่อไปใหม่ได้

ใน โลกเราเอง ณ เวลานี้ ก็เป็นที่ทราบกันดีว่าน้ำแข็งที่ขั้วโลกกำลังละลายในอัตราที่สูงกว่าอัตรา การละลายในอดีตเป็นทวีคูณจนนักวิทยาศาสตร์ต่างลงความเห็นว่า ในอีกไม่กี่ปี หมีขั้วโลกจะต้องจมน้ำตายกันหมดเพราะอาศัยอยู่บนก้อนน้ำแข็ง สมมุติว่ามนุษย์เรามีการวางโครงการณ์ที่จะไปอพยพบรรดาหมีที่อาศัยอยู่ที่ ขั้วโลกตามจุดต่างๆ ซึ่งก็ถือว่ากว้างขวางมากในสายตาของมนุษย์เรา ตามหลักมนุษยธรรมเราอยากจะช่วยให้ได้ทุกชีวิต เพื่อที่จะนำพามาสู่ในที่ที่หมีขั้วโลกสามารถดำรงค์ชีวิตอยู่ได้ แต่ในความเป็นจริงเราคงช่วยไม่ได้หมด

มนุษย์เราก็ย่อมทราบดี ว่าหมีขั้วโลกนั้นดุร้าย ถ้าเข้าใกล้ก็คงต้องถูกทำร้ายอย่างแน่นอน แต่เราก็ยังยืนยันกันว่าต้องช่วย และอยากจะช่วยให้ได้มากที่สุดด้วย ซึ่งในขณะที่ดำเนินการช่วยเหลืออยู่นั้น อาจมีใครถูกทำร้ายบ้าง เราก็ยังจะช่วยอยู่ดี เพราะเราเข้าใจธรรมชาติของสัตว์ชนิดนี้ดีว่าดุร้าย ก็มันเป็นสัญชาติญาณของมันเอง นี่เรื่องสมมุตินะครับ

3.มนุษย์ต่างดาวมาตั้งไกล แล้วทำไมมาทำลับๆ ล่อๆ ไม่มาปรากฏตัวหรือติดต่อกันอย่างเป็นทางการไปซะเลย?

ก็ เพราะเขาทราบดี ว่ามนุษย์เรามีอุปนิสัยเป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่าเขาเห็นเราเลวร้ายหรือเปรียบเทียบกับสิ่งที่ผมยกตัวอย่างขึ้นมาเอง นะครับ เป็นเพราะเขาเคารพเหตุปัจจัย เห็น ความเป็นเช่นนั้นเองของมนุษย์ การที่เขาจะมาเพื่อช่วยเหลือในช่วงที่เกิดภัยพิบัติก็ต้องมีการเตรียมการ การวางแผน วางโครงข่ายต่างๆ ทั้งทางด้านสถานที่ที่ต้องคำนวนให้ดีว่าที่ไหนจะปลอดภัย ด้านอาหารการดำรงชีพ ด้านการติดต่อสื่อสารที่เปรียบเสมือนจะต้องมีล่ามที่ได้รับความไว้วางใจจาก มนุษย์ด้วยกัน ด้านสถานที่ที่จะลงมาติดต่อสื่อสารด้วย และที่สำคัญคือระยะเวลาที่เหมาะสมที่จะมาแสดงตัว

4. ถ้าสมมุติว่าวันนี้ พรุ่งนี้เขามาลงจอดเลย เอาแถวๆ สนามหลวงก็ได้ ถามว่าน่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?

ผู้ คนต้องแตกตื่นเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่มีใครทราบวัตถุประสงค์ของการมาในครั้งนี้ แน่นอนมนุษย์ก็มีสัญชาติญาณระแวงภัยเหมือนกัน ออกจะมากกว่าสปีชี่อื่นด้วยซ้ำ หลังจากนั้นก็คงจะมีแต่กองกำลังมาห้อมล้อมแทนฝูงชน ชาติมหาอำนาจต่างๆ ก็อ้างสิทธิปกป้องความมั่นคงของโลก แล้วถือวิสาสะมาล้อมสนามหลวงด้วย และแน่นอนว่าต้องติดอาวุธที่ร้ายแรงที่สุดที่ตัวเองมีอยู่มาด้วย แล้วมีคำถามอีกว่ามนุษย์ต่างดาวเขาจะคุยกับใคร ด้วยภาษาอะไรได้หรือครับ ถ้าเป็นภาษามือก็อาจจะไม่เข้าใจกันเพราะเขาอาจจะไม่มีมือข้างละห้านิ้ว เหมือนเราก็ได้ ก็อุปมาอุปมัยเหมือนเจตนาจะไปขนย้ายหมีขั้วโลก แต่เดินไปตัวเปล่าในวงล้อมของหมีขั้วโลกนั่นแหละครับ เพราะฉะนั้นด้วยเหตุผลนี้มนุษย์ต่างดาวจึงยังไม่มาปรากฎตัวอย่างเปิดเผยให้ มนุษย์เดินดินอย่างเราๆ ได้เห็นกันจะจะ(ทุกคน) ยังไงล่ะครับ

5. ช่วยบอกคร่าวๆเกี่ยวกับภัยพิบัติ และการช่วยเหลือได้มั้ย?

จาก ข้อมูลที่ทราบกันแล้วคือ มนุษย์ต่างดาวจะมาให้ความช่วยเหลือตั้งแต่ก่อนเกิด ขณะเกิด และหลังจากที่เกิดภัยพิบัติแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีการประสานงานเพื่อการเตือนภัย(ดังชื่อกลุ่มฯ)ในขณะ ก่อนที่จะเกิดภัยพิบัติอย่างแน่นอน และภัยพิบัติที่กล่าวถึงนี้ คง จะไม่ใช่ภัยพิบัติที่มนุษย์ด้วยกันสามารถที่จะช่วยเหลือกันเองได้ แต่จะต้องเป็นภัยที่ใหญ่เกินกว่าที่ใครจะช่วยเหลือใครได้แม้แต่ตัวเอง จนถึงขนาดที่จะต้องได้รับความช่วยเหลือจากผู้ที่มีความเจริญจากดวงดาวอื่นๆ ทั้งในและนอกระบบสุริยะจักรวาลของเรา

6. มนุษย์ต่างดาวที่มาให้ความช่วยเหลือเรื่องภัยพิบัติ แตกต่างหรือเหมือนกับมนุษย์โลกอย่างไร?

มนุษย์ ต่างดาว ไม่ว่ารูปขันธ์ของเขาจะเหมือนมนุษย์โลกของเรา หรือแตกต่างกันมากมายอย่างไรก็ตาม ก็คงไม่มีเทคโนโลยีที่มีความสามารถไปยับยั้งความแปรปรวนตามกฎของธรรมชาติของ โลกหรือดวงดาวดวงไหนได้ทั้งดวง หรือสมมุติว่าจะเกิดสงครามระหว่างมนุษย์ด้วยกัน จะ ยิงนิวเคลียร์กัน มนุษย์ด้วยกันเองก็ยังไม่สามารถที่จะห้ามกันได้เลย ถ้ามนุษย์ต่างดาวเข้าไปห้ามก็คงจะยิ่งพูดกันไม่รู้เรื่องเข้าไปใหญ่ แล้วกรณีการที่จะ ไปให้ความช่วยเหลือก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ เช่น จะไปช่วยผู้ที่ถูกกัมมันตภาพรังสีจากระเบิดนิวเคลียร์ก่อนที่จะมีการทิ้ง ระเบิดกันจริงๆ จะเป็นไปได้อย่างไร หรืออีกกรณีตัวอย่างหนึ่ง เช่น แม้เราจะรู้ก่อนว่าจะเกิดพายุนากีสพัดผ่านเข้าประเทศพม่า จะมีความรุนแรงของพายุสูง อย่างดีเราก็แค่เตือนให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยหาทางป้องกัน หรืออพยพไปอยู่ในที่ปลอดภัย แม้กระนั้นหลังจากเกิดพายุแล้วก็ยังมีความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินกัน เป็นจำนวนมาก แต่สมมุติถ้าเรามีเทคโนโลยีที่สามารถคำนวณได้ว่าจะเกิดพายุนากีสตั้งแต่ก่อน ที่พายุจะตั้งเค้าล่ะ จะเข้าไปเตือนภัยพม่าให้อพยพซะก่อนที่จะมีความสูญเสีย ก็คงจะไม่มีใครเชื่อ ยิ่งบางเหตุการณ์ในช่วงชีวิตของเขายังไม่เคยเจอมาก่อนก็ยิ่งไปกันใหญ่

โลก เราปัจจุบันยังมีแต่เพียงผู้นำประเทศต่างๆ และผู้นำประเทศมหาอำนาจต่างๆ ที่พยายามจะแก่งแย่งชิงดีกันในทางโลกเพื่อที่จะนำประเทศของตนก้าวขึ้นไปเป็น ประเทศมหาอำนาจของโลก ซึ่ง ณ ปัจจุบันเราก็จะเริ่มเห็นสัจจธรรมความไม่เที่ยงของประเทศที่กล่าวกันว่าร่ำ รวย เป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของโลกกันบ้างแล้ว ดังนั้นการที่ใครจะข้ามจักรวาลมาคุยกับใคร ด้วยภาษาอะไร ถึงเรื่องอะไรที่ยังไม่มีเค้าลางว่าจะเกิดอะไรขึ้น ที่ไหน เมื่อไร อย่างไรนั้น ก็คงเป็นเรื่องที่ผู้ที่เจริญด้วยสติปัญญาและเทคโนโลยีที่จะมาให้ความช่วย เหลือนั้นย่อมตระหนักดีอยู่แล้ว

กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือน ภัย(เขากะลา) คงไม่มีศักยภาพไปเทียบถึงขั้นระดับผู้นำประเทศใดๆ ในการเตรียมการให้ความช่วยเหลือเรื่องภัยพิบัติแก่ใครได้เลยในขณะนี้ เพียง แต่เมื่อถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมตามที่ผู้ที่มีความเจริญทางสติปัญญาเห็นสมควร แล้ว กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ก็คงจะต้องทำหน้าที่ประสานงานเพื่อการเตือนภัยด้วยรูปธรรมที่ทำให้การช่วย เหลือเรื่องภัยพิบัติต่างๆ นั้นสัมฤทธิ์ผลอย่างแน่นอนละครับ เพราะมนุษย์ต่างดาวเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ เราเป็นเพียงผู้ประสานงานฯ

ผู้ ที่เป็นชาวพุทธอย่างเราๆ ท่านๆ คงจะต้องมีความเชื่ออย่างถูกต้องตรงกันว่าโลกของเราใบนี้ในช่วงเวลานี้นั้น ย่อมต้องเคยมีพระพุทธองค์อุบัติมาแล้วถึง 4 พระองค์อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเราเชื่อมั่นในคำตรัสคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดม แต่เราก็ไม่สามารถเสาะหาพยานหลักฐานเป็นวัตถุหรือรูปธรรมใดๆ ที่จะแสดงให้เห็นถึงอารยะธรรมของพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ได้เลย ซึ่งอาจเป็นเพราะว่าความแปรปรวนไม่เที่ยงของโลกธาตุของโลกเราที่ย่อมต้อง เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาด้วยความเป็นเช่นนั้นเอง

ดังนั้นเรา จึงไม่สามารถจะตอบปัญหาได้ชัดเจนนักว่ามนุษย์ต่างดาวเคยมาเยือน เคยมาช่วยเหลือด้านภัยพิบัติในโลกของเรามาบ้างแล้วหรือไม่อย่างไร แต่ถ้าเกิดว่ามนุษย์ต่างดาวเคยเดินทางมาให้การช่วยเหลือเรื่องภัยพิบัติใน โลกของเราแล้ว นั่นก็หมายถึงว่าภัยพิบัตินั้นๆ ก็คงต้องยิ่งใหญ่จนมีผลกระทบต่อการดำรงค์เผ่าพันธุ์ของมวลมนุษยชาติต่อไป อย่างแน่นอน และในครั้งนี้ ผมเองก็เกรงว่ามนุษย์ต่างดาวก็คงจะมาเพื่อให้ความช่วยเหลือมนุษย์โลกของเรา ด้วยเหตุผลเดียวกัน คงไม่มาแทรกแซงทางอารยะธรรมของโลกแค่เรื่องการทะเลาะเบาะแว้งกันเองในสงคราม ต่างๆ หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติที่มนุษย์ด้วยกันเองก็ยังสามารถช่วยเหลือกันเองได้ หรอกนะครับ

ตอบโดย อาจารย์อภิชาติ (no.9)

จาก ข้อความจาก กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา

วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Weird UFO's in Japan

First UFO of 2011. Camera One Read Description!

MUST SEE!!!ufo footage!!!

ระบบ / การซ้อนขันธ์

ผู้ดู หรือสติปัญญา ที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ แต่ยากที่จะเห็นได้

ภาษาระบบจึงให้เรียก .... การซ้อนขันธ์
เป็นอุบายอย่างหนึ่ง คือสร้างตัวนักสืบซึ่งก็คือตัวสติ ซ้อนออกมาเป็นผู้ดู

เพื่อที่จะดูให้เห็นว่า....ขันธ์ห้า มันมันไม่ได้เป็นตัวเราโดยแท้จริง มันแยกกันได้ เพื่อที่จะไม่รีบยึด ไม่รีบทุกข์ นั่นเอง

เพราะเมื่อก่อน หากพูดถึงคำว่า.... ให้มีสติ ฝึกสติให้รู้ทันอุปาทาน

แต่น้อยคนนักที่จะทำได้ เพราะไม่เข้าใจ ไม่รู้จะคอยดูมันอย่างไร จึงมักจะคล้อยตามไปในอุปาทานเหล่านั้น

แต่ พอเป็นอุบายให้ซ้อนขันธ์ ออกมาดูอารมณ์เหล่านั้นที่กำลังเกิดขึ้น นั่นคือหลอกให้มีสติ เพื่อใช้จับอารมณ์ไว้ก่อน แล้วจึงใช้ปัญญาตัดอุปาทานนั้นออกไป

การฝึกสติแบบนี้จึงดูเป็น เรื่อง ง่าย ๆ คิดกังวล ก็ซ้อนออกมาดูความกังวล เมื่อเห็นความกังวล เห็นความคิด ก็จะไม่กลัวความคิด เพราะเกิดปัญญาเห็นธรรม หรือเห็นธรรมชาติของขันธ์ห้า ที่มันปรุงแต่งเรื่อยไป ก็วางมันได้ด้วยปัญญา

จึงมีสติรู้เท่าทันขันธ์ห้า รู้เท่าทันความคิด เห็นการปรุงแต่งของสังขาร รู้เท่าทันอารมณ์ ที่เกิดขึ้นตามภาวะนั้น ๆ

นี่คืออุบาย ให้แยกสติออกจากขันธ์ห้า แบบง่าย ๆ สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน

เป็นส่วนหนึ่งในการฝึกสติปัฐฐาน 4 คือกาย เวทนา จิต ธรรม

เมื่อมีสติ เป็นผู้เห็นอารมณ์เหล่านั้นในขันธ์ 5 ก็ยังไม่ทันยึด ยังไม่ทันทุกข์ นั่นเอง

กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)

วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ระบบ 3

ดังนั้น จากการประเมินแล้วว่า มนุษย์ไม่อาจเข้าใจกลไกของระบบได้อย่างถูกต้อง ได้อย่างชัดแจ้ง ด้วยการมีกรอบความคิดที่ไม่อาจเปิดกว้างได้ หากสภาวะจิตไม่สามารถเข้าถึงกลไกของธรรมชาติได้อย่างแท้จริง

คือ สภาวะที่ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ เป็นกลไกของเหตุปัจจัยตามธรรมชาติ ที่ยังมีความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า ที่มันปรุงแต่งตามธรรมชาติอย่างนั้นเอง แต่ไปอุปาทานว่ามันเป็นตัวเรา เป็นของเรา มันไปยึดว่ามีตัวเราเสียแล้ว ทุกอย่างเลยแคบหมด แคบอยู่แค่ตัวเรา และของเราเท่านั้น และเห็นว่ามีตัวเขา มีของเขาทั้งหลายอยู่รอบตัว

ดังนั้น การแก่งแย่งชิงดี จึงเกิดขึ้น แย่งจากของเขามาเป็นของเรา ด้วยความเห็นผิด คิดว่ามีตัวเรานั่นเอง

แม้ พระพุทธองค์ ทรงตรัสรู้ในกฏธรรมชาติ กฏของจักรวาล แล้วมาตรัสสอน ในกฏของธรรมชาติ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันไม่มีอะไรที่เที่ยงเลย มันต้องแปรปรวน มันคือความทุกข์ที่บังคับบัญชาไม่ได้ และ เพราะมันไม่ได้เป็นตัวตนจริงๆ มันเป็นเพียงธรรมชาติ มันเป็นการปรุงแต่งไปตามเหตุปัจจัยนั้น ๆ นั่นเอง

พระพุทธองค์ทรง เห็นแก่นแท้ของธรรมชาติ ท่านก็หลุดพ้นจากอุปาทาน หลุดพ้นจากการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า เข้าสู่ธรรมชาติ ไม่ต้องเวียนมาเกิด มาตายอีกแล้ว

ท่านรู้ท่านเห็น และท่านก็ได้ตรัสสอนไว้ หากบุคคลใดทำตามที่ท่านตรัสสอน ตรงไปตรงมา ไม่เบี่ยงเบนไปทางหนึ่งทางใด

ก็ย่อมหลุดพ้นตามท่านได้เช่นกัน

ดัง นั้น เมื่อการช่วยเหลือภัยพิบัติในครั้งนี้ เป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องที่จะให้แต่ละบุคคลที่ยังมีความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตนอย่าง เข้มข้น มารับผิดชอบในงานระบบนั้น ย่อมยากอย่างยิ่ง
เพราะความมีอัตตา ความมีตัวตน ย่อมเห็นว่าเราดีกว่าเขา เขาดีกว่าเรา อยู่ตลอดเวลา

การที่จะสละด้วยความเข้าใจว่าไม่ได้มีผู้ให้ และมีผู้รับ มันเป็นธรรมชาติที่เกื้อกูลกันเท่านั้น ย่อมเข้าใจไม่ได้เลย

จึง ต้องมีการวางโครงการ คัดเลือกผู้ต้องร่วมงานกับระบบไว้ก่อน วางไว้ตามจุด แล้วมีการฝึกให้มีความเข้าใจในกลไกของธรรมชาติ ให้รู้ถึงกลไกของจักรวาล รู้ถึงที่มาที่ไปตามกลไกของธรรมชาติ

น่าแปลก ที่เราเป็นมนุษย์ เดินยืนนั่งนอนอยู่บนโลกใบนี้ ยังไม่รู้กลไกของขันธ์ห้าของตนเอง ได้ดีเท่ากับผู้รู้ที่อยู่ในจักรวาล ต้องมาชี้ให้เห็น มาทำให้ดู มาให้เรียนรู้เพื่อปล่อยวาง ให้ละการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่มันไม่ได้เป็นตัวตนของใคร ให้เข้าใจถึงธาตุต่างๆ สารเคมีที่มีอยู่เองตามธรรมชาติ ที่มันทำงานไปตามกลไกเกี่ยวเนื่องกับขันธ์ห้า

คือสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ แล้วตรัสสอนไว้

แต่เมื่อกาลเวลาที่ผ่านไป การที่จะเข้าใจและเห็นจริงตามนั้น มันจึงเริ่มพร่ามัว และไม่สามารถเข้าใจในกลไกของธรรมชาติได้อย่างแท้จริง

เรียกว่า มาเรียนรู้ขันธ์ห้า กับอุปาทานนั่นเอง

ดังนั้น จึงมีการวางแผน วางโครงการ แล้วเริ่มดำเนินการฝึกในรูปแบบต่าง ๆ ทั่วโลก โดยพร้อม ๆ กัน

แต่ต่างรูปแบบ ตามที่แต่ละพื้นที่ แต่ละประเทศ แต่ละสังคม จะสามารถเข้าใจได้

ถ้านับถือสิ่งใด ๆ ศรัทธาสิ่งใด ๆ และสามารถทำให้เชื่อได้ในพื้นที่นั้น ๆ

ก็จะมาในรูปแบบที่ประเทศนั้น ๆ กลุ่มชนนั้น ๆ สามารถเข้าใจได้

จึงจะประสานงานไปได้ในทั่วโลก ไม่แบ่งชนชั้น ไม่แบ่งประเทศ ไม่แบ่งกลุ่ม ไม่แบ่งชาติ ไม่แบ่งศาสนา

เพราะภัยพิบัติ เป็นเรื่องใหญ่ ไม่ได้เป็นการช่วยเหลือใครคนใดคนหนึ่ง ชาติใดชาติหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

แต่เป็นการช่วยเหลือกันตามธรรมชาติ ที่ทุกชาติ ทุกศาสนา

ย่อมมีสิทธิ์รอดจากภัยพิบัติได้เท่าเทียมกัน

หากท่านอยู่ในเงื่อนไขของจักรวาล

หรือเรียกว่า กรรม วิบากกรรม ของแต่ละท่านจะจัดสรรนั่นเอง


กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)

Massive UFO Sightings In Hawaii 2010

วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ระบบ 2

ในช่วงนี้ ในระยะเวลานี้ มนุษย์ต่างดาวเคยถามในรุ่นแรกที่ยังปฏิบัติกันว่า รู้ไหม

ทำไมมนุษย์ต่างดาวจึงต้องระดมเทคโนโลยีจากดวงดาวต่าง ๆ มาให้ความช่วยเหลือ

ทำไมจึงต้องตั้งโครงการเฉพาะกิจขึ้นเป็นครั้งแรก โดยฝึกคนที่จะต้องมาทำงานกับมนุษย์ต่างดาวขึ้นมา

ทำไมจึงต้องวางโครงการนี้มานับพันปี เพื่อสร้างโครงข่ายให้ครอบคลุม และให้ทันตามเวลาที่กำหนด

และ ทำไม ยังคงต้องวนเวียน นำจานบินมาปรากฏให้เห็น เปิดเผยข้อมูล เปิดเผยเรื่องของมิติ เรื่องของเวลา เรื่องของกลไกขันธ์ห้าที่ทำงานตามระบบ ให้กับคนที่ต้องทำงานร่วมกับมนุษย์ต่างดาว

ซึ่งผู้ฝึกในรุ่นแรก ๆ เมื่อ 11 ปีที่ผ่านมา ย่อมยังไม่เข้าใจในจุดมุ่งหมายเช่นกัน

จึงได้รับการอธิบายให้ได้รับทราบ ว่า

นั่น ก็เพราะ ภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่จะเกิดกับโลกใบนี้ มากมายเกินกว่าที่มนุษย์โลกจะช่วยเหลือกันเองได้ และจะใช้เพียงดวงดาวจำนวนเล็กน้อยเช่นครั้งอื่น ๆ ก็ไม่ได้แล้ว

ต้อง ระดมดวงดาวมากมาย ที่เป็นกลุ่มสมาชิกสากล ของสมาพันธ์แห่งดวงดาว มาให้ความช่วยเหลือ เรียกว่าเป็นการระดมสมาชิกแทบทุกดวงดาวก็ว่าได้ มาร่วมในภารกิจนี้

และผู้ที่เข้าร่วมในภารกิจเดียวกัน ก็ต้องทำงานในระบบเดียวกัน

จึงต้องวางโครงข่าย ต้องทำการวางกลไกไว้อย่างเป็น....ระบบ

ไม่ว่าจะติดต่อประสานกับกลุ่มใด ๆ ประเทศใด ๆ ก็คือแผนงานจากระบบใหญ่ ที่มาวางโครงข่ายทั้งสิ้น

ก็เพื่อการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง

ระบบ จึง เป็นกลไกการทำงานที่ประสานกันอย่างผิดพลาดไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้น จะถูกตรงตามเวลา ตามเหตุการณ์ ตามสถานที่ และตามระบบ แม้บางครั้งอาจมองเหมือนไม่ถูกต้องตามความคิดของมนุษย์โลกก็ตามที

แต่ เพราะการทำงานเป็นระบบ ที่ต้องมีส่วนอื่น ๆ สอดรับตามความจำเป็นในการประสานงานกัน จึงต้องถูกตรงตามเวลา ตามหน้าที่ ตรงตามกลไกที่วางไว้

หากมีจุดหนึ่งจุดใด สะดุดหยุดลง ผู้ที่ดำเนินงานต่อไปก็จะคลาดเคลื่อนทันที

ดังนั้น ผู้ที่ระบบวางไว้ จึงต้องใหลไปตามกลไกของระบบ มีความสำคัญเท่าเทียมกันทั้งสิ้น

เหมือนเครื่องจักร ต้องทำงานประสานกัน หมุนไปตลอดเวลา

เหมือนโรงงานผลิตอาหารกระป๋อง

เริ่ม จากใส่วัตถุเข้าไป ก็จะเลื่อนไปยังอีกจุดหนึ่ง คือ...ใส่เครื่องปรุง แล้วเลื่อนไปอีกจุดหนึ่ง... ปิดฝา แล้วเลื่อนไปอีกจุดหนึ่ง....อบให้ร้อนปราศจากเชื้อโรค เลื่อนไปอีกจุดหนึ่ง...ติดสลาก แล้วเลื่อนไปอีกจุดหนึ่ง ... บรรจุกล่อง

ทุกอย่าง เป็นกลไกที่ต้องเลื่อนไปตามจังหวะเวลา จึงจะสอดรับกันอย่างได้ผล เครื่องจักรทุกชิ้นมีความสำคัญเท่ากัน เพราะเป็นฟันเฟือง เป็นกลไกตัวหนึ่งที่ทำให้อาหารกระป๋องนั้น ผลิตออกมาได้ เพื่อยังประโยชน์ให้ผู้ซื้อใช้ยังชีพต่อไป

ถ้าตัวใดตัวหนึ่งหยุดลงไป งานก็ดำเนินไปไม่ได้ เพราะเกิดการสะดุดนั่นเอง

งานของระบบ ก็เช่นกัน ต้องมีการเตรียมการ มีการวางแผน และสอดรับกันอย่างคาดไม่ถึง

เราจึงเห็นว่า เกิดความ "บัีงเอิญ" ครั้งแล้วครั้งเล่า บังเอิญบ่อย ๆ บังเอิญมากมาย มันเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตลอดมา

ตั้งแต่ก่อนมาเจอกลุ่มประสานงานฯ ขณะที่มาเจอและรับทราบข้อมูลแล้ว และจะยังคงเกิดความบังเอิญอยู่ต่อไปหลังจากนี้

นั่นเพราะว่า สิ่งที่เกิดขึ้น

มันไม่ใช่.... ความบังเอิิญ ... นั่นเอง


กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)

Alien Interview - Real alien footage

ระบบ 1

หากได้ยินชื่อ หลายคนอาจจะมีความคิดว่า ชื่อกลุ่มก็บอกแล้วว่า ประสานงานเพื่อการเตือนภัย แล้วทำไมจึงมีแต่มุมมองของธรรมะ มีแต่การปฏิบัติธรรม มีแต่การมุ่งเน้นให้ปล่อยวาง ให้เห็นความว่าง ละวางอัตตาตัวตน ให้รู้เท่าทันอุปาทานขันธ์ห้า ที่มันไม่ได้เป็นตัวเรา ของเรา

เน้นแต่ปฏิบัติเพื่อออกจากอุปาทานขันธ์ห้ากันอย่างเข้มข้น

แล้ว ยิ่งทำงานร่วมกับมนุษย์ต่างดาวด้วยแล้ว เป็นเวลานานนับ 10 ปีแล้ว ทำไมมนุษย์ต่างดาวจึงไม่เตือน ไม่มาปรากฏอย่างชัดเจน ไม่มาฟันธงวันที่จะเกิดภัยพิบัติลงไปเลยล่ะ

แล้วเตือนภัยพิบัติ ตรงไหน?

นี่คือคำถาม ที่หลายคนสงสัย ต้องการได้คำตอบ ต้องการทราบในโครงการของมนุษย์ต่างดาวที่ได้วางไว้

ในวันนี้ จึงต้องแจ้งให้ท่านทราบ ในเรื่องของโครงการระบบ ในเรื่องของการเดินทางมาจากหลายดวงดาว ที่มาโลกมนุษย์เพื่ออะไร?

โลก ใบนี้ ได้มีการเปลี่ยนแปลงมาหลายครั้งหลายหน เกิดภัยพิบัติมาแล้วมากมาย หนักบ้าง เบาบ้าง จุดนั้นบ้าง จุดนี้บ้าง แต่หากไม่มีหลักฐานปรากฏแล้ว มนุษย์ในยุคถัดมาอาจไม่มีการทราบได้

เราจึงได้พบแต่หลักฐานของการล่ม สลาย เจอบ้านเมืองอยู่ใต้พิภพ เจออยู่ใต้ดิน ใต้น้ำ หรือเจอหลักฐานแกะสลักตามผนังถ้ำต่าง ๆ ถึงเรื่องราวของผู้ที่เดินทางมาช่วยเหลือ เป็นแสงจากฟากฟ้า เป็นบุตรจากสวรรค์ หรือเป็นมนุษย์ที่ลอยลงมากับแสง หรือจะอะไรก็ตามเท่าที่มนุษย์ในยุคนั้นจะสามารถวาดภาพ บันทึกภาพ หรือจารึกไว้ในแผ่นหินตามถ้ำเหล่านั้น

นั่นหมายถึง บุคคลเหล่านั้น ต้องเป็นผู้ที่เหลือรอดจากเหตุการณ์ภัยพิบัติต่าง ๆ จากยุคนั้น ๆ มาได้

จึงได้บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ไว้ด้วยการแกะสลักตามถ้ำ ตามหินต่าง ๆ เพื่อเป็นการบอกเล่าสืบต่อกันมา

เพราะ ว่าในสมัยนั้น แต่ละจุด แต่ละสถานที่ ไม่สามารถเห็นกันได้ ไม่สามารถรับรู้กันได้ ที่ไหนเกิดอะไร ที่ไหนเป็นอะไร จะเห็นแต่เฉพาะหน้าของตนเท่านั้น

เพราะการสื่อสารไม่มี แม้เกิดห่างไปไม่กี่กิโลเมตร ก็ไม่สามารถรับรู้ได้แล้ว

ดังนั้น การที่จะรู้ล่วงหน้า เตรียมการ เพื่อเอาตัวรอดจากเหตุการณ์ภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในแต่ละครั้ง จึงไม่อาจเป็นได้

จึงต้องมีการช่วยเหลือจากผู้ที่รู้ และเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า จึงจะวางแผนการเพื่อให้ความช่วยเหลือได้ทัน

ดวงดาวอื่น ๆ บางดวงดาวมีอายุยืนหลายหมื่นปี และมีคุณธรรมตามปกติของผู้ที่รู้ในกฏของธรรมชาติ ที่ต้องให้การช่วยเหลือในโลกใบนี้

ย่อม มีการรู้เห็น ทั้งสิ่งที่ผ่านมาแล้ว และสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ดังนั้น การเตรียมการเพื่อช่วยเหลือมนุษย์โลกยังจุดต่าง ๆ จึงต้องมีขึ้น

จึงได้จัดเตรียมโครงการ เพื่อให้ความช่วยเหลือมนุษย์โลกหากเกิดภัยพิบัติในจุดใด ๆ ที่สามารถช่วยเหลือได้ตามกฏของธรรมชาติ

มิ ใช่จะทำการช่วยได้ทุกครั้ง ทุกคน ทุกเหตุการณ์ หากสิ่งนั้นเป็นการเกิดขึ้นตามกรรม วิบากกรรมของสถานที่นั้น ๆ จุดนั้นๆ และเขาเหล่านั้น

ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ในสมัยโบราณผู้นำกลุ่มนั้น ๆ จึงต้องได้รับข้อมูลมาจากสวรรค์ มาจากจักรวาล มาจากพระเจ้า หรือมาจากที่ใด ๆ ก็ตาม ที่ส่งมาให้ เพื่อที่จะได้รับทราบล่วงหน้า มีการเตือน มีการนำพา มีการอพยพให้ไปยังจุดต่าง ๆ ที่ปลอดภัย ซึ่งผู้ที่ได้รับข้อมูลมา ก็ได้ทำตามข้อมูลที่ได้รับ จึงยังคงมีมนุษย์ที่สืบต่อกันมานั่นเอง

มนุษย์ต่างดาว ที่ได้วางโครงการนี้ มีอายุหลายหมื่นปี มีการเห็นการรับรู้ สิ่งที่ผ่านมาของโลกใบนี้อย่างยาวนาน นับต่อ ๆ กันมา

มนุษย์ต่างดาว กับโลกใบนี้ จึงเป็นเรื่องที่มีคู่กันมานานแล้ว มิใช่เพิ่งมีในตอนนี้

แต่ เป็นเพียงการเฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ ตามธรรมดาของผู้ที่มีคุณธรรม และคอยช่วยเหลือในบางครั้ง โดยให้ความเคารพในกฏของธรรมชาติ กฏของจักรวาล

ดังนั้น การที่จะทำอะไรตามอำเภอใจนั้น ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้


กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)

ALIENS ARE REAL!!! Proof of Alien Existence!

กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย เขากะลา

งานเฉพาะกิจครั้งนี้ เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ และยากที่จะอธิบายให้บุคคลทั่วไปเข้าใจได้ ระบบจึงมุ่งหมายให้คนของระบบที่วางไว้ 5,000 คนทั่วโลกในโครงการนี้ ได้มาพบเจอกัน มารู้จัก มาเข้าใจ และทำงานร่วมกันก่อนในขั้นต้น

จะมาพบเจอ มารู้จักกันได้อย่างไร เพราะต่างคนต่างอยู่ หลากหลายสถานที่ หลายจังหวัด หลายประเทศ


ดังนั้นจึงต้องมีรูปแบบ จึงต้องมีการรวมกลุ่ม มีการทำกิจกรรมต่าง ๆ ขึ้นมา ให้คนทั่วไปได้รับรู้


มี การ...แจ้งเพื่อทราบ แจ้งข่าวผ่านทางสื่อมวลชน ทางทีวี ทางหนังสือพิมพ์ ทางนิตยสารมากมายหลายฉบับ เพื่อเป็นการส่งข่าวไปยังผู้ที่อาสาลงมาร่วมงานในโครงการเดียวกัน จะได้รับทราบ และเข้ามาพบเจอกัน


ดังนั้นหลายคนที่รู้จักเขากะลา รับรู้ความเป็นมา ก็เพราะดูจากรายการทีวี อ่านจากหนังสือ นี่คือสื่อ....ที่จำเป็น


แต่มิใช่ว่า เขากะลาจะอยากเด่น อยากดังใด ๆ แต่เพราะงานระบบ...ต้องดำเนินไปตามแนวทางอย่างนั้น


....มี "จานบิน" มากมาย มาปรากฏ เพื่อประกอบฉาก....เพื่อให้เกิดความสนใจ และเข้ามาศึกษาว่า...มนุษย์ต่างดาว...มาทำไม? บนโลกใบนี้


และสุด ท้าย เมื่อเข้ามาศึกษา ก็จะพบว่า จะมีทั้งเรื่องของต่างดาว และเรื่องธรรมะการละวางอัตตาตัวตน ควบคู่กันไปด้วย และเป็นประโยชน์ตนสูงสุด ของผู้ทำงาน


บุคคลของระบบท่านนั้น ๆ จะเข้าใจได้มากน้อยแค่ไหน ก็เป็นไปตามงานของแต่ละท่านที่ได้อาสาลงมา


ถ้ามีฉากร่วมกันนาน ก็จะเข้าใจ อยู่ร่วมกันไป ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันตามงาน

ถ้ามีฉากร่วมกันน้อย ก็ผ่านมา แวะทักทาย แล้วผ่านไปทำงานของแต่ละท่าน....ที่ได้รับมอบหมายมา

คนระบบอีกมากมาย ที่ไม่เคยได้พบเจอ ไม่เคยได้รู้จัก ไม่เคยได้พบหน้า แต่รับรู้ว่ากลุ่มนี้กำลังทำอะไร

เพราะรับรู้ผ่านอินเตอร์เน็ททางไกล นั่นเอง

ดังนั้นระยะทางจึงไม่ใช่ปัญหาของการมาทำความเข้าใจ


เพราะการให้ข้อมูลข่าวสารผ่านอินเตอร์เน็ท ก็เป็นการทำงานของระบบอย่างหนึ่ง

อย่าง เช่นที่พี่สุดใจ กำลังให้ข้อมูลต่าง ๆ ผ่านเว็บไซด์แห่งนี้ ก็เป็นการทำงานกับระบบอย่างหนึ่ง คือการแจ้งเพื่อทราบ ในโครงการช่วยเหลือภัยพิบัติในครั้งนี้ ตามที่ได้รับการถ่ายทอดข้อมูลลงมา

ถ้าบุคคลคนนั้น เป็นคนที่ระบบได้วางไว้ เขาก็จะเข้าใจได้นั่นเอง


บาง ท่าน สนใจเรื่องภัยพิบัติ ก็ได้หาข้อมูลข่าวสารมาแบ่งปันให้เพื่อน ๆ ได้รับทราบ ให้ตระหนักถึงเหตุการณ์ที่เริ่มรุนแรงขึ้น บุคคลนี้อาจจะทำเช่นนั้นเป็นประจำตามความชอบ ตามความสนใจ อาจไม่ทราบด้วยซ้ำไป ว่านี่คือการทำงาน


จะทำงานแบบเข้าใจ หรือไม่เข้าใจ ก็ทำงานได้เช่นกัน


จึงถูกต้อง...ทุกงาน ทุกหน้าที่ ทุกวิธี...ที่มีการดำเนินกิจกรรมเพื่อการประสานงาน


ทุกท่านที่บังเอิญพบเจอ บังเอิญเข้ามาสนใจ ก็เรียกได้ว่า....มาตามงาน

ได้ เข้ามาอ่าน มารับรู้โครงการ มาทำความเข้าใจ มาเก็บเกี่ยวประโยชน์ตนกลับไป...สักวันหนึ่งท่านก็จะรู้ได้ว่า งานของท่านคืออะไร ?

เพราะถ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ก็ไม่อาจมาพบเจอ มาเข้าใจ หรือมาเชื่อถือในเรื่องเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน


กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)

ประตูมิติ a STARGATE

กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย เขากะลา

ขออนุโมทนาและเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังทำงานกับระบบ แม้ว่าจะดูย่ำแย่ในสายตาของคนทั่วไปก็ตาม

แต่หากมีความเข้าใจ มีมุมมองที่เห็นความเป็นจริงของธรรมชาติได้


คุณจะต้องขอบใจ ในความทุกข์ที่กำลังเผชิญอยู่


เพราะความทุกข์ มีโทษมหันต์ สำหรับผู้ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5

แต่มีคุณอนันต์ สำหรับที่ผู้ปราถนาจะออกจากทุกข์ ออกจากการยึดมั่นถือมั่น เพื่อหลุดพ้นจากอุปาทานของขันธ์ 5

แล้วไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ต้องมีทุกข์ก่อน จึงจะออกจากทุกข์ได้


ต้องเห็นทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ รู้ทางดับทุกข์ และต้องเดินตามแนวทางปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์

ตามที่พระพุทธองค์ท่านทรงชี้ทางไว้แล้วนั้น

วันนี้ เราเห็นทุกข์ เรารู้เหตุแห่งทุกข์ และรู้ทางดับทุกข์ ที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนแล้ว

ที่เหลือคือ การปฏิบัติ เพื่อออกจากทุกข์นั้น

นี่คือสิ่งที่ยังมองเห็นไม่ชัด ปฏิบัติยังไม่ตรงเป้าหมาย จึงยังเห็นไม่ได้ ยังรู้ไม่เท่าทันกลไกของขันธ์

จึงยังต้องถูกมันพาไปเกาะติด กับความคิด ความรู้สึก อารมณ์ทั้งหลาย
เมื่อหลงยึดตามไป ทุกข์ทั้งหลายก็ตามมา

เมื่อมันชวนตามไป แล้วไม่สนใจ

ความสำคัญนั้น ๆ มันจะน้อยลงทันที เพราะเห็นเป็นเพียงแค่ความคิด แค่การปรุงแต่ง แค่อารมณ์ทั้งหลายเท่านั้น

อย่าให้ความสำคัญกับมันเท่านั้น แยกสติออกมา อย่าไปจับจ้อง อย่าไปจมอยู่กับอารมณ์ กับความรู้สึกนั้น ๆ

ถ้าให้ความสำคัญ มันจะมีอิทธิพลในทันที

เทคนิค....การแยกสติแบบง่าย ๆ


ให้แยกสติไปอยู่จุดอื่น เรียกว่าเบี่ยงเบนความสนใจ แยกไปอยู่ตามจุดต่าง ๆ ในขันธ์ 5 ในท่ายืน เดิน นั่ง นอน ก็ได้


เช่น เคาะนิ้ว ขยับมือ หรือขยับแขน ขยับขา เพราะขยับเขยื้อนที่จุดใด หรือจดจ่อที่จุดใด สติจะวิ่งไปยังจุดนั้นโดยอัตโนมิติ เรียกว่าเรียกสติแยกออกมาจากจุดเกิดเหตุ คือการจมอยู่กับอารมณ์ กับความคิดทั้งหลาย หรือจะไปอยู่ที่ลมหายใจ ที่ใด ๆ ที่เคยฝึกสมาธิมา ก็ได้

เรียกว่า หาทางให้มันแยกจากกัน วงจรนั้นจะถูกตัดขาด กำลังเบื่อหน่าย หดหู่ พอสติแยกไป วงจรที่กำลังอินในความหดหู่ เบื่อหน่ายก็จะขาดตอน


นี่คือ เทคนิค หรืออุบายง่าย ๆ ที่เรียกให้สติแยกออกมา แล้วใช้ปัญญาฟันซ้ำ อ้อ...ดันเผลอเข้าไปให้ความสนใจกับอารมณ์ แล้วไปรับเอาอารมณ์ของขันธ์ มาอุปาทานว่าเป็นของเรานี่เอง


เมื่อแยกออกมา แล้วบอกมันดัง ๆ ว่า ฉันอยู่ที่นี่ ฉันอยู่กับความสงบ กับสติ กับสมาธิ

ที่กำลังคิด กำลังปรุง กำลังห่อเหี่ยว ฟุ้งซ่านมากมาย ที่แท้ก็เป็นแกรวมหัวกัน คือขันธ์ทั้งหลายเท่านั้นเอง

(ใน ขั้นตอนนี้ จะให้เห็นว่าไม่มีตัวตนในขันธ์เลยยังไม่ได้ เพราะมันจะยังไหลไปรวมกันกับทุกข์อยู่ ยังคงสมมุติว่ามี...ฉัน(สติ) ดูแก(ขันธ์ 5)...อยู่ก่อน เพื่อให้เห็น ว่ามีผู้ดู กับผู้เล่น เป็นคนละชิ้นกัน เพื่อเอาตัวรอดจากทุกข์มาก ให้กลายเป็นทุกข์น้อยก่อนในขั้นต้น)


ถ้ามีที่ให้อยู่ มีที่ให้แยกไป จะมีสติเห็นได้ในขณะที่ขันธ์กำลังปรุงแต่ง

มันกำลังคิด กำลังห่อเหี่ยว กำลังหดหู่ กำลังเจ็บปวด เบื่อหน่าย

เพราะมีผู้ที่แยกออกไปอยู่อีกที่หนึ่ง กำลังดูผู้ที่แสดงอีกที่หนึ่ง


นี่คือตัวสติ กำลังดูการเล่นละครของขันธ์ 5 ที่ปรุงแต่งออกมาหลากหลายอารมณ์


อย่าไปรวมกับมัน จะได้เห็นมันถนัด ๆ เจ็บได้ ปวดได้ เบื่อได้ เซ็งได้ แล้วแต่มันจะปรุงแต่งอะไรในขันธ์


แต่ทุกข์กินไม่ได้ เพราะไม่มีใครไปอุปาทานเอาการปรุงแต่งในขันธ์นั้น ๆ มาเป็นทุกข์ฉันนั่นเอง


เป็น เทคนิคการแยกสติแบบง่าย ๆ เมื่อมีสติเห็น ความคิด อารมณ์ การปรุงแต่งทั้งหลาย จะสังเคราะห์ปัญญา รู้เท่าทันว่า อ๋อ...ไอ้เจ้าขันธ์ มันทำงานตามหน้าที่ของมัน คืองานผลิตทุกข์อีกแล้ว


เพื่อที่จะไม่ไปรับเอาทุกข์จากขันธ์ มาเป็นของฉันเต็ม ๆ



ขอให้เข้าใจว่า ทุกข์ก็มีคุณอนันต์ ทำให้เห็นขันธ์เป็นสิ่งน่าเบื่อหน่าย จึงคลายกำหนัดในขันธ์ 5 เหล่านั้น


เพราะหากคุณไม่เห็นทุกข์ คุณย่อมไม่เห็นธรรม

หากคุณไม่เคยทุกข์ คุณย่อมไม่ขนขวายหาธรรม
หากคุณสุขสบาย ก็คงไม่ย่างกรายเข้าหาธรรม

คิดว่า เรายังโชคดีมากมาย ที่มีโอกาสเจอทุกข์แล้ว ยังเข้าใจธรรมได้ นับว่ามีหนทางออกจากทุกข์ได้เช่นกัน



กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)

วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ระบบ

ก่อนอื่น ต้องขอทำความเข้าใจกับท่านสมาชิกที่ได้ติดตามข้อมูลของกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) อย่างต่อเนื่อง

บาง ท่านอาจไม่เข้าใจ และคิดว่า คนที่จะมาร่วมงานกับมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา หรือจะมาทำงานร่วมกันกับกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) กลุ่มนี้ จะต้องมาอยู่รวมกัน มาเป็นสมาชิก แล้วต้องมาทำงานร่วมกัน เหล่านี้เป็นต้น

ก็ จะขออธิบายเพื่อทำความเข้าใจเพิ่มเติม ซึ่งจะต่อเนื่องจากลักษณะงานของแต่ละแผนก ที่มีการแยกกันไปอยู่ในแต่ละจุด แต่ละสถานที่ทั่วโลก ซึ่งได้แจ้งเพื่อทราบไปแล้วนั้น

การที่ระบบได้วางโครงข่ายในการให้ความช่วยเหลือมนุษย์ในโครงการนี้ มีการจัดหาบุคคลเข้าร่วมทำงานกับมนุษย์ต่างดาว ในหลายรูปแบบ คือ

รูปแบบ 60 บุคคล
รูปแบบ 100 ครอบครัว
รูปแบบ 5,000 คนทั่วโลก

ในรูปแบบแรก 60 บุคคล
ซึ่ง เริ่มมีการคัดเลือกผู้เข้าฝึกขึ้นในรุ่นแรก เมื่อปี "2541 - 2543" ในส่วนนี้ได้ผ่านไปแล้ว โดยมีการรับบุคคลเข้าร่วมฝึก 60 บุคคล จึงเรียกว่า กลุ่มเขากะลารุ่นแรก 60 บุคคล

เป็นการฝึกเป็นกลุ่ม ของผู้ที่มีหมายเลข 60 บุคคลนั้น ก็เป็นฝึกในชื่อเรียกว่า เป็นกลุ่มเขากะลา(ในขณะนั้น) เพราะเป็นการฝึกฯ ที่มนุษย์ต่างดาว เป็นผู้นำฝึกเองในรูปแบบเป็นกลุ่ม จึงเป็นที่ทราบกันว่า เป็นกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) อย่างแน่ชัด และมีการทำงานแบบรู้ตัวว่าทำงานกับมนุษย์ต่างดาว

การเผยแพร่ข่าวสาร ที่รับมา เพื่อออกสู่สาธารณชนนั้น จึงถูกต้อง ตรงตามทฤษฎีระบบตามข้อมูลที่ส่งมา จึงเป็นการทำงาน...ที่รู้ตัวว่า...กำลังทำงานกับมนุษย์ต่างดาว

ในรูปแบบ 100 ครอบครัว .....
ก็ คือผู้ที่ได้เดินทางมาสัมผัส มารับรู้การมาเยือนของมนุษย์ต่างดาว มารับรู้ข้อมูล และสนับสนุนในการเผยแพร่ข่าวสารไปยังสาธารณชน ในรูปแบบต่าง ๆ
แต่ไม่ได้เข้าร่วมฝึก อาจเป็นบุคคลในครอบครัวของผู้ฝึก ที่ไม่ได้เข้าร่วมฝึกด้วย จึงอยู่ในประเภท 100ครอบครัว ส่วนใหญ่จะมาสนใจกันทั้งครอบครัว และมาพบเจอกันในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกันกับการฝึกกลุ่ม

แต่เป็นผู้ ที่ได้รับการไว้วางใจจากมนุษย์ต่างดาว ให้มาทำหน้าที่ต่าง ๆ จะมีการพบเห็นยานอวากาศแบบชัดเจน เพื่อเป็นการยืนยันในข้อมูล เป็นผู้ถ่ายภาพยานอวกาศได้ มีความเข้าใจในการมาโลกมนุษย์เพื่ออะไร บุคคลนี้จึงมีการพบเห็นยานอวกาศบ่อย ๆ และทำหน้าที่เผยแพร่ภาพต่าง ๆ ออกสู่สาธารณะ

บุคคลกลุ่ม 100 ครอบครัวนี้ จะอยู่ในหลาย ๆ กลุ่มที่ทำเรื่องเกี่ยวกับภัยพิบัติ มิใช่พบเจอจานบิน รู้เรื่องมนุษย์ต่างดาวและสื่อสารกับเขาได้แล้ว จะต้องมาอยู่รวมกันกับกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) มิใช่เช่นนั้น

บุคคลท่านนั้น ก็ยังอยู่ในกลุ่มของท่านเช่นเดิม ยังคงกระทำกิจกรรมยังกลุ่มต่าง ๆ เช่นเดิม แต่ก็จะมีบางท่านในกลุ่มนั้นสามารถรับข้อมูลที่สื่อสารลงมาได้ จะผ่านช่องทางใดก็ตาม ความฝัน สมาธิ หรือเข้ามาในความคิดขณะที่ยังลืมตาอยู่ก็ตาม ก็ย่อมเป็นเรื่องที่ทำเพื่อประโยชน์มนุษย์โลกทั้งสิ้น

เพราะในอนาคต ข้างหน้า กลุ่มที่ช่วยเหลือเรื่องภัยพิบัติ จะต้องมีผู้รับข้อมูลโดยตรงจากดวงดาวต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่สื่อสารกับกลุ่มนั้น ๆ หรือบุคคลนั้น ๆ ไม่ต้องมาผ่านกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) แต่อย่างใด แต่ท่านที่สื่อสารก็จะพอทราบได้ว่า มีข้อมูลจากแหล่งอื่น ๆ ส่งเข้ามา ไม่ใช่เป็นผู้คิดเองทั้งหมด จึงทำงานแบบรู้ตัวในส่วนหนึ่ง


ในรูปแบบสำหรับ 5,000 คนทั่วโลก
ส่วน มากจะเป็นการทำงานแบบตัวคนเดียว เป็นการฝึกเดี่ยวมาก่อน และจะมีประสบการณ์แปลก ๆ มีความสามารถพิเศษมาก่อน และมักมีข้อข้องใจ สงสัย และเสาะหาที่มาของสิ่งที่ตนเองกำลังสงสัย มีความสนใจในเรื่องเหนือธรรมชาติ หรือเรื่องราวจากนอกโลก

ส่วนมาก ไม่ค่อยมีการรวมกลุ่ม หรืออาจจะอยู่ในกลุ่มต่าง ๆ ตามศาสตร์ที่แต่ละท่านสนใจ ต่างคนต่างทำงานตามความสนใจ ตามความชอบของแต่ละคน และส่วนใหญ่ก็จะไม่รู้ตัวว่า เป็นผู้ที่มาตามงานในโครงการนี้

นอกจาก ระบบจะมีการคัดเลือกผู้เข้าร่วมงานเป็นการเฉพาะกิจขึ้นมา เพื่อให้ผู้ที่ขันอาสาลงมาตามงาน มาพบเจอ มาร่วมงานกัน อย่างเช่นการคัดเลือกผู้เข้าร่วมงาน กับกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) รุ่นที่ 2 ที่ผ่านมา

และกำลังสรรหาบุคคลเข้าทำงานในรุ่นต่อไป คือรุ่นใหม่ รุ่นที่ 3 ซึ่งก็มาตามงานกันแต่ละท่านในขณะนี้
ดัง นั้น จึงได้จัดให้มีรูปแบบ มีกิจกรรม และรวบรวมบุคคลที่ระบบวางไว้ ให้เข้ามารวมกลุ่มกัน เพื่อร่วมทำงานกับมนุษย์ต่างดาว แบบรู้ตัวว่ากำลังทำงานนั่นเอง

ได้มีการแจ้งเพื่อทราบ มีการเปิดเผยข้อมูลให้รับทราบ และมีการจัดกิจกรรม เพื่อให้ผู้สนใจ มีการมาพบเจอ มารับรู้ข้อมูล มาสัมผัส มาได้รู้จักกัน และบุคคลนั้นก็จะทราบด้วยตัวเองว่า สิ่งที่ตนเองมาพบเจอมา สิ่งที่ตนเองตามหา สิ่งที่ตนเองสงสัย ก็ได้มีคำตอบให้แล้วในตอนนี้

ซึ่งในส่วนนี้ แม้มีการรวมกลุ่มของผู้ฝึกเดี่ยวที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ และทั่วโลกให้มารับรู้
และถึงแม้รับรู้ ทำงานร่วมกับมนุษย์ต่างดาวแล้ว ท่านก็ยังคงอยู่ประจำจุด ประจำในแต่ละสถานที่ของท่าน ตามงานนั่นเอง


แต่ ในส่วนผู้ร่วมงาน ในส่วน 5,000 คน ในส่วนอื่น ๆ นั้น ก็จะทำงานแบบความสนใจของตนเองเป็นหลัก คือมีความสนใจในเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับภัยพิบัติเป็นส่วนใหญ่ นักวิทยาศาสตร์ นักธรณีวิทยา หรือนักสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับภัยพิบัติ ก็มีโอกาสที่จะเป็น 1 ใน 5,000 คน เพราะชอบที่จะสร้างหนังแนวนี้ เพื่อให้คนตระหนักถึงเรื่องภัยพิบัติ และตื่นตัวมากขึ้น ก็จะเป็นการทำงานแบบอิสระ ทำงานแบบไม่รู้ตัวว่าทำงานกับระบบ ซึ่งมีอยู่ทั้งในประเทศไทย และทั่วโลก

ก็คงพอทำให้ท่านเข้าใจได้ บ้างว่า ทุกท่านที่พบ ที่เห็นจานบิน สื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องมารวมกันกับกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขา กะลา) แต่อย่างใด ท่านก็ยังคงดำเนินกิจกรรมของท่านตามเดิม แต่เขามาช่วยเตือน ช่วยเสริมอุปกรณ์ และเตรียมการณ์ให้กับกลุ่มของท่านอีกส่วนหนึ่งด้วย

จึงจะมีบางส่วนใน 5,000 คน เป็นกรณีพิเศษที่ถูกส่งไปฝึกเดี่ยว และมีภารกิจเกี่ยวเนื่องกับกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) โดยการจัดวางไว้ก่อน ที่เมื่อทราบแล้วก็พร้อมที่จะเข้ามาทำงานร่วมกับกลุ่มประสานงานเพื่อการ เตือนภัย(เขากะลา) เป็นตัวแทนของกลุ่มดำเนินกิจกรรม เดินทางไปประสานงาน และเป็นผู้รับการติดตั้งอุปกรณ์เพื่อไปดำเนินการตามภารกิจที่ได้วางไว้แล้ว ดังเช่นหลาย ๆ ท่านในเขากะลารุ่นที่ 2 ที่ยังคงต้องดำเนินภารกิจเพื่อการประสานงานอย่างต่อเนื่องอยู่ในขณะนี้

และเป็นพี่เลี้ยง เป็นที่ปรึกษา ให้กับผู้ร่วมงานรุ่นใหม่ ในรุ่นที่ 3 ที่กำลังตามมาในขณะนี้
และในรุ่นนี้ ก็คือ การทำงานในรูปแบบ 5,000 คน นั่นเอง

คง มีความกระจ่างพอสมควร ท่านจะได้สบายใจได้ว่า ได้พบจานบิน ได้เห็นวัตถุแปลก ๆ ได้สื่อสารกับเขาแล้ว ต้องทำอะไรบ้าง? ก็คงพอคลายความสงสัยได้พอควร

ระบบ

ในความหลากหลายของงานระบบ ที่ต้องวางโครงการเพื่อช่วยเหลือมนุษย์โลกนั้น มิได้มีการเตรียมการเฉพาะมนุษย์เท่านั้น แต่มีการรับรู้ทั้ง 3 ภพ ทั้งดวงดาราอื่น ๆ ที่มาจากทั้งจักรวาลนี้ และต่างจักรวาล ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับงานช่วยเหลือภัยพิบัติในครั้งนี้ ซึ่งมีหลายครั้งที่ข้อมูลจากระบบต่างดาวได้เคยอธิบายไว้ ซึ่งขอนำบางส่วนมาให้รับทราบเพื่อเทียบเคียงในสิ่งที่กำลังสงสัยนั้น

มนุษย์ ต่างดาว ก็จะเทียบเคียงให้ฟังว่า เรื่องของภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้น จึงต้องมีผู้ที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือมนุษย์โลกในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเทพ เป็นพรหม เป็นเทวดา หรือเป็นจิตวิญญาณชั้นสูงใด ๆ ก็ตาม ที่ได้รับรู้และมีส่วนที่จะช่วยเหลือมนุษย์โลกให้เหลือรอดต่อไปนั้น ท่านก็ทำหน้าที่ของท่าน แต่ละแห่ง แต่ละจุด มีปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งหนึ่งที่เราควรจะรับทราบก็คือ

จิตวิญญาณนั้น ๆ ท่านได้ละสังขารกายเนื้อไปแล้ว ดังนั้น การที่จะช่วยเหลือมนุษย์โลกได้ จึงต้องใช้กายหยาบของมนุษย์บนโลก เป็นตัวขับเคลื่อนในการเตรียมการ การเตือนภัย การปฏิบัติการ การช่วยเหลือ โดยที่จิตวิญญาณนั้น ๆ ท่านจะเป็นผู้ชี้แนะ ให้ข้อมูล และแนะนำในเรื่องต่าง ๆ ที่มนุษย์ยังไม่อาจทราบได้

ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจ ที่มีการรวมกลุ่มกันขึ้นในหลายสถานที่ มีการเตรียมการเรื่องของการรับมือกับภัยพิบัติกระจายไปหลายแห่งทั่วประเทศ มีการปฏิบัติธรรม ฝึกจิตกันอย่างเข้มข้นในหลายจุด หลายสถานที่

ซึ่ง ในแต่ละสถานที่นั้น ก็จะได้รับการชี้แนะจากเทพ จากเทวดา จากพระปฏิบัติที่เป็นครูบาอาจารย์ ที่ท่านได้ละสังขารไปแล้ว ท่านได้บอกข้อมูลเรื่องของภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นให้รับรู้และให้เตรียม พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นให้เร่งปฏิบัติธรรม ปฏิบัติจิต ปฏิบัติสมาธิ เน้นการปล่อยวางแทบทั้งสิ้น

ดังนั้น ถ้ามองในมุมกว้างของภาพรวม จะเห็นได้ว่า เรื่องของภัยพิบัติเป็นเรื่องใหญ่ ที่ไม่ว่าผู้รู้ ที่จะอยู่ในภพภูมิใดก็ตาม ก็ยังมิอาจนิ่งเฉยอยู่ได้ แม้ท่านจะไม่มีกายเนื้อที่จะปฏิบัติการได้ด้วยตนเองก็ตาม

ดังนั้น จึงต้องเป็นหน้าที่ของมนุษย์ ที่ยังมีกายเนื้อ สามารถปฏิบัติงานได้จริงนั้น เป็นผู้ทำงาน เป็นผู้ดำเนินการตามขั้นตอนของมนุษย์ โดยบางแห่งเตรียมการเรื่องสร้างสถานที่หลบภัย บางแห่งเตรียมการเรื่องอุปกรณ์ บางแห่งให้ข้อมูลและข่าวสาร บางแห่งเน้นการปฏิบัติธรรม ฝึกสมาธิจิต ซึ่งแต่ละแห่งย่อมเตรียมการเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นทั้งสิ้น โดยมีผู้รู้ที่ไม่มีกายเนื้อ ท่านจะเป็นผู้ชี้แนะ ให้ข้อมูลข่าวสาร วิธีการเตรียมการ และนำพากลุ่มต่าง ๆ ไปยังจุดที่ปลอดภัยในเวลาที่คับขันนั้น

นี่คือการทำงานร่วมกัน ในงานใหญ่ที่มิได้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นงานของโลกใบนี้ งานเกี่ยวกับภัยพิบัติจึงต้องมีกลุ่มเล็ก กลุ่มน้อย กลุ่มย่อย กลุ่มใหญ่มากมายกระจายไปทั่วประเทศ ทั่วโลก และแต่ละกลุ่ม ก็จะวิธีการปฏิบัติไม่เหมือนกัน หลากหลายรูปแบบ ตามแต่ผู้รู้จะสื่อมาให้ปฏิบัติ แม้จะต่างรูปแบบ แต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือเรื่องของภัยพิบัติทั้งสิ้น คือมีการเตรียมการก่อนเกิด ขณะเกิด และหลังจากเกิดภัยพิบัติแล้ว

ก็คงพอมองภาพรวมของกลุ่มต่าง ๆ ที่กระจายเกิดขึ้นทั่วประเทศไทย หรือทั่วโลกได้บ้างแล้ว ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมการรูปแบบใด ปฏิบัติแบบไหน จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องทั้งสิ้น

มนุษย์ต่างดาว ...ก็ เป็นผู้รู้เรื่องของภัยพิบัติอีกกลุ่มหนึ่งเช่นกัน ที่มาทำหน้าที่เตรียมการเพื่อช่วยเหลือมนุษย์บนโลกใบนี้ แต่อาจจะแตกต่างไปบ้างตรงที่ มีทั้งกายละเอียด และยังมีกายเนื้อด้วย แต่ในขั้นปฏิบัติงานก็ต้องใช้กายมนุษย์โลกเป็นผู้ขับเคลื่อน เป็นผู้ปฏิบัติการสื่อสารกับมนุษย์ด้วยกัน เพราะมนุษย์ย่อมไว้ใจมนุษย์ด้วยกัน หากลงมาในรูปร่างของมนุษย์ต่างดาว ยากที่มนุษย์จะเข้าใจว่าเขามาเพื่อช่วยเหลือ

ดังนั้น จึงต้องเตรียมการจัดหากลุ่มบุคคลรองรับไว้ เพื่อส่งข้อมูลข่าวสารผ่านกลุ่มบุคคลเหล่านี้ที่ได้มีการวางไว้แล้ว ดังนั้นการเตรียมการจึงค่อนข้างซับซ้อน หลากหลาย เพราะต้องมีการฝึกหลายรูปแบบ ทั้งการปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าใจกฎของธรรมชาติ ฝึกสติ ฝึกสมาธิ เพื่อการปล่อยวาง ฝึกสื่อสารฯ เพื่อแยกข้อมูลที่มาจากต่างดาว และฝึกการประมวลพลังเพื่อรับรู้เทคโนโลยีไฮเทค ในรูปแบบพลังงานที่ใช้งานได้จริง ดังนั้น จึงต้องมีการเตรียมการฝึกล่วงหน้าหลายปี ก่อนที่จะเข้าสู่ระบบทำงานจริง

แต่ ทุกอย่างก็ไม่ได้แตกต่างไปจากกลุ่มอื่น ๆ ก็คือการทำงานเรื่องของภัยพิบัติเช่นเดียวกัน มีการเตรียมการเหมือนกัน และมีผู้รู้เรื่องของภัยพิบัติเป็นผู้ดำเนินการสื่อสารข้อมูลมาให้เหมือนกัน ดังนั้น จึงไม่ได้มีความแตกต่างกันในจุดมุ่งหมาย การที่แต่ละกลุ่มมาพบเจอ มาสนิทสนม มาช่วยเหลือซึ่งกันและกันในงานเกี่ยวกับภัยพิบัตินั้น จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง

ผู้ที่ทำงานเรื่องของภัยพิบัติ จึงต้องเปิดใจให้กว้าง มองให้เห็นในภาพรวม เพราะทุกกลุ่ม ทุกจุด การเตรียมการจะไม่มีผิด ไม่มีถูก จะไม่มีใครดีกว่าใคร จะไม่มีการเปรียบเทียบ เพราะเป็นงานคนละอย่าง คนละรูปแบบ

เหมือน เช่นเครื่องยนต์ ทุกชิ้นสำคัญหมด ลูกสูบ จานจ่าย เบรก คลัช ทุกอย่างสำคัญ แต่ถ้าไม่มีหัวเทียน รถก็วิ่งไม่ได้ หรือแม้กระทั่งน๊อต ถ้าไม่มีน๊อตยึดทุกอย่างเข้าด้วยกัน ก็หลุดเป็นชิ้น ๆ ใช้งานไม่ได้เท่าเทียมกัน ดังนั้น แม้แต่น๊อต ก็มีความสำคัญในงานของน๊อตเช่นกัน

การเตรียมการเรื่องภัยพิบัติก็ เช่นกัน จะมีความหลากหลาย จะมีการทำงานในรูปแบบที่ไม่เหมือนกันทั้งหมด เพียงแต่รับทราบไว้ว่ากลุ่มนี้เตรียมการเรื่องนี้ กลุ่มนี้ปฏิบัติอย่างนี้ กลุ่มนี้ช่วยเหลือด้านนี้ กลุ่มนี้สื่อสารด้านนี้ แล้วสิ่งที่ทุกกลุ่มดำเนินการเตรียมงานไว้จะมารวมกันเองเมื่อถึงเวลา

ก็ เป็นข้อมูลเพื่อให้มองเห็นภาพโดยรวมในมุมกว้างของเรื่องภัยพิบัติ ที่มนุษย์ต่างดาวได้สื่อสารข้อมูลมาให้ เพื่อที่เมื่อมีความเห็นถูกต้อง ก็จะลดการเปรียบเทียบว่า กลุ่มเราเตรียมการอย่างนี้ดีกว่ากลุ่มเขา กลุ่มนั้นสร้างสถานที่ใหญ่โตกว่ากลุ่มเรา กลุ่มเรามีคนมากกว่ากลุ่มเขา กลุ่มนั้นไม่เห็นเตรียมอะไรเลยรับข้อมูลอย่างเดียว กลุ่มนั้นฝึกอะไรไม่รู้จะรอดกันไหมเนี่ย

ถ้าเห็นผิด ความทุกข์ก็หาโอกาสหลอกกินได้ตลอดเวลา ถ้าเราเป็นโรงงานผลิตน๊อต เราก็ผลิตน๊อตของเราให้ดีที่สุด นั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ต้องไปสนใจว่าแล้วชิ้นส่วนตัวถังรถยนต์มันจะผลิตดีไหม ลูกสูบ เฟืองท้ายจะได้มาตรฐานหรือไม่ เพราะถึงห่วงไป เราก็ไม่ใช่ผู้ผลิตชิ้นส่วนเหล่านั้นอยู่ดี ทำน๊อตของเราให้ดีที่สุดนั่นแหละถูกต้องแล้ว เพราะเมื่อประกอบเป็นรถยนต์ขึ้นมา ชิ้นส่วนในโรงงานเราก็เป็นส่วนหนึ่งของรถยนต์คันนั้นและมีประสิทธิภาพเสีย ด้วย

ดังนั้น คนส่วนใหญ่ที่เถียงกันไม่จบไม่สิ้น ก็เพื่อจะบอกว่า ของฉันดีกว่าของเธอ ฝึกอย่างฉันดีกว่าฝึกอย่างเธอ ก็เพราะทุกคนตั้งอยู่ในความเห็นของตนเองว่า สิ่งที่เราทำดีที่สุด ถูกที่สุด นั่นเอง

ถ้ามาลองมองในมุมกว้างดูบ้าง ก็จะเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของแต่ละกลุ่ม แต่ละจุดที่ต้องเตรียมการไม่เหมือนกัน แต่ก็สามารถมาร่วมรับรู้ รับทราบ และประสานงานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกัน และหากข้อมูลใดมีประโยชน์ ก็สามารถนำมาวิเคราะห์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในเตรียมการนั้น ๆ ของแต่ละกลุ่มได้ เมื่อมองเช่นนี้ ก็จะไม่มีการแบ่งแยก เปรียบเทียบ ความคิดที่จะคอยยุแหย่ให้เกิดอคติกับกลุ่มต่าง ๆ ก็จะน้อยลง มองเห็นการทำงานของแต่ละกลุ่มด้วยความเข้าใจ ซึ่งก็เป็นการสร้างเกราะป้องกันความทุกข์จากความคิดได้ในระดับหนึ่งด้วย

ก็ด้วยความเห็นที่ว่า .... ทุกคนทำงานเดียวกัน คืองานเรื่องของภัยพิบัติ....นั่นเอง

ดัง นั้น ในส่วนของการเตรียมการส่วนอื่น ๆ กลุ่มอื่น ๆ ที่มีรูปแบบเฉพาะของกลุ่มนั้น ๆ พี่สุดใจคงไม่ขอกล่าวถึง เพราะเป็นการทำหน้าที่ที่ถูกต้องสำหรับกลุ่มงานเตรียมการเรื่องของภัยพิบัติ กลุ่มนั้น ๆ อยู่แล้ว แต่ก็คงขอกล่าวถึงโครงการเฉพาะกิจของระบบต่างดวงดาว ที่ได้มาเตรียมการวางโครงสร้างไว้ล่วงหน้านานแล้วเท่านั้น

เพราะใน ยุคนี้ เป็นยุคที่วิทยาศาสตร์เจริญมาก ดังนั้น การที่มนุษย์ต่างดาว จะนำสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาให้มนุษย์โลกได้รับรู้ในเรื่องของอุปกรณ์ในการช่วย เหลือนั้น อาจจะล้ำหน้าเกินกว่าที่มนุษย์จะเข้าใจได้ แต่ถึงหากบอกไปทั้งหมด มนุษย์ก็มิอาจเข้าใจได้อยู่ดี จึงต้องนำมาให้เห็นเฉพาะในสิ่งที่มนุษย์พอสามารถเทียบเคียงได้กับวิทยา ศาสตร์ที่มนุษย์เคยพบเจอมาแล้ว และพอที่จะนำไปพิจารณาดูว่า เป็นไปได้หรือไม่เท่านั้น

อย่าง เมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยา ต้องสู้รบกับพม่านั้น ในยุคที่วิทยาศาสตร์ยังไม่เจริญ ถ้ามีคนบอกว่า ไม่ต้องยกทัพไปรบกับพม่าหรอก เดี๋ยวจะเอาเครื่องบินไปทิ้งระเบิดตรงจุดที่ข้าศึกอยู่ก็ตายหมดแล้ว คนยุคนั้นก็คงมองหน้า แล้วคิดว่าบ้าหรือเปล่าเอาเรื่องไร้สาระมาพูด ก็เพราะเขาไม่สามารถนำสิ่งอื่นที่พบเจอมาเทียบเคียงได้ ถ้าแค่พูดถึงรถยนต์ที่มาใช้แทนเกวียนก็ยังนึกไม่ออกแล้ว จะให้คิดว่าเหล็กบินได้ ก็เหลือวิสัยที่จะนึก

แต่ถ้ามาในยุคนี้ เรื่องที่จะให้ยกทัพใช้ดาบไปสู้รบกัน ก็แทบจะนึกไม่ได้เหมือนกัน เพราะจะใช้แต่รถถัง เครื่องบินทิ้งระเบิด ยิงขีปนาวุธปรมณูข้ามประเทศด้วยซ้ำ นี่คือการพัฒนาเทคโนโลยีก้าวล้ำขึ้นไปเรื่อย ๆ จนแทบจะไม่มีขอบเขตจำกัดอยู่แล้ว ดังนั้น ใครที่ครอบครองเทคโนโลยี จึงมีอำนาจเหนือกว่าประเทศที่ไม่มีเทคโนโลยี โอกาสที่จะเบียดเบียน เอารัดเอาเปรียบประเทศด้อยกว่าย่อมมีอยู่มาก หากผู้นำประเทศนั้นไม่มีศีลธรรม จริยธรรมเพียงพอ

ดังนั้น การยกทัพไปรบกันด้วยดาบ ด้วยม้า ด้วยช้าง ก็ไม่มีให้เห็นอีกในยุคปัจจุบัน

ที่ กล่าวมานี้ ก็เพื่อที่จะให้ทราบว่า มนุษย์ต่างดาวที่มาบอกว่า หากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจะนำเทคโนโลยีมาให้ เพื่อให้มนุษย์โลกช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจานบินที่จะนำมาให้ใช้ในการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นใยแก้วกันรังสี ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ปลอดภัยในต่างมิติ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าปรับอุณหภูมิได้ อาหารในรูปแบบพลังงานเพื่อการดำรงชีพ หรือพลังงานในรูปแบบอื่น ๆ อุปกรณ์ที่ใช้ในการสื่อสารทำให้สามารถมองเห็นภาพสถานการณ์ต่าง ๆ ทั่วโลกได้ด้วยตาเนื้อ การเห็นล่วงหน้า การเห็นอดีต การเดินทางโดยผ่านมิติ หรือการเดินทะลุกำแพงสิ่งกีดขวางอื่น ๆ ได้ การเดินบนน้ำ การหายตัวด้วยการสลายมวลสาร ไปประกอบกันใหม่ยังจุดหมายปลายทาง เหมือนแฟ๊กซ์ของเรา หรือเดินบนน้ำ เดินในอากาศ เป็นไปได้ทั้งสิ้น แม้แต่การใช้พลังธรรมชาติรักษาอาการต่าง ๆ ให้หายโดยฉับพลัน หรืออุปกรณ์การเชื่อมต่อกระดูกของผู้ประสบภัยโดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นในยุคของภัยพิบัตินั้น หากได้รับการบอกกล่าวจากมนุษย์ต่างดาวเช่นนี้ ก็ย่อมเป็นเรื่องที่เหลือวิสัยที่มนุษย์จะเชื่อได้เช่นกัน

นั่นก็ เพราะว่า วิทยาศาสตร์ของเรายังไปไม่ถึง การเทียบเคียงจึงทำได้ยาก การที่จะเห็นว่านำเรื่องไร้สาระมากล่าวให้ฟัง จึงมีมากตามไปด้วย

เหมือน เราเจริญอยู่ตอนนี้ แล้วไปบอกคนสมัยก่อนว่า สามารถเดินทางจากเชียงใหม่มากรุงเทพฯ โดยใช้เวลา 1 - 2 ชั่วโมงเท่านั้น คนยุคนั้นเขาก็เชื่อเราไม่ได้เหมือนกัน เพราะเขาต้องเดินด้วยเท้าเป็นเวลานับเดือน นั่นก็ เพราะเขาไม่เคยเห็นเครื่องบิน ไม่เคยเห็นรถยนต์ เห็นเฉพาะช้าง กับม้าเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องทุ่นแรงนำพาไปได้ จึงเหลือวิสัยที่จะเทียบเคียง

แต่สิ่งที่คนสมัยนั้นคิดว่าเป็นไปไม่ ได้ นึกไม่ออก กลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของคนในสมัยนี้ไปแล้ว การเดินทางไป – กลับ กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ในวันเดียว ไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป เพราะอาศัยเครื่องทุ่นแรงที่เป็นเครื่องบิน หรือรถยนต์ ดังนั้นสิ่งที่เคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้ในสมัยนั้น ก็กลับเป็นไปได้ง่ายมากของคนสมัยนี้ เมื่อเวลาผ่านพ้นไปนั่นเอง

ก็ ไม่ต่างกับเราตอนนี้ เพราะมนุษย์ต่างดาว ที่มีความเจริญก้าวหน้าไปมากกว่าเราเป็นร้อยเท่า เขาได้พัฒนาเทคโนโลยีก้าวล้ำไปจนเรานึกไม่ถึง เมื่อเขาเดินทางผ่านมิติเวลา นำจานบินเข้าออกโลกใบนี้เป็นว่าเล่น เดี๋ยวมา เดี๋ยวกลับ โดยใช้ระยะเวลาไม่นานนั้น เราควรแปลกใจ และคิดว่าเป็นไปไม่ได้ .... จริง ๆ หรือ ?

เพราะก็คงไม่ต่างอะไรกับอีก 400 ปีข้างหน้า เราก็อาจจะพัฒนาไปถึงจุดนั้น และก็สามารถเดินทางข้ามมิติเวลาไปยังกาแลคซี่อื่น ๆ ได้เช่นกัน เพราะเมื่อถึงเวลานั้น คนรุ่นนั้นก็จะไม่แปลกใจ เพราะเป็นเรื่องปกติของเขา เหมือนกับเราที่ไม่แปลกใจ ที่มีเครื่องบินใช้ในปัจจุบัน

ดังนั้น มนุษย์ต่างดาว จึงต้องใช้เวลาในการที่จะค่อย ๆ เปิดเผยอุปกรณ์ทีละชิ้น ทำตัวอย่างให้เห็น นำมาให้ดู แล้วอธิบายเทียบเคียงกับวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันให้เข้าใจไปทีละเรื่อง ทีละเรื่อง จนมนุษย์ค่อย ๆ ทำความเข้าใจ ยอมรับ และทำความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีเหล่านั้น จนสามารถเข้าใจได้ว่า เทคโนโลยีเหล่านี้มีจริง และสามารถใช้งานได้จริงในเวลาที่เกิดภัยพิบัติขึ้น

เพราะ มนุษย์ต่างดาวมีความเข้าใจในสิ่งที่มนุษย์โลกยังไม่เข้าใจ เหมือนที่เราเคยมองคนสมัยก่อนที่เขายังไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน เขาไม่ได้มองว่ามีใครโง่ ใครฉลาด แต่เขามองด้วยความเข้าใจ ว่าวิวัฒนาการของมนุษย์โลกยังไปไม่ถึง นั่นเอง

ดังนั้น การที่จะต้องฝึกกลุ่มบุคคลมารองรับการเรียนรู้อุปกรณ์เหล่านี้ จึงเป็นเรื่องที่ต้องเตรียมการค่อนข้างซับซ้อน และเป็นการเข้าใจยากสำหรับคนโดยทั่วไป เพราะยังไม่มีสิ่งใดเทียบเคียงให้เห็นได้ ดังนั้นการ “ แจ้งเพื่อทราบ” จึงเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด เพราะเมื่อเหตุการณ์นั้นยังไม่เกิดขึ้น ท่านก็แค่รับทราบไว้เฉย ๆ หากเมื่อมีการปรากฏขึ้นจริงดังที่มนุษย์ต่างดาวได้เคยแจ้งเพื่อทราบไว้ใน เวลาที่เกิดวิกฤติการณ์ข้างหน้า ท่านจะได้ไม่แปลกใจ เพราะเขาได้แจ้งไว้นานแล้ว

ก็เป็นการบอกกล่าวในแผนงานส่วนหนึ่งของ โครงการ ที่กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) รับทราบมาจากระบบ ที่ถูกถ่ายทอดโดยมนุษย์จากดวงดาวอื่น ซึ่งรับผิดชอบในโครงการนี้

ลอยอยู่เหนือตุ่ม

วันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

UFO ORBS Mothership 's? Larger than EARTH ORBITING THE SUN! AVATAR on E...

Spirit Orb or Ghost caught on tape - Holy wall - Israel - UFO sightings ...

2nd Jerusalem Dome of the Rock Temple Mount UFO video surfaces from 01/...

UFO 4TH VIDEO Jerusalem, dome of the rock,SPECIAL ANALYSIS,HIGH QUALITY,...

ลึกลับ! ไม่เชื่อ...อย่าลบหลู่!

มาดูโลกอยู่ที่ไหนของจักวาล

New Ford Ranger Testing Australia

Mazda BT-50 Dynamic Stability Control Testing in Australia 2010.