กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย (เขากะลา)

วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Alien Contact Interrupts Live CNN Broadcast INCREDIBLE

UFO Alien Proof Disclosure Project 'Open Your Eyes' Footage

What is really hidden on Planet Mars ? (part1)

What is really hidden on Planet Mars ? (part1)

We Have Never Been Alone !

วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

We are here! Vrillon von der Galaktischen Föderation

Human Energy Field, 1 of 3

แกนพลังงานโลกใหม่อยู่ที่เท้าหน้าขวาของสฟิงซ์/ความลับstonehedge


สโตนเฮนจ์ (StoneHenge)
สโตน เฮนจ์ (StoneHenge) แห่งเมืองซาลเบอรี่ (Salisbury) ประเทศอังกฤษ มีอายุนานประมาณ 5,000-6,000 ปีผู้สนใจสามารถหาข้อมูลละเอียดมากเท่าที่ต้องการได้จากแหล่งข้อมูลอื่นๆ หากเป็นความรู้ที่ได้มาจากวิทยาศาสตร์ทางจิต จำเป็นต้องให้เครดิตกับ “ชาวแอตแลนตีส” ก่อนเมื่อประมาณ 13,000 ปี ล่วงมาแล้ว มหาอาณาจักรแอตแลนตีส เป็นศูนย์รวมของสรรพวิทยาการและอารยธรรมในยุคนั้น เรียกกันว่า “ยุคพีระมิด” เนื่องจากใช้พลังของพีระมิดเป็นพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ทางจิต พลังจิต การสื่อสาร การเดินทาง การรักษาโรค การคำนวณบอกเวลาทางดวงดาวและกาแลคซี่ทั้ง 3 (ปฏิทินดาราศาสตร์) วิวัฒนาการด้านพลังงาน พลังจิต ได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้จากชาวดาวอังคาร จนสามารถก้าวไปถึงลำดับสุดท้าย คือการเปลี่ยนวัตถุเป็นแสง และการเปลี่ยนแสงเป็นวัตถุ วิวัฒนาการด้านพลังงานมีด้วยกัน 7 ระดับ คือ 1. ความร้อน 2. แสง 3. เสียง 4. แม่เหล็กไฟฟ้า 5. ปรมาณู 6. เส้นแสง 7. การเปลี่ยนวัตถุเป็นแสงและการเปลี่ยนแสงเป็นวัตถุ

1 เดือนล่วงหน้าก่อนการล่มสลายของมหาอาณาจักร มีนักบวชรูปหนึ่ง เป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา ยุคที่เหลือแต่พระธรรมคำสอน ของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ก่อนพระสมณโคดมของยุคนี้) นักบวชเป็นผู้มีความสามารถมาก มีพลังจิตสูง รู้อดีต อนาคต จึงได้รู้ถึงเวลาของการล่มสลายและยุบตัวจมลงในมหาสมุทรของมหาอาณาจักร ที่จะเกิดขึ้นภายใน 1 เดือน จากสาเหตุการใช้ “อาวุธแสง” ทำสงครามทำลายล้างแผ่นดินคู่อริ นักบวชได้ชักชวนและอพยพบุคคลที่เชื่อพาลงเรือ เดินทางร่วม 1 เดือนพ้นออกมาจากการยุบตัวของทวีปขึ้นฝั่งที่แถบลุ่มแม่น้ำไนล์ ประเทศอียิปต์ในปัจจุบันนี้ นักบวชได้บอกไว้อีกว่า “แผ่นดินมหาอาณาจักรแอตแลนตีสนี้จะคืนกลับอีกครั้งในรอบ 13,000 ปีข้างหน้า จะเป็นแผ่นดินที่สมบูรณ์ด้วยทรัพยากรและจิตวิญญาณของมนุษย์” พร้อมทั้งยืนยันสัจจวาจาในครั้งนั้น

โดยใช้พลังจิตและความช่วยเหลือจากชาวดาวอังคาร สร้าง สัญลักษณ์ สฟิงซ์ (Sphinx) ขึ้น ด้วยวิธีของการเปลี่ยนวัตถุเป็นแสงและการเปลี่ยนแสงเป็นวัตถุ เพื่อเคลื่อนย้ายหินขนาดใหญ่ทำเป็นรูปสิงห์หมอบ มีใบหน้าเป็นชาวดาวอังคาร จัดวางไว้ในแนวทิศตะวันออก ตะวันตก มีพลังมโนธาตุสำหรับสร้างเป็นแกนพลังงานโลกใหม่อยู่ที่เท้าหน้าขวาของสฟิงซ์

การสร้างสฟิงซ์มีจุดมุ่งหมายสำคัญ 3 อย่าง

1. เป็นสัญลักษณ์แทนคำมั่นสัญญาของนักบวชที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดเพื่อกลับมาแก้ไขเหตุที่ได้สร้างไว้ในอดีต

2. จมูกสฟิงซ์เป็นแหล่งของพลังกระแสลมปราณ เพื่อใช้เป็นประโยชน์ในการหายใจของชาวดาวอังคารในยามที่แวะเวียนมาเยือนโลก ของเรา แต่ในที่สุดจมูกถูกอาวุธสงครามทำลายแตกหักจนจมูกตัน ชาวดาวอังคารจึงค่อนข้างลำบากเมื่อมาท่องโลก

3. เมื่อถึงเวลาครบรอบของการเปลี่ยนแปลงแรงดึงดูดเข้าสู่อิทธิพลของอีกกาแลคซี่ ผู้กลับมาทำหน้าที่จะใช้เท้าขวาเหยียบลงบนเท้าหน้าขวาของสฟิงซ์ เกิดการขับเคลื่อนของพลังมโนธาตุและกระแสลมปราณม้วนหมุนเป็นเกลียวเข้าสู่ ศูนย์กลาง สร้างเป็นแกนพลังงานโลกใหม่ มีขั้วโลกอยู่ในแนวทิศตะวันออกและตะวันตก นักบวชรูปนั้น มีนามว่า รต (อ่านว่า ระตะ)

นับเป็นเวลาหลาย พันปีที่อารยธรรมแอตแลนตีสได้ถ่ายทอดสู่อนุชนรุ่นหลัง แตกแยกออกเป็นหลายเผ่าพันธุ์ เชื้อชาติ แยกกระจัดกระจายออกจากลุ่มแม่น้ำไนล์ไปทั่วทุกส่วนของโลก พร้อมกับนำความรู้ของแอตแลนตีสเผยแพร่อย่างกว้างขวาง เช่นการทำมัมมี่ เคล็ดลับของการมีอายุยืน พลังพีระมิด รวมทั้งหลักการคำนวณของดวงดาวและกาแลคซี่ทั้ง 3 เป็นปฏิทินดาราศาสตร์ที่อธิบายถึงการสับเปลี่ยนแรงดึงดูดที่มีอิทธิพลต่อโลก และระบบสุริยจักรวาลในช่วง 26,000 ปี


ชาว มายา (มายัน) เป็นอีกชาติพันธุ์หนึ่งที่สืบเชื้อสายและมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการเผย แพร่อารยธรรมแอตแลนตีสสู่สายตาชาวโลกเป็นหลักฐานที่มีชีวิต บ่งบอกยืนยันว่า “แอตแลนตีส” มีอยู่จริง มิใช่เป็นเพียงตำนานเล่าขาน ชาวมายาจึงได้สร้างปฏิทินดาราศาสตร์ขึ้นด้วยเสาหิน แท่งหินขนาดใหญ่จำนวนหลายร้อยแท่งจัดวางเป็นวงกลมซ้อนกันอยู่ 3 วง และวิธีการสร้างเป็นวิธีเดียวกับการสร้างสฟิงซ์ คือเป็นผลงานของมนุษย์ผู้มีพลังจิตสูงร่วมมือกับชาวดาวอังคารในการเปลี่ยน หินแท่งใหญ่ที่มีน้ำหนักมากกว่า 1 ตัน ให้เป็นพลังงานแสงก่อนแล้วเคลื่อนย้ายนำไปจัดวางในที่ที่ต้องการ และใช้พลังจิต เปลี่ยนพลังงานแสงคืนเป็นแท่งหินแท่งใหญ่อีกครั้งสโตนเฮนจ์ เป็นสัญลักษณ์ที่มีอายุประมาณ 5,000-6,000 ปี ใกล้เคียงกับยุคมหาพีระมิดของประเทศอียิปต์ ศาสตร์พีระมิดของชาวอียิปต์ เป็นตัวแทนของชาวแอตแลนตีสในการถ่ายทอดพลังของพีระมิดในศาสตร์การทำมัมมี่ทำ สถานที่เก็บศพ เคล็ดลับการมีอายุยืน ยารักษาโรค ฯลฯ ตลอดจนปลูกฝังความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายที่แสนงดงาม ในขณะที่สโตนเฮนจ์ของชาวมายาสร้างขึ้นเพื่อเตือนภัยแก่ชาวโลก เมื่อถึงวาระการเปลี่ยนแปลงแรงดึงดูดของแต่ละกาแลคซี่ ในรอบ 13,000 ปี



พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ได้ไขปริศนาและอ่านความลับจากการจัดวางเสาหินเป็นวงกลม 3 วงไว้ดังนี้

เสาหินวงนอก เป็นวงกลมขนาดใหญ่ มีเส้นรอบวงกว้างโอบล้อมครอบคลุมวงกลมเล็กอีก 2 วงหมายถึง กาแลคซี่อันโดรเมดา (Andromeda Galaxy) พระอาจารย์เรียกกาแลคซี่นี้ว่า กาแลคซี่สะเทิน เพราะมีทั้งพลังงานเบา ดี และพลังงานหนัก มีขนาดใหญ่มาก เหมือนแผ่อาณาเขตปกป้องควบคุมไว้ทั้งกาแลคซี่ทางช้างเผือกและกาแลคซี่ไตรแอ งกุลัม

เสาหินวงกลางหมาย ถึง กาแลคซี่ทางช้างเผือก (Milky Way Galaxy) เป็นกาแลคซี่ที่ดึงดูดระบบสุริยจักรวาลของเราไว้ในขณะนี้ตั้งอยู่ทางทิศ เหนือ พระอาจารย์เรียกกาแลคซี่นี้ว่า กาแลคซี่หนัก เพราะพลังงานแรงดึงดูดที่เรียกว่าพลังงานแม่เหล็กโลกกำลังให้โทษอย่างรุนแรง และจะนำไปสู่การพลิกเพื่อเปลี่ยนแกนพลังงานโลกใหม่เข้าสู่อิทธิพลแรงดึงดูด ของกาแลคซี่ไตรแองกุลัมอีกครั้ง เมื่อครบวาระ 13,000 ปี

เสาหินวงใน หมายถึงกาแลคซี่ไตรแองกุลัม (Triangulum Galaxy) มีขนาดเล็กกว่ากาแลคซี่ทางช้างเผือกพระอาจารย์เรียกกาแลคซี่นี้ว่า กาแลคซี่เบา เพราะเต็มไปด้วยพลังงานดี เบา ขาวนวล เหลืองสบาย เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณประโยชน์ และกำลังส่งอิทธิพลค่อยๆดึงโลก และระบบสุริยจักรวาลไปทางทิศตะวันออกทีละน้อยๆจนกว่าจะถึงวาระแกนโลกพลิกอีก ครั้ง โลกและระบบสุริยจักรวาลจะตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัมอย่าง สมบูรณ์ไปอีกประมาณ 13,000 ปี

ฉะนั้น ในช่วงระยะเวลา 26,000 ปี สุริยจักรวาลจะตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ทางช้างเผือก 13,000 ปี และอีก 13,000 ปีจะสลับมาอยู่ในอิทธิพลของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม ดังนั้นเราคงพอจะรู้เหตุผลอย่างชัดเจนแล้วว่าการที่ขั้วโลกเหนือไม่ชี้ตรงไป ทางทิศเหนือเสียทีเดียว ตามอิทธิพลแรงดึงดูดของกาแลคซี่ทางช้างเผือกแต่กลับตั้งเอียงไปทางทิศตะวัน ออก องศาเพราะต้านแรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัมไม่ได้ การ มีแรงดึงดูดระหว่าง 2 แรงที่แตกต่างคือมากกว่าและน้อยกว่าทำให้กาแลคซี่ทางช้างเผือกส่งแรงดึงดูด มายังโลกเราในลักษณะดึงเข้าและผลักออกเข้าหาศูนย์กลาง เป็นแรงยืดและแรงหด ในขณะที่กาแลคซี่ไตรแองกุลัม

ตั้งอยู่ทางขวามือตรงกับทิศตะวันออก แรงดึงดูดที่ส่งมาจึงเกิดขึ้นเป็นแรงรับและแรงเหวี่ยง คือเหวี่ยงซ้าย-ขวา ผลจากการรับแรงกระทบแรงดึงดูดจากทั้งสองกาแลคซี่เป็นสาเหตุทำให้โลกของเรา กำเนิดสิ่งมีชีวิตที่มีขันธ์ ครบ 5 ขันธ์ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) และตั้งชื่อเรียกว่า “มนุษย์” ซึ่งมีความแตกต่างไปจากสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงอื่นที่อาจจะมีขันธ์เพียง 4 ขันธ์ เพราะขาดตัว “รูป” พวกเขาจึงมีลักษณะเป็นเพียงพลังงานท่องเที่ยวไปได้ทั่วจักรวาลและใช้พลังจิต เพื่อสร้าง “รูป” ขึ้นมาบ้างในบางครั้ง

ตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นมา ทั้งแรงดึงเข้า-แรงผลักออก และแรงรับ-แรงเหวี่ยง จากทั้งสองกาแลคซี่เริ่มผิดปกติ คือมนุษย์แทบจะไม่รู้สึกถึงการกระทบของแรงเนื่องจากความหนาแน่นของพลังงาน แม่เหล็กโลกที่ถมลงในโลกได้มาถึงจุดอันตราย ทำให้เกิดสภาพนิ่งเหมือนหยุดหมุน เป็นเหตุให้เชื้อไวรัสแบคทีเรีย ธรรมดาๆ กลับมาระบาดอีกครั้งพร้อมกับการกลายพันธุ์ ซึ่งภาวะนิ่งแบบนี้เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2552

สฟิงซ์ สื่อความหมายบอกสถานที่ที่ถูกกำหนดให้เป็นจุดสร้างแกนพลังงานโลกใหม่

สโตนเฮนจ์ บอกถึงกำหนดเวลาการเปลี่ยนขั้วอำนาจของแรงดึงดูดที่มีต่อโลกและระบบสุริยจักรวาล

ระบบ วงโคจรของโลกและสุริยจักรวาลจะยังคงเคลื่อนที่ผิดปกติต่อไปอีก ถูกพลังงานแม่เหล็กโลกดึงเข้าใกล้ขอบกาแลคซี่ทางช้างเผือกทางทิศตะวันออกมาก ยิ่งขึ้น (ในอดีตเคยถูกดึงเข้าใกล้ทางทิศเหนือมาก่อน) เป็นสิ่งบ่งชี้ว่า พลังงานแม่เหล็กโลกกำลังอัดแน่นเพิ่มมากขึ้นๆ ทางทิศตะวันออก และเมื่อความหนาแน่นทวีขึ้นจนถึงอัตราสูงสุดจะเกิดการรีดตัวเป็นเส้นตรง พุ่งออกจากกาแลคซี่ทางช้างเผือกไปทางทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือตรงเข้าหากาแล คซี่อันโดรเมดา

แต่เนื่องจากกาแลคซี่ อันโดรเมดามีขนาดใหญ่กว่ามาก จึงมีพลังแรงดึงดูดมากกว่ากาแลคซี่ทางช้างเผือกเป็นหลายพันเท่า พลังงานแม่เหล็กโลกจึงถูกอัด เด้งกลับคืนเข้าสู่ระบบสุริยจักรวาลและกาแลคซี่ทางช้างเผือก ซึ่งการเสียดสีของพลังงานจากทั้ง 2 กาแลคซี่ในครั้งนี้ จะทำให้แสงสว่างวาบขึ้น มองเห็นได้ทั่วจักรวาล ทั้งดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ต่างได้รับแสงสว่างนี้ถ้วนทั่วกัน มนุษย์ในโลกจะเห็นแสงนี้ปรากฏขึ้นทันทีทันใด แบบที่ไม่ต้องตั้งตาคอย เป็น “แสงที่วาบ” อย่างรวดเร็ว เหมือนละครปิดฉากและผ้าม่านเวทีถูกดึงปิดทันที

จาก นั้นจะเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและพลังงานของโลก สุริยจักรวาลครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งเหมือนกับที่มหาอาณาจักรแอตแลนตีสเคย ประสบมาแล้วเมื่อ 13,000 ปีที่ผ่านมา แต่ในครั้งนี้เป็นการวนครบรอบเปลี่ยนเข้าสู่อิทธิพลแรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตร แองกุลัม เป็นเวลาอีกประมาณ 13,000 ปี และถ้าหากปรากฏการณ์เหล่านี้ได้เกิดขึ้นจริง โลกของเราจะมีทั้งแกนสสารและแกนพลังงานโลกใหม่

โดย มีขั้วโลกตั้งอยู่ ณ จุดที่ตั้งของสฟิงซ์ มีการเปลี่ยนที่กันระหว่างพื้นดิน 1 ส่วน กับพื้นน้ำ 3 ส่วนทั่วโลก มหาสมุทรแอตแลนติกคงมีโอกาสคืนกลับมาเป็นผืนแผ่นดินกว้างใหญ่อีกครั้ง เทือกเขาหิมาลัยอาจจะลดต่ำลงมาเป็นที่ราบกว้างใหญ่ของทวีปเอเชีย (เปลี่ยนแผนที่โลกใหม่) กล่าวโดยรวมคือช่วงเวลา 13,000 ปีครั้งนี้จะเป็นยุคทองของทรัพยากรธรรมชาติและจิตวิญญาณของมนุษย์ นักบวชรูปนั้น ได้ทำหน้าที่ของท่านเรียบร้อยแล้ว

ภาพแสดงถึงกาแลคซี่ทั้ง 3 ที่มีอิทธิพลต่อมนุษย์ เป็นภาพที่ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ใช้ “จิต” ศึกษา


Part 1 of 13 - Pleiadian Message from The Galactic Federation

วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พบalienที่เชียงราย

“มนุษย์ต่าง ดาว” โผล่กลางทุ่งนาที่เชียงราย คนแตกตื่นไปดูกันเพียบ ปรากฏโฉมให้ชาวบ้านนับสิบคนเห็นเป็นชั่วโมง แล้วลอยวับหายไปในท้องฟ้า เผยรูปพรรณมนุษย์ประหลาดมีลักษณะคล้ายคนแคระ สูงประมาณ 70 ซม. ไม่สวมเสื้อผ้าอาภรณ์ ไม่ระบุเพศ ผิวสีน้ำตาลเทา ศีรษะมนกลมโต หน้าอกแบนราบ ชาวบ้านที่เห็นกับตาแอ่นอกการันตีเรื่องนี้ไม่ได้โม้หรือเมาแต่อย่างใด

เรื่อง ราวความเร้นลับเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวที่มาเยือนโลกมนุษย์ ถูกเปิดเผยขึ้นอีกครั้งเมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 8 ก.ย. สมาชิกเครือข่ายของสถานีวิทยุกรมประมงร่วมด้วยช่วยกัน อ.เมืองเชียงราย ที่ระบุชื่อว่านายกิตติเกษม รัตนโฆษะ อายุ 30 ปี ได้โทรศัพท์เข้ามาเล่าเรื่องราวความลี้ลับกับนางเรณู วงศ์สุวรรณ ดีเจรายการ "ท่องเที่ยวอย่างสุขใจไปกับททท." ว่านายมานพ ลาวิชัย อาชีพทำนาที่บ้านห้วยน้ำราก หมู่ 5 ต.จันจว้า อ.แม่จัน จ.เชียงราย ได้พบลูกไฟประหลาดลอยมาตกกลางทุ่งนาหลังบ้าน เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา แต่ไม่ได้สนใจอะไร เพราะคิดว่าเป็นปรากฏการณ์ดาวตกหรือผีพุ่งใต้

ต่อมา ช่วงเช้าวันที่ 3 ก.ย. นายมานพเข้าไปดูนาข้าวตามปกติก็พบกับมนุษย์ประหลาด รูปร่างคล้ายคนแคระ สูงประมาณ 70 ซม. ไม่สวมเสื้อผ้าอาภรณ์ ไม่ระบุเพศ ผิวสีน้ำตาลเทา ศีรษะมนกลมโต ตาโตสีน้ำตาลเป็นมันวาว ไม่มีจมูก ปากบางเล็ก หน้าอกแบนราบ ลักษณะร่างกายไม่กลมมนเหมือนกับมนุษย์ คือถ้ามองจากด้านข้างจะแบนราบ โดยขณะที่พบนั้นมนุษย์ประหลาดเดินวนไปวนมาเหมือนหาสิ่งของอะไรบางอย่าง และช่วงที่นายมานพยืนดูอยู่นั้น ได้มีชาวบ้านที่ออกมาเลี้ยงวัวและคนหาปลานับ 10 คน ต่างมารวมกลุ่มยืนจ้องดูมนุษย์ประหลาด ในระยะห่างประมาณ 10 เมตร พร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานาว่า น่าจะเป็นมนุษย์ต่างดาวหรือไม่ก็พวกหุ่นยนต์

แม้จะตก เป็นเป้าสายตาของชาวบ้านนับสิบคู่ แต่มนุษย์ประหลาดไม่ได้รู้สึกหวั่นไหว และยังคงเดินวนไปมาตามปกติ แล้วหันมามองชาวบ้านด้วยแววตามันวาวเป็นระยะ ๆ ผ่านไป ประมาณหนึ่งชั่วโมง มนุษย์ประหลาดจึงค่อย ๆลอยตัวสูงขึ้นจากพื้นดินไปอยู่เหนือยอดไม้ประมาณ 10 เมตร จากนั้นก็หยุดแล้วหันหน้ามองลงมายังกลุ่มชาวบ้าน ก่อนจะพุ่งลิ่วขึ้นสู่ท้องฟ้าหายลับตาไป

ผู้สื่อข่าว รายงานว่า หลังจากปรากฏเป็นข่าวแพร่กระจายออกไป ได้มีชาวบ้านจำนวนมากพากันแตกตื่นเดินทางมาสำรวจบริเวณกลางทุ่งนาดังกล่าว และพยายามหาร่องรอยหลักฐานของมนุษย์ต่างดาว แต่ก็ไม่มีใครพบ

อย่าง ไรก็ตาม นายคำมา ปิ่นทรายมูล อายุ 57 ปี และนางบัวแก้ว จันต๊ะเวง อายุ 59 ปี ทั้งสองเป็นชาวบ้านในบ้านห้วยน้ำราก หมู่ 5 ต.จันจว้า ที่เห็นมนุษย์ประหลาดกับตาตัวเอง กล่าวยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่ได้โม้หรือเมาแต่อย่างใด เพราะเห็นเหตุการณ์กันตอนเช้านานเป็นชั่วโมง และมีคนอื่น ๆ ทยอยออกมาดูกันเป็นสิบคน.




DR.Theppanom Muangman

ความแตกต่างระหว่าง วิญญาณกับมนุษย์ต่างดาวนั้น ศาสตราจารย์ ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน อธิบายว่า มนุษย์ต่างดาว มักมีจานบินเป็นพาหนะมาด้วย แต่วิญญาณนั้น ช่วงสมัยที่ ดร.คลุ้ม (ที่เสียชีวิตไปแล้ว)มาเล่าผ่านร่างบุตรชายของตนว่าไม่จำเป็นต้องมีรถ หรือพาหนะ เพียงแค่นึกอยากจะไปที่ไหน ก็สามารถหายตัวและไปโผล่ยังสถานที่ต้องการได้ ดังนั้น การเผารถกระดาษไปให้กับผู้ที่ล่วงลับแล้ว อาจจะไม่มีความจำเป็น หรือถึงได้รับ ก็คงไม่กล้าใช้ เพราะอายผู้อื่นที่เขาใช้วิธีนึกเอา ก็เดินทางไปถึงแล้ว

ส่วนวิธีที่อาจารย์จะพบกับมนุษย์ต่างดาวนั้น อาจารย์เล่าว่าต้องใช้วิธีทำสมาธิ ผมถามถึงรูปร่างหน้าตา อาจารย์อธิบายว่ามีหลายเผ่าพันธุ์ หัวกลมตาโต ปากเล็ก หรือคล้ายมนุษย์ก็มี บางพวกก็มาดี แต่ก็มีกลุ่มประสงค์ร้ายที่จะยึดครองโลกปะปนมาด้วย เพียงแต่ยังไม่สามารถทำสำเร็จ เนื่องจากปรับตัวไม่ได้กับแบคทีเรียบางอย่างบนโลกมนุษย์ (แม้จะพยายามลักตัวมนุษย์ไปแยกยีนส์ หรือผสมพันธุ์เพื่อสร้างเหล่ากอใหม่)

ผม สอบถามต่อไปว่า เนื้อหาที่สนทนากับมนุษย์ต่างดาว ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องอะไรบ้าง อาจารย์เล่าว่าเป็นเรื่องทั่วไป เช่น การเกิดสงครามโลกครั้งที่สาม ซึ่งจะเกิดจากการต่อสู้เพราะทนถูกเอารัดเอาเปรียบไม่ไหว โดยจะมีการสร้างฐานจรวดบนดวงจันทร์เพื่อเตรียมถล่มกัน (ความจริงอาจารย์บอกชื่อผู้ที่จะจุดชนวนสงครามโลกด้วย แต่ผมขอปกปิดไว้ เพราะเกรงว่าอาจถูกฟ้องร้อง โดยขอให้ผู้สนใจกลับไปดูคำทำนายของนอสตราดามุสกันอีกครั้ง เนื่องจากชื่อที่อาจารย์บอกกับชื่อในคำทำนายช่างพ้องกันเหลือเกิน)

ประเด็น ที่น่าสนใจ ก็คือบางที อาจารย์ก็ไหว้วานให้มนุษย์ต่างดาวช่วยเหลืองานบางอย่าง ซึ่งบางงานมนุษย์ต่างดาวก็รับจัดให้ แต่บางงานก็ปฏิเสธ โดยบอกว่าเป็นเรื่องของมนุษย์ที่ต้องจัดการกันเอง ผมขอให้อาจารย์ยกตัวอย่าง ท่านเล่าว่า ก็เรื่องปัญหาภาคใต้บ้านเราไง ที่มนุษย์ต่างดาวบ่ายเบี่ยงไม่ยอมช่วย ส่วนเรื่องที่มนุษย์ต่างดาวยอมออกแรงช่วย อาจารย์ก็ไม่ยอมบอก ปกปิดเป็นความลับ ให้กลับไปคิดเป็นปริศนา


บทสัมภาษณ์ระหว่างนายแพทย์ไทยกับมนุษย์ต่างดาวจากดาวอังคาร ชื่อ พาราซิทัลและดาวศุกร์ ชื่อ เอ็ดดี้**


**บทสัมภาษณ์ระหว่างนายแพทย์ไทยกับมนุษย์ต่างดาวจากดาวอังคาร ชื่อ พาราซิทัลและดาวศุกร์ ชื่อ เอ็ดดี้**

1.ถาม-(หมอเทพนมฯ) ทำไมท่านจึงมาติดต่อกับผม เพราะบังเอิญหรือเพราะอะไร?

ตอบ-การ มาติดต่อกับท่าน ไม่ใช่เพราะเหตุบังเอิญ พวกเราติดต่อกับสายพันธุ์เดียวกันเท่านั้นหรือจะเรียกตามภาษามนุษย์ว่า มีกรรมพัวพันกันก็ได้ มนุษย์ต่างดาวจะมาที่โลกนี้ใน 3 รูปแบบ คือ

1)มาในรูปมนุษย์ต่างดาว อย่างพวกเราขณะนี้

2)มาในแบบถูกส่งมาจุติให้เป็นมนุษย์ ท่านได้ถูกส่งลงมายังโลกนี้ห้าพันกว่าปีแล้ว มีหน้าที่ประสานงานระหว่างมนุษย์กับต่างดาว

3)วิญญาณของมนุษย์ต่างดาวเข้าสิงอยู่ในตัวมนุษย์

2.ถาม-วิญญาณหรือจิต มีจริงหรือไม่?

ตอบ- วิญญาณ หรือจิต หรือพลังงานชีวิต มีจริง ในสิ่งที่มีชีวิตทั่วจักรวาล พลังชีวิตนี้ ไม่มีใครทำลายได้ เมื่อมนุษย์ตาย ร่ายกายเน่าเปื่อยไป แต่วิญญาณยังคงอยู่ และจะต้องไปจุติตามการกระทำ หรือกรรมที่ตนทำไว้ อาจไปเกิดเป็นสัตว์ก็ได้ พวกที่เกิดเป็นมนุษย์อีก มักเกิดใกล้สถานที่ที่กำเนิดในชาติก่อน มีจำนวนน้อยที่ไปเกิดข้ามทวีป และมีจำนวนน้อยมากอย่างยิ่ง ที่ไปเกิดในอีกดาวหนึ่ง......



ถ่าย แสงออร่าของหมอเทพนมฯขณะเข้าสมาธิจิตติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว โปรดสังเกตุแสงสีขาวด้านบนแผ่กว้างคลุมโดยรอบ แสดงว่าสภาวะจิตสงบลึกมาก นิ่ง สว่าง มีภูมิจิตภูมิธรรมสูงมาก อยู่ในขั้นบรรลุธรรมขั้นสูงในระดับหนึ่งแล้ว....Webmaster

3.ถาม-ท่านนับถือศาสนาอะไร? มีศาสนาแบบมนุษย์ไหม?

ตอบ-พวกเรา นับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเหมือนกัน มีองค์เดียวที่สูงสุด และทุกชีวิตมาจากหนึ่งเดียวนี้ ตามความจริงซึ่งท่านจะได้เรียนรู้และทราบในศตวรรษใหม่ที่จะมาถึง ในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ มีพระผู้สร้าง หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดอยู่ 1 องค์ ที่สร้างทุกอย่างในจักรวาลขึ้นมาแต่เริ่มแรก แต่การบริหารจัดการกับสิ่งมีชีวิตต่างๆนั้น มีคณะกรรมการจัดการระหว่างดวงดาว ซึ่งบรรดาศาสดาต่างๆของโลกมนุษย์ก็เป็นกรรมการอยู่ ศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนทำดี ไม่ควรมาเปรียบเทียบกันว่าศาสนาของฉันดีกว่าศาสนาของเธอ เพราะศาสดาทุกท่าน ก็มาจากที่เดียวกันหมด และถูกส่งลงมาช่วยพัฒนาจิตใจมนุษย์เป็นระยะๆไป.....

4.ถาม-ท่านอายุเท่าใด? และพวกท่านมีตายบ้างไหม?

ตอบ(ท่านพา ราซิทัล)-เราอายุหลายพันปี ตั้งแต่เราเกิดมาจนถึงปัจจุบัน เคยเห็นพวกเราตายแค่ 3 คน ตายจากอุบัติเหตุยานอวกาศตก ทางด้านโรคต่างๆ เราสามารถพิชิตได้หมดแล้ว ขอให้ถามท่านเอ็ดดี้ ผู้ตรวจจักรวาลบ้าง

ท่านเอ็ดดี้- ท่านพาราซิทัลพูดถูกต้องแล้ว พวกเราอายุยืนมาก......

5.ถาม-ขอให้ท่านให้ความกระจ่าง เกี่ยวกับมนุษย์คู่แรกบนโลกนี้ว่า มาจากไหนกันแน่? มาจากลิงใช่หรือไม่?

ตอบ-มนุษย์ไม่ได้พัฒนามาจากลิงอย่างที่เข้าใจกัน ตามความเป็นจริง มนุษย์เพศชายคนแรกที่พวกท่านเรียกว่า"อาดัม"นั้น ถูกสร้างขึ้น มาที่ดาวนพเคราะห์ดวงหนึ่งนอกระบบสุริยะของท่าน พระผู้สร้างได้ให้พวกเรา นำมนุษย์ผู้นั้นมาไว้ยังโลกนี้ และต่อมาได้สร้างมนุษย์เพศหญิง ที่พวกท่านเรียกว่า "อีฟ" ขึ้นมาอีกคนหนึ่ง และให้นำมาอยู่ด้วยกัน จนสืบเชื้อสายมีลูกหลานกันมากมายไปทั่วโลก พวกเราเปรียบเสมือนบรรพบุรุษของพวกท่านเหมือนกัน มีหน้าที่คอยดูแลช่วยเหลือพวกท่านอยู่เสมอมา ในระยะ 200 กว่าปีที่ผ่านมา มนุษย์เจริญทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมามาก แต่ทางด้านศีลธรรม และจริยธรรม กลับพัฒนาได้น้อยมาก เมื่อมนุษย์ค้นพบพลังงานใหม่ เช่นพลังปรมาณู ก็นำไปใช้สร้างอาวุธทำลายล้างกัน แทนที่จะนำไปใช้ในด้านพัฒนาสุขภาพและสันติภาพ......

6.ถาม-ถ้าพระผู้สร้างมีจริง และเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งสิ่งที่มีชีวิต และสิ่งไม่มีชีวิตขึ้นมาจริงอย่างที่ท่านบอก สิ่งนี้ขัดแย้งกับกฎแห่งกรรมของพุทธศาสนาหรือไม่?

ตอบ- พระผู้สร้าง ได้สร้างทุกอย่างในจักรวาลขึ้นมา แต่ท่านได้ให้อิสระเสรีภาพกับมนุษย์ทุกคน ที่จะทำดี หรือทำชั่วก็ได้ หากทำดี ก็ได้รับผบตอบแทนที่ดี ทำชั่ว ก็ได้รับผลตอบแทนที่ไม่ดี นับว่ายุติธรรมที่สุดแล้วไม่ใช่หรือ? ฉะนั้น ไม่ขัดแย้งกับกฎแห่งกรรมของพุทธศาสนาเลย และนี่คือ ความจริงของกฎจักรวาล........

7.ถาม-สิ่งมีชีวิตในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ แบ่งเป็นระดับอย่างไรบ้าง? และพวกท่าน(มนุษย์ต่างดาว)เป็นผี หรือเทวดา หรืออะไรกันแน่?

ตอบ-พลังงานชีวิต หรือจิตวิญญาณในจักรวาลนี้ แบ่งเป็นระดับต่างๆมากมาย จะเรียกว่า "ภพภูมิ" หรือ"มิติ"ก็ได้ มนุษย์อยู่ในมิติที่ 3 มีความกว้าง ยาว ลึก แต่ไม่สามารถควบคุม"เวลา"ได้ พวกเราอยู่ในมิติสูงกว่าพวกท่านหลายมิติ เราอยู่สูงกว่ามิติ"ผี" แต่เราก็ยังไม่ใช่พวกเทพ หรือพรหม อย่างที่พวกท่านเชื่อว่ามี เราเป็น"มนุษย์"อีกชนิดหนึ่ง ที่อยู่ยังดาวดวงอื่น มีความเจริญทางวิทยาศาสตร์ และศีลธรรมสูงกว่าพวกท่านมาก ความโกรธ โลภ หลง ในพวกเรา แทบไม่มีเหลืออยู่เลย เรามีจิตวิญญาณที่เป็นอมตะแบบพวกท่าน แต่เราก็มี"ร่าง" ที่ไม่คล้ายกับพวกท่านนัก และมี"ยานบิน" ที่ทำให้เราเดินทางไปยังดาวต่างๆได้อย่างรวดเร็วกว่าแสง พวกเราเป็นสมาชิกของสมาคมระหว่างดวงดาว ซึ่งมนุษย์ยังไม่ได้เป็น แต่คาดว่า มนุษย์คงสามารถพัฒนาตัวเองให้เข้าเป็นสมาชิกได้ในศตวรรษที่ 21 นี้ หากมนุษย์สามารถลดกิเลส โกรธ โลภ หลง ลงได้ เทวดาและพรหมนั้นมีจริง เราสามารถติดต่อได้ทางจิต แต่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกัน พวกเขามักเรียกพวกเราว่า"มนุษย์พิเศษ" ส่วนผีนั้น ไม่มีร่างถาวร มีแต่จิต และส่วนมาก ไม่สามารถออกไปจากโลกนี้ได้เกิน 50 กม. เพราะมีสิ่งที่บังคับควบคุมไว้ แต่"มนุษย์ต่างดาว"ไม่มีข้อจำกัดนี้......

8.ถาม-มนุษย์ต่างดาว จะมายังโลกนี้ ต้องได้รับอนุญาตจากใครก่อนหรือเปล่า?

ตอบ- มนุษย์พิเศษจากดาวอื่นๆ จะมายังโลกนี้ ต้องขออนุญาตจากสมาคมระหว่างดวงดาวก่อนเสมอ หรือถูกส่งให้มาช่วยเหลือในบางเรื่อง แต่เมื่อมาถึงโลกนี้ ก็ยังต้องรายงานกับ"ผู้ตรวจโลก" ซึ่งมีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยอยู่ มนุษย์ต่างดาวที่แอบมาก็มีเหมือนกัน คือ มาโดยไม่ขออนุญาตก่อน ส่วนมากพวกนี้เป็นพวก"ไม่ดี" ซึ่งมีอยู่เหมือนกัน แต่เป็นจำนวนน้อย ปีที่แล้ว มีพวกกลุ่มไม่ดี ได้แอบเข้ามาในโลกของท่าน ด้วยยานอวกาศลำใหญ่ขณะมิติเปิด ขณะนี้สำหรับประเทศไทย กลุ่มไม่ดีลอยอยู่ในบริเวณเขาผีปันน้ำ ในภาคเหนือของประเทศท่าน หากพบยานบินสีดำ อย่าไปยุ่งเกี่ยวด้วย อันตรายมาก......


9.ถาม-มนุษย์ต่างดาวเช่นพวกท่าน หน้าตาคล้ายพวกเราไหม? หายใจด้วยออกซิเจนหรือไม่? กินอาหารและขับถ่ายอย่างไร?

ตอบ-ผู้ที่มาจากดาวดวงอื่น ที่มีหน้าตาคล้ายมนุษย์มากที่สุด คือ พวกที่มาจากกลุ่มดาวลูกไก่ และดาวพระศุกร์ เราจากดาวอังคาร(ท่านพาราซิทัล) หน้าตาไม่เหมือนพวกท่าน ตาจะใหญ่ดำ คางแหลม แบบในรูปที่ท่านวาดไว้ สูงกว่ามนุษย์ มือมี 3 นิ้ว และไม่มีอวัยวะเพศทั้งชายและหญิง แต่รู้ว่าใครเป็นเพศชาย เพศหญิง มนุษย์ต่างดาวเพศชาย มักตัวโตกว่าผู้หญิง เราไม่หายใจด้วยออกซิเจน แต่หายใจด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ได้รับการปรับปรุงแล้ว เรามีปากเล็กๆ จมูกเล็กๆ ไม่กินอาหารเหมือนพวกท่าน เรากินพลังงานชนิดหนึ่ง กินหนึ่งครั้งอยู่ได้หลายเดือน เราไม่มีกระเพาะอาหาร ลำไส้ ทวารหนัก ฉะนั้นพวกเราไม่ต้องขับถ่ายทั้งหนักและเบาระหว่างเดินทางในอวกาศ ความแตกต่างเหล่านี้ เป็นของธรรมดา "ท่านเอ็ดดี้" ก็หน้าตาเป็นสี่เหลี่ยม ตากลมใหญ่ แปลกไปจากเราอีก แต่เขาใจดีมากนะ หน้าตาแตกต่างกัน ไม่ได้หมายความว่าคุยกันไม่ได้.....


10.ถาม- ผมอยากถามว่า มาตรฐานของดาวอังคาร ดูเพศชายว่าหล่อ หรือเพศหญิงว่าสวย เหมือนมนุษย์ดูหน้าตาและรูปร่างหรือเปล่า?

ตอบ- ไม่ใช่เลย ความหล่อและความสวย ไม่มีความสำคัญในโลกของเราเลย เราดูความ"งาม"ของเพศตรงข้าม คือ 1)ดูว่ารัศมีออร่า ที่ออกมารอบตัวและศีรษะของเขา เป็นสีที่บริสุทธิ์ เช่น สีขาวมากน้อยแค่ไหน? 2)ดูที่ความคิดอ่านของเขา เวลาเขาคิด ก็ออกมาเป็นคลื่นไฟฟ้า ให้พิจารณาได้แล้วว่า คิดดี คิดบริสุทธิ์หรือไม่? ถ้าคิดดี คิดถูกต้อง วาจาและการกระทำที่ตามมาก็จะดีตาม พวกเราถือสัจจะสำคัญกว่าชีวิต ไม่มีการพูดปดกันหน้าตาเฉย อย่างในโลกมนุษย์เลย เพราะหากพูดปด อีกฝ่ายก็ทราบทันที และตัวเองก็ไม่กล้าทำเช่นนั้นเลย.......

11.ถาม-พวกมนุษย์สงสัยว่า ถ้าท่านไม่มีอวัยวะสืบพันธุ์ ท่านมีลูกกันได้อย่างไร? แต่งงานกันหรือไม่?

ตอบ- พวกเราเคยมีอวัยวะสืบพันธุ์ ตั้งนมนานมาแล้ว แต่หลังจากมีการพัฒนาทางด้านโคลนนิ่งมากเข้า เพศหญิงไม่ต้องอุ้มท้อง 9 เดือน แบบผู้หญิงของท่าน เพราะไม่ยุติธรรมต่อเพศหญิง เมื่อพัฒนาโน่นนี่กันมากขึ้น อวัยวะเพศก็หย่อนความสำคัญลงไป ไม่ค่อยได้ใช้กันบ่อย ขณะนี้ถ้าเราชอบพอกัน อยากไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เราก็มีพิธีแต่งงานง่ายๆ มีคล้ายพระ ทำพิธีให้ และไปอยู่ด้วยกัน มีบ้านที่รัฐบาลสร้างไว้ให้แล้ว เมื่ออยากมีลูกกัน ทั้ง 2 คนก็ยืนจ้องตากัน เอา 2 มือแตะกัน "ปิ๊ง"เดียว ลูกตัวเล็กๆก็ลอยลงมาในแคปซูลน้อยๆ และก็เลี้ยงให้โตขึ้นมา ต้องไปเข้าโรงเรียนด้วย คล้ายของมนุษย์ ทุกครอบครัวถูกกำหนดว่า มีลูกได้ไม่เกิน 2 คน หากมีเกิน 2 คน จะถูกลงโทษ คือ ตายไปแล้ว ไม่ได้เกิดอีกเลย ซึ่งทุกคนกลัวมาก บางดาวแค่จ้องตากัน ก็มีลูกได้แล้ว แปลกไหม? ต่อไปโลกของท่าน อาจเป็นแบบของเราก็ได้........


12.ถาม-โลกดาวอังคารของท่าน ทำไมสหรัฐอเมริกา ส่งจรวดไปแล้ว ไม่เจอผู้คนเลย และท่านมีระบบการปกครองอย่างไร?

ตอบ-โลก ของเรา เคยมีบรรยากาศ มีน้ำ เช่นโลกของท่าน แต่พวกเรากันเอง ก็ทำลายสิ่งแวดล้อมจนหมดสิ้น และทำสงครามกันด้วย คนต้องหนีลงไปอยู่ใต้ดินสำหรับผู้ที่รอดตาย เราอยู่ลึกลงไปหลายกิโลเมตร เรายังใช้ระบบบการปกครอง ที่มีหัวหน้า คล้ายพระเจ้าแผ่นดิน ทุกคนก่อนเกิด ถูกกำหนดไว้แล้วว่า ต้องเกิดมาเป็นเพศอะไร? และโตขึ้นทำอาชีพอะไร? เช่น เราถูกกำหนดให้เกิดเป็นทหาร จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ โลกของท่านดีกว่า ที่เกิดแล้วเลือกเรียนอะไรก็ได้ตามใจชอบ จะเป็นคนดีหรือคนชั่ว ก็ขึ้นอยู่กับตัวเอง โลกของเราต้องเป็นคนดีเท่านั้น เป็นคนเลวไม่ได้ คนเลวจะถูกกำจัดออกไปทันที และไม่ได้เกิดอีกเลย......

13.ถาม-โลกของท่านมีนรกและสวรรค์ไหม? และการกลับชาติมาเกิดมีจริงหรือไม่?

ตอบ-ใน ระบบสุริยะของพวกเรา ในทางช้างเผือก มนุษย์เป็นดาวนพเคราะห์ดวงเดียว ที่มีทั้งนรกและสวรรค์ ดาวนพเคราะห์อื่นๆไม่มี เพราะเขาทำดีกันหมด ไม่มีคนทำชั่ว ที่ต้องถูกไปลงโทษในนรก แต่โลกของท่าน ก็มีดี ที่ตายไปแล้วได้เกิดอีก ขึ้นอยู่กับการกระทำของท่าน ถ้าท่านทำดี ชาติต่อไป ก็ดีขึ้นกว่าเดิมม หากทำชั่ว ก็ตกนรก หรือเกิดเป็นสัตว์ หรือมนุษย์ที่แย่กว่าเดิม การกลับชาติมาเกิด มีจริง ส่วนมากจะเวียนว่ายตายเกิดในโลกของตัวเอง บางคนอาจจะเกิดข้ามดาว แต่มีน้อยมาก ที่จะทำได้เช่นนั้น ต้องพิเศษจริงๆ.....


14.ถาม-ผมมีรูปถ่าย จากแฟ้มลับของเคจีบี ที่เพิ่งเปิดเผย อ้างว่าเป็นภาพจานบินตกในรัสเซีย ราว 40 ปีมาแล้ว และมีมนุษย์ตัวเล็กๆสีเขียวตายอยู่ในนั้น และเขานำมาผ่าศพดู ท่านดูแล้วคิดว่าภาพเหล่านี้เป็นของจริงหรือภาพหลอกลวง?

ตอบ-จานบินตกทั่วโลก มาแยะแล้ว ในรัสเซีย ในจีนก็ตกหลายครั้ง ในประเทศไทยของท่าน ก็ตกที่ อ.สันกำแพง จ.เชีงใหม่ ในปี ค.ศ.1958 ท่านเอ็ดดี้รู้ดี เพราะรอดมาได้ รูปที่รัสเซียเปิดเผยนั้น เป็นรูปจริง มนุษย์ต่างดาวตัวเล็กๆเขียวๆ มี 4 นิ้ว ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าเขามาจากดาวดวงอื่น จะให้รูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ คงเป็นไปไม่ได้ น่าสงสารเขานะ.....

15.ถาม-เพื่อนของ ผม ถ่ายภาพมนุษย์มีแสงออกมาจากตัว ที่ อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี เมื่อเดือนมีนาคม 2542 เวลากลางคืน ท่านบอกได้ไหมว่า เขาเป็นชาวบ้านหรือมนุษย์ต่างดาว หากเป็นมนุษย์ต่างดาว เขามาทำไมในป่าทึบ?

ตอบ- ผู้ที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ แต่มีแสงออกมาจากตัว ไม่ใช่มนุษย์แน่นอน จ.กาญจนบุรี เป็นพื้นที่ที่มิติเปิด คล้ายสามเหลี่ยมเบอมิวดา และบรรดายานอวกาศต่างๆ สามารถผ่านเข้า-ออกได้ง่าย นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งสำคัญแห่งหนึ่งของโลก ที่มีแร่ธาตุหายาก ที่ใช้ในการเดินทางในอวกาศ เราเคยบอกท่านแล้ว เกี่ยวกับแร่ธาตุชนิดนี้ ว่าคล้ายแร่ธาตุที่ท่านเรียกว่า"เหล็กไหล"ไงล่ะ เราจะไม่บอกว่า เขามาจากที่ไหน บอกแต่เพียงว่า เขาไม่ใช่มนุษย์และไม่ใช่ผี!!!......


16.ถาม-เมื่อ 6 สิงหาคม 2542ผมได้รับเชิญจากองค์การนาซ่าและInternational Space University ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมาจัดประชุมอยู่เงียบๆอยู่ที่มหาวิทยาลัยสุรนารี ให้ไปพูดถึงเรื่อง"การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับยูเอฟโอ และผู้ขับขี่ยานบินในประเทศไทย พ.ศ.2540-2542" และได้รับคำชมเชยจากฝรั่งนักวิชาการ 300 กว่าคนว่า ทำวิจัยได้ดีมาก ท่านคิดอย่างไรกับเรื่องที่นาซ่าคิดจะไปยึดดาวอังคารทำเหมืองแร่ และส่งคนไปอยู่ 50,000 คน ใน 20 ปีข้างหน้านี้ และทำไมจานบินของท่านมาแล้ว ไม่ยอมบินลงมาต่ำตามที่ขอร้องให้ฝรั่งเห็นทั่วกัน?

ตอบ-เราไปฟังอยู่ตลอด เวลา และไม่พอใจอย่างมาก ที่เขาคิดจะไปยึดดินแดนที่มีเจ้าของแล้ว เช่นที่เคยทำมาในโลกนี้ในอดีต ขอบอกสั้นๆว่า หากรบกัน ก็ไม่มีทางสู้พวกเราได้ ขอให้บอกแก่พวกเขา 3 ข้อ คือ

1)จานบินและมนุษย์ต่างดาวนั้น มีจริง และได้มาเยือนโลกนี้ เป็นเวลานานหลายพันปีแล้ว มนุษย์เปรียบเสมือนลูกหลานของเรา

2)มนุษย์ต่างดาว ไม่ต้องการมายึดครองโลกนี้ ในทำนองเดียวกัน มนุษย์ก็ไม่ควรคิด จะไปยึดครองดวงดาวของเรา เพราะมีเจ้าของแล้ว และไม่มีทางสู้เราได้

3)ขอให้มนุษย์ใช้สติ ปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาโลกนี้ดีกว่า รวมทั้งเตรียมรับภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งใหญ่หลวงที่จะเกิดขึ้นในโลกนี้ใน ปีหน้า(ค.ศ.2000 หรือ พศ.2543)

ยานอวกาศของเรา ได้บินไปให้ท่านและบางคนเห็นแล้ว เราไม่บินลงต่ำ เพราะคิดว่าจะไม่มีประโยชน์อะไรกับพวกที่คิดจะไปยึดดาวของเรา.....


17.ถาม- เมื่อ 19 มีนาคม 2539 มีผู้ถ่ายภาพประหลาดได้ ที่พระเมรุพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี แสงนั้นเป็นแสงอะไร?(จะนำลงภาพปาฏิหาริย์ในเว็บฯนี้ต่อไป-Webmaster)

ตอบ-ขอตอบสั้นๆว่า กลุ่มเทพชั้นสูงมาแสดงคารวะต่อพระบรมศพ ไม่ใช่จานบินมาอย่างที่เข้าใจกัน.....

18.ถาม-ผมได้รับเชิญให้ไปพูด ในสัปดาห์วิทยาศาสตร์ของ ม.สงขลานครินทร์ เมื่อ 19 สิงหาคม 2542 ซึ่งท่านได้สั่งให้ผมไปพูดเตือนชาวใต้เกี่ยวกับปี 2000 แต่ทำไม"จานบิน" ไปปรากฏที่อ่างเก็บน้ำของ ม.สงขลาฯ ทุกคืน เป็นเวลาถึง 10 วัน ก่อนผมไปถึง ผมไม่ได้ร้องขอมากเพียงนั้น........


ตอบ-เรา เป็นห่วงชาวใต้ของท่านมาก เกี่ยวกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ จึงไปหลายครั้ง ในปีหน้า เราจะพยายามช่วยให้หนักกลายเป็นเบา ได้ขอให้ท่านพูด อย่าให้เขาตกใจกลัว จนขาดสติ ที่บอกเขาว่า ให้ช่วยเหลือกัน มีความเมตตากรุณาต่อกันมากขึ้นนั้น ดีแล้ว ให้หมั่นสดับรับฟังข่าวสารต่างๆอยู่เสมอ รู้จักที่ๆปลอดภัย หากเกิดภัยพิบัติ อย่าประมาท เราหวังว่า ทุกท่านจะปลอดภัยในปีหน้า 2543 ส่วนคืนวีนที่ 19 สิงหาคม 2542 อากาศไม่ดี เราบินกันมา 3 ลำ ในระยะสูง แต่ให้ท่านถ่ายภาพได้ชัดๆ ตั้งแต่หัวค่ำแล้วไม่ใช่หรือ? ที่ดูคล้ายดวงอาทิตย์นั่นแหละ......

สรุปว่า ตั้งแต่ต้นปี จนถึงเดือนกันยายน 2542 ขณะเขียนต้นฉบับอยู่นี้ ผู้เขียนได้ติดต่อกับท่านพาราซิทัล และท่านเอ็ดดี้เป็นประจำ เดือนละ 1-2 ครั้ง เป็นอย่างน้อย ซึ่งครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2542 ยูเอฟโอ ได้มาปรากฏให้เห็น เวลา 20.15 น.ที่เหนือบ้านผู้เขียนใน กทม. มีผู้พบเห็น และถ่ายภาพได้จำนวนมาก ซึ่งจากการสื่อด้วยโทรจิต พวกเขาบอกว่า บินผ่านทางจึงแวะลงมาเยี่ยมเยียน......สิ่งที่นำมาเล่าให้ฟัง เป็นสิ่งที่ได้รับสื่อทางจิต จากผู้ที่อ้างว่าเขามากับยานบิน และยังมีรายละเอียดอีกมากมาย ที่ผู้เขียนได้จดบันทึกไว้

อย่างที่บอกกับท่านผู้อ่านไว้แล้วว่า สิ่งที่เล่ามาให้ฟัง ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เพราะไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยัน เหมือนกับการถ่ายภาพยานบินได้ ก็ได้แต่บันทึกไว้ และรอเปรียบเทียบกับความจริงต่างๆ ที่จะค่อยเผยออกมาทีละน้อยๆ ในอนาคตอันใกล้นี้ "ความจริงเท่านั้น ที่จะช่วยให้มนุษย์เราหลุดพ้นจากความโง่เขลาทั้งปวง"......

GLIESE 581 / OUR NEXT PLANET


นักดารา ศาสตร์ประกาศว่าค้นพบดาวเคราะห์ดวงใหม่ที่อาจมีลักษณะคล้ายโลกมากที่ สุดเท่าที่เคยเจอมา โดยมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต
เหล่านักดาราศาสตร์ แถลงข่าวที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในเมืองซานตาครูส เมื่อ 30 ก.ย. 2010 ว่า ดาวดวงนี้มีที่ตั้งอยู่ใจกลางเขตที่เรียกกันว่าเขตมีชีวิตหรือ โกลดิล็อคโซน ซึ่งไม่เหมือนกับดาวเคราะห์อีกเกือบ 500 ดวงที่นักดาราศาสตร์ค้นพบนอกระบบสุริยะจักรวาลของโลก
ดาวเคราะห์ดวงนี้ อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากดาวฤกษ์ ซึ่งเป็นดาวแม่ของมัน และอาจจะมีน้ำในสถานะที่เป็นของเหลวด้วย นอกจากนั้น ตัวดาวเองก็ไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไป ซึ่งจะมีผลต่อเรื่องของพื้นผิว แรงโน้มถ่วง และชั้นบรรยากาศของดาว

นายอาร์. พอล บัตเลอร์ จากสถานบันคาร์เนอกี้ กรุงวอชิงตัน หนึ่งในผู้ร่วมค้นพบดาวดวงนี้บอกว่า ก่อนหน้านี้เราพบดาวเคราะห์มากมาย แต่ส่วนมากถ้าไม่อยู่ในเขตที่หนาวเกินไป ก็อยู่ในเขตที่ร้อนเกินไปเมื่อวัดระยะห่างจากดาวแม่ แต่ในที่สุดเราก็เจอดาวที่อยู่ในระดับกึ่งกลางพอดี แต่ก็ยังคงมีคำถามมากมายเกี่ยวกับดาวประหลาดดวงนี้ ที่มีมวลมากกว่าโลกราว 3 เท่า มันมีความกว้างกว่าโลกเล็กน้อย แต่อยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์ของมันมากกว่าโลก โดยมันอยู่ใกล้เพียง 22.5 ล้านกิโลเมตร ขณะที่โลกอยู่ห่างถึง 150 ล้านกิโลเมตร ทำให้มันโคจรรอบดาวแม่ในเวลาแค่ 37 วัน นอกจากนั้นมันก็ไม่ค่อยหมุนรอบตัวเองมากนัก เพราะด้านหนึ่งมักจะสว่างอยู่เสมอ สำหรับอุณหภูมิพื้นผิวก็อาจจะสูงถึง 71 องศาเซลเซียส หรือเย็นถึงลบ 4 องศาเซลเซียส แต่บริเวณระหว่างกึ่งกลางของทั้งสองโซน อาจจะมีสภาพอากาศสบายๆ ได้

ดาวดวงนี้โคจรรอบดาวแม่ที่ชื่อ กลีซ 581 จึงมีชื่อว่า กลิซ 581 จี มันอยู่ห่างจากโลกเราถึง 195 ล้านล้านกิโลเมตร (ประมาณ 20 ปีแสง) ซึ่งแม้จะดูเหมือนว่าไกล แต่หากเทียบกับขนาดของจักรวาล ก็ถือได้ว่ามันอยู่ใกล้โลกมาก

วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ระบบ / มุนษย์โปรแกรมเดี่ยว

ใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยอัตตา ยึดมั่นถือมั่น ปรุงแต่งไปทุกอย่าง ขาดการดํารงชีวิตและแนวความคิคแบบธรรมชาติ(ธรรมมะ) ขยันสร้างมาตรฐาน(อันไม่มีตัวตน)ตั้งตัวเองเป็นผู้พิพากษาโลก (ไอ้โน่นดี ไอ้นี่เลว คนนั้นแย่ ฉันประเสริฐกว่าคนอื่น แบบโน้นดีกว่าแบบนี้ เป็นต้น)

ระบบ/มุนษย์โปรแกรมคู่

มีสภาวะทางจิตที่เปิดกว้าง เข้าใจหลักของธรรมชาติ การเกิดและดับ จักมีการพัฒนาทางจิตและยกระดับจิตได้ และมีโอกาศจากการหลุดพ้นและออกจากวัฏจักรของวัฎฏะสงสารได้ ไม่ส่งจิตออกนอก เมื่อถึงวาระสามารถมีชีวิตที่เบาบางจากทุกข์ หรือปราศจากทุกข์ได้

วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ระบบ/ทำไมมนุษย์ต่างดาว จึงกล่าวว่า...ความลับไม่มีในโลก

เมื่อ มนุษย์คิดสิ่งใด...ทำไมมนุษย์ต่างดาวจึงรู้ว่ามนุษย์โลกคนนั้น กำลังคิดอะไร กำลังจะทำอะไร ทั้ง ๆ ที่บุคคลนั้น ยังไม่ทันได้พูดด้วยซ้ำ

นั่นเป็นเพราะว่ามนุษย์ต่างดาว อ่านจากคลื่นความคิดของบุคคลนั้น ๆ นั่นเอง

เพราะความคิด ที่มนุษย์คิดว่า...เป็นความลับของเขานั้น... แท้จริงแล้ว มันไม่ได้เป็นความลับอย่างที่เข้าใจ

มาลองฟังข้อความจากมนุษย์ต่างดาวที่ได้เคยบอกไว้หลายปีแล้วนั้น กันอีกครั้ง

"ความลับไม่มีในโลก"

นี่คือข้อความจากมนุษย์ต่างดาว

ซึ่งในตอนนั้นเราก็ยังงง ๆ ว่า ทำไม ? ความลับจึงไม่มีในโลก

ระบบได้อธิบายให้ฟังว่า

มนุษย์ เราเมื่อคิดอะไร จะเป็นคลื่นความคิดกระจายออกไปจากหัวของเรา มันเป็นคลื่น เป็นวิทยาศาสตร์ เพียงแต่ว่ามนุษย์ยังไม่สามารถคิดค้นเครื่องแปลคลื่นเหล่านั้น ออกมาเป็นข้อความได้ จึงไม่อาจทราบได้ว่าบุคคลนั้นกำลังคิดสิ่งใด

เหมือน เมื่อก่อนนั้น แสงที่ออกมาจากร่างกายของเรา ที่เรียกว่าแสงออร่า ซึ่งมีหลายสี แต่ละสีก็หมายถึงสภาวะจิตในตอนนั้น ภาวะสงบ หรือภาวะฟุ้งซ่าน หรือปฏิบัติธรรมมามาก ก็จะมีสีสันแตกต่างกันออกไป

ในตอนนั้น เมื่อวิทยาศาสตร์ยังไม่เจริญ ยังไปไม่ถึง ก็เลยเห็นได้เฉพาะคนที่ฝึกสมาธิ ฝึกจิตอย่างเชี่ยวชาญ มีความละเอียดของสภาวะจิต ก็จะสามารถมองเห็นแสงออร่าของบุคคลอื่นได้ และสามารถรู้เห็น หรือทายทักสภาวะอารมณ์ในขณะนั้นได้

แต่ตอนนี้ วิทยาศาสตร์เจริญมากขึ้น สามารถคิดค้นเครื่องถ่ายแสงออร่าออกมาได้แล้ว ซึ่งก็จะเห็นแสงออร่าที่แตกต่างตามสภาวะจิตของบุคคลนั้น ในขณะนั้น

แสงออร่า ....จึงกลายเป็นเรื่องที่....ไม่ใช่สิ่งแปลกอีกต่อไป เมื่อวิทยาศาสตร์เจริญไปถึง

แสงออร่า ที่เคยเป็นความลับของบุคคลนั้น ก็ไม่เป็นความลับอีกต่อไป


สิ่งที่มนุษย์ต่างดาวบอกว่า ความคิดก็ไม่ใช่ความลับ .... เพราะความลับไม่มีในโลก

นั่น คือ เมื่อคิดสิ่งใด บุคคลอื่น ๆ ก็จะสามารถรู้ได้ แม้บุคคลนั้น จะเข้าใจว่าเราปกปิดเรื่องนั้นไว้ไม่บอกใครก็ตาม นั่นเป็นเพราะว่า...

ความ คิด...เป็นคลื่น เป็นคลื่นความคิด เป็นวิทยาศาสตร์ เมื่อคิดอะไร คลื่นความคิดก็จะแผ่กระจายออกมาจากสมองของเรา แม้จะคิดอยู่คนเดียว รู้อยู่คนเดียว เหมือนกับว่า .. นี่คือความลับที่อยู่ในหัวของเราคนเดียว แต่แท้จริงมิใช่เช่นนั้น เมื่อคิดสิ่งใด สิ่งนั้นได้ถูกส่งออกไปแล้วในทันที

ดังนั้น ผู้ที่มีจิตละเอียด ผู้ที่ปฏิบัติสมาธิ ผู้ที่เชี่ยวชาญในด้านจิต จึงสามารถเห็นคลื่นความคิดเหล่านั้น อ่านคลื่นความคิดเหล่านั้นได้ แปลข้อความออกมาได้ จึงรู้ว่า บุคคลนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ในขณะนั้น

จึงเหมือนเรื่องเหลือเชื่อ เรื่องมหัศจรรย์ที่คนอื่นนั้นรู้วาระจิตของเราได้ ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

แต่ ความจริง สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดา เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติ แต่วิทยาศาสตร์ยังไปไม่ถึงเท่านั้น จึงเหมือนเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ สำหรับมนุษย์โลก

แต่ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับมนุษย์ต่างดาว หรือสำหรับผู้ที่มีความเจริญทางจิต ที่มีคลื่นจิตละเอียดจะสามารถรับคลื่นความคิดจากบุคคลอื่นได้ ดังนั้น ผู้มีความเจริญทางจิต เขาจึงส่งความคิดถึงกันด้วยคลื่นความคิด โดยไม่ต้องใช้คำพูด หรือจะเรียกว่าสื่อสารทางจิต ส่งกระแสจิต ส่งโทรจิต หรือจะเรียกใด ๆ ก็ตาม ก็คือการติดต่อกันได้ โดยไม่เกี่ยวกับระยะทาง

เช่นเดียวกัน หากในอนาคตข้างหน้า วิทยาศาสตร์เจริญขึ้น มนุษย์ก็จะสามารถคิดค้นเครื่องแปลคลื่นความคิด ออกมาเป็นข้อความได้เช่นกัน

เมื่อนั้น ความคิดก็จะไม่เป็นความลับอีกต่อไป

ซึ่ง ตอนนี้ วิทยาศาสตร์ของเราแม้จะยังไม่เจริญไปถึงผลิตเครื่องมือแปลความคิดของคนอื่น ได้ก็ตาม แต่ก็กำลังพัฒนาเครื่องมืออยู่ในขณะนี้ คือสามารถผลิตเครื่องจับเท็จได้แล้ว คือรู้ความคิดของคนนั้นแล้ว ว่าพูดจริงหรือไม่จริง แม้จะยังไม่สามารถพัฒนาจนถึงแปลเป็นข้อความออกมา ได้ แต่ก็อาศัยรับรู้จากการเต้นของหัวใจ หรือการแสดงออกในความคิดรูปแบบอื่น ๆ ซึ่งมันฟ้องออกมาเป็นคลื่นความถี่ที่แตกต่างกัน

เพียงแต่ยังไม่เจริญไปจนถึง...ผลิตเครื่องแปลความคิดออกมาเป็นคำพูดได้เท่านั้น

แต่มนุษย์ต่างดาว เขาไปไกลกว่านั้น เขาจึงผลิตเครื่องมือแปลคลื่นความคิดได้...แล้วเอามาให้ใช้ในยามจำเป็น

นี่คืออุปกรณ์อีกชนิดหนึ่งของมนุษย์ต่างดาว ที่ผลิตมาให้ใช้ตามความจำเป็นของแต่ละงาน

จึงไม่ได้หมายความว่า ผู้ใช้อุปกรณ์เป็นผู้วิเศษ สามารถรับรู้ความคิดของคนอื่นได้ด้วยตนเอง

ซึ่ง ตอนนี้ อุปกรณ์แปลคลื่นความคิดของมนุษย์ต่างดาว ได้มีการติดตั้งให้กับกลุ่มประสานงานฯ บางท่านไปแล้ว เป็นอุปกรณ์แปลคลื่นความคิด เป็นเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถใช้งาน ได้จริง

ดัง นั้น จึงมีอาจารย์บางท่าน สามารถอ่านความคิดของคนอื่นได้ ซึ่งพอเห็นหน้าก็รู้ว่ากำลังคิดอะไร ตอบคำถามได้โดยคนนั้นยังไม่ทันได้ถามด้วยซ้ำ

แต่มิได้หมาย ความว่าจะไปรู้ความคิดของทุกคน เพราะเครื่องแปลคลื่นความคิด จะเปิดให้ใช้ในยามที่จำเป็นในงาน และเกี่ยวข้องกับบุคคลนั้น ๆ เท่านั้น เรียกว่าใช้เฉพาะกิจ กับเฉพาะคน และเฉพาะงาน

การใช้งานก็คือ อุปกรณ์ดังกล่าวจะรับคลื่นความคิดจากบุคคลอื่น ที่กำลังคิดในเรื่องใด ๆ แต่มิได้กล่าวออกมา คลื่นความคิดนั้น จะผ่านเข้ามาในอุปกรณ์ เมื่ออุปกรณ์แปลคลื่นเป็นข้อความแล้ว ผู้ใช้อุปกรณ์ก็จะเข้าใจในสิ่งที่บุคคลนั้นกำลังคิดอยู่ เหมือนรู้วาระจิตคนอื่น แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่ เพียงแต่ใช้อุปกรณ์เป็นตัวแปรคลื่นความคิดนั้น

แล้วอาจมีการตอบโต้กลับไป โดยระบบจะผ่านเป็นคำพูดของผู้ที่ติดตั้งอุปกรณ์ ไปยังบุคคลนั้น

ซึ่งบางครั้ง ผู้ที่พูดออกไป ก็อาจจะงง ๆ ว่าเรารู้ได้อย่างไร เราพูดออกไปยังงี้ได้ยังไง ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจจะพูดเลย

ก็อย่าตกใจ เป็นเพียงการทดสอบการใช้อุปกรณ์เครื่องรับคลื่นความคิด แปลเป็นคำพูด แล้วส่งผ่านออกไปเท่านั้น

ทั้งหลายทั้งมวลนี้ ไม่เกี่ยวกับเรา มันไม่ใช่เรา เป็นการทำงานของอุปกรณ์รับคลื่นความคิดแล้วแปลเป็นข้อมูลเท่านั้นเอง

ไม่มีเราเก่ง ไม่มีเรารู้ ไม่มีผู้วิเศษ ..... ต้องปล่อยวางอย่างเดียว

เพราะ ถ้าไม่ปล่อยวาง ความคิดของคุณเอง ของผู้ที่ใช้อุปกรณ์เองที่ยังยึดมั่นถือมั่น...ก็จะถูกส่งออกมาเป็นคลื่น ความคิด แล้ว...มนุษย์ต่างดาวผู้มีความเจริญทางจิต ซึ่งสามารถแปลคลื่นความคิดนั้นได้ ความคิดนั้น จึงไม่เป็นความลับอีกต่อไป

เมื่อคิดอะไรเขาจึงรู้ได้ทั้งหมด ว่ายังยึดมั่นถือมั่นกันอยู่หรือไม่.. หรือปล่อยวางกันได้มากน้อยแค่ไหนแล้ว...

เพราะ...ความลับไม่มีในโลก....นั่นเอง

กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)